นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 266 ความงามที่เบ่งบาน เจ้าคือใคร (๑)

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

อยู่ที่นี่เพื่อช่วยคนหรือ?

ยังมิทันไร ตี๋ตงหมิงพลันปฏิเสธออกมาในทันที “เฟิ่งชิงเฉินเจ้าอย่าคิดสร้างปัญหาเลย เจ้าในยามนี้ยังมีบาดแผลอยู่ ด้วยร่างกายของเจ้าที่เป็นเช่นนี้ หากเจ้าอยู่ เจ้าจะช่วยเหลืออันใดได้ รังแต่จะทำให้เรื่องวุ่นวายไปมากกว่าเดิม อีกทั้ง ที่นี่ยังอันตรายยิ่งนัก หากเจ้าอยู่นี่ จะไม่พาลให้คนอื่นเป็นกังวลเจ้ามากกว่าเดิมหรือ”

“การระเบิดในครานี้ จู่ ๆ ก็เกิดขึ้น มันผิดวิสัยไปห่อย ถ้าหากมิเตรียมการเยียวยาจิตใจผู้คนต่อจากนี้ละก็ มันจักต้องเป็นเหตุการณ์ขวัญผวา ที่ติดใจผู้คนไปอีกนานแสนนานแน่ บางคนอาจเจ็บแค้นจิ่นหลิงที่ทำให้พวกเขาต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ สุดท้ายแล้ว ข้าคือหมอ ข้าสามารถช่วยเหลือคนไข้ได้ อีกทั้งการรักษาบาดแผลภายนอก ข้าชำนาญยิ่งนัก ” เฟิ่งชิงเฉินพลันชักมือของตนเองออกมา พร้อมทั้งยืนกร่านที่จะเข้าไป

“เฟิ่งชิงเฉิน เรื่องนี้หาได้เกี่ยวอันใดกับเจ้าไม่ จิ่นหลิงสามารถจัดการเองได้ ตงหลิงเองก็มีหมอเช่นกัน ฝีมือหาได้ไปด้อยกว่าเจ้าไม่” ตี๋ตงหมิงพลันก้าวเข้าไปด้าหน้าอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินกลับหนีเขา เมื่อซุนซือสิงเห็นเช่นนั้น ก็พลันก้าวเข้าไปช่วยเกลี้ยกล่อมด้วยว่า “ใช่แล้วท่านอาจารย์ ที่นี่ให้ข้าจัดการเถอะ บนตัวของท่านยังมีบาดแผลอยู่”

“ข้าหาใช่คนที่ชอบยุ่งวุ่นวายไม่ ทั้งยังมิได้เป็นคนมีความเห็นอกเห็นใจอันใดอีก ทว่า เรื่องราวในวันนี้ ข้าจักต้องคอยจัดการ ซือสิงเจ้าไปเอากล่องยามาที่นี่ ข้าจักเข้าไปจัดการสถานการณ์โดยเบื้องต้นก่อน พร้อมกับประเมินอาการบาดเจ็บของผู้คน” เฟิ่งชิงเฉินหาได้อธิบายมากมายไม่ เพียงแค่พุ่งตัวเข้าไปหาฝูงชนที่อยู่ภายใต้กองเพลิงในทันที

คนพวกนี้ ล้วนแต่โดนเสก็ดดินปืนระเบิดใส่ทั้งนั้น ใต้แคว้นทั่วทุกเก้าแดนสารทิศในยุคโบราณ หาได้มีดอกไม้ไฟไม่ ระเบิดนี้ หาใช่สิ่งที่คนพื้นเพในยุคโบราณจะสามารถทำมันขึ้นมาได้ เพื่อนร่วมงานที่จิตใจคับแคบ ทะลุมิติข้ามมาเช่นเดียวกับนางนั้น ทั้งยังทำระเบิดออกมาทำร้ายผู้คนอีก นางจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักได้อย่างไร

ตงหลิงไม่ขาดหมอ ที่นี่ก็หาได้ขาดนางที่เป็นหมอไม่ ทว่า ตี๋ตงหมิงไม่เข้าใจ แม้ว่าหมอของตงหลิงมาแล้วอย่างไร ท่านหมอเหล่านั้น ล้วนแต่รักษาให้กับผู้ที่มีอำนาจเท่านั้น หากชาวบ้านตาดำ ๆ ต้องการให้ท่านหมอมารักษาให้นั้น มิรู้ว่าต้องรอไปถึงยามใด

ถึงแม้ว่านางจักรู้สึกโกรธ ที่ตนเองเคยถูกพวกเขากรนด่าอยู่หน้าประตูเมืองมาบ้าง แต่บางสิ่ง ก็สามารถปล่อยเลยตายเลยไปตามน้ำได้เช่นกัน พวกเขาเป็นราษฏรที่ได้รับบาดเจ็บและพิการ ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับความลำบากและความเหนื่อยยากย่อมต้องเป็นครอบครัวของพวกเขา นางเป็นหมอ สิ่งใดที่นางสามารถช่วยได้ นางก็อยากจะช่วย

เรื่องราวในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝั่งมุ่งเป้ามาหาจิ่นหลิง ราษฏรเหล่านี้เพียงแค่ติดร่างแหมาด้วยเท่านั้น อีกทั้ง ไม่มีผู้ใดยินยอมจ่ายราคาสูงเช่นนี้ เพียงเพื่อมาทำร้ายราษฏรตาดำ ๆ หรอก

“ตงหมิง ชิงเฉินรู้ดีว่านางกำลังทำอะไรอยู่” เมื่อมีหวังจิ่นหลิงออกหน้าให้เช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินย่อมสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ดังนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงสั่งการออกมาอย่างไม่เกรงใจเลยว่า

“ตี๋ตงหมิง ท่านสั่งการให้เหล่าทหารทุกนายลงไปปลอบขวัญราษฏรเสีย พร้อมทั้งเข้าควบคุมสถานการณ์ให้เรียบร้อย หากมีคนที่ได้รับบาดเจ็บ ท่านรีบให้คนแยกตัวพวกเขาส่งออกมา เด็กสตรีและคนชราให้เดินนำหน้า บุรุษเดินตามหลัง” เฟิ่งชิงเฉินออกคำสั่งด้วยความเด็ดเดี่ยวในทันที

ตี๋ตงหมิงพลันจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน โดยมิได้ขยับไปที่ใด หวังจิ่นหลิงจึงต้องเกลี้ยกล่อมเขาอีกว่า “ตงหมิง ชิงเฉินนางทำอะไร นางย่อมรู้ตัวเองดี เจ้าลองดูสิ ก่อนหน้านั้น นางหาได้วิ่งทะเล่อทะล่าออกไปไม่ หากแต่ เมื่อเสียงระเบิดหยุดลงแล้ว นางถึงได้กล้าออกไปประจันหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม นางคำนึงถึงความปลอดภัยของพวกเราเป็นอย่างแรก หากเจ้าฟังคำนาง ข้าย่อมไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน”

ไม่ใช่เพราะนางทำเพื่อตนเอง แต่นางทำเพื่อผู้อื่น ถึงอย่างไร เรื่องทุกอย่างก็เกิดมาจากเขา

“ได้ เช่นนั้นข้าจะจัดการตามที่นางบอก” ถึงแม้ว่าตี๋ตงหมิงหาได้มีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยในวันนี้ไม่ ถึงอย่างไร ภายในมือของเขาก็ยังมีอำนาจในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยภายในเมืองหลวงอยู่ เขาจึงได้ไปเรียกตัวนายกองมาสามสี่นาย เพื่อจัดการตามที่เฟิ่งชิงเฉินบอกในทันที

“เหตุใดต้องให้เด็กสตรีและคนชราเดินนำหน้าด้วย มิใช่ต้องให้บุรุษเดินนำหน้าหรอกหรือ? อย่างไรบุรุษทั้งหลายก็คือหัวหน้าครอบครัว หากพวกเขาเป็นอันใดไป ครอบครัวของพวกเขาอาจจะล่มลงก็เป็นได้” มีเจ้าหน้าที่บางนายพลันกล่าวพึมพำออกมาด้วยความสงสัย ทว่า เมื่อตี๋ตงหมิงได้ยินเช่นนั้น ก็พลันฟาดลงไปที่หลังของพวกเขาในทันที “จักพูดอันใดให้มากความ ยังมิรีบไปควบคุมราษฏรให้อพยพออกไปอีก หากเกิดระเบิดขึ้นมาอีกรอบละก็ พวกเจ้ารับผิดชอบเสีย”

น่าเสียดายนัก ในความคิดกับความเป็นจริง ย่อมแตกต่างกันเสมอ อย่าได้เอ่ยถึงราษฏรเลย แม้แต่นายทหารเอง ในยามนี้พวกเขาก็ยังคงหวาดผวาเช่นกัน พวกเขาจักเอาเรี่ยวแรงใดไปปลอบขวัญราษฏรได้ หน้าประตูเมืองในยามนี้ จึงวุ่นว่ายยิ่งนัก พรอ้มกับเสียงร้องที่ดังเอะอะออกมา

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นว่า เป็นเวลานานแล้วที่พวกทหารยังไม่สามารถเข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้เสียที จึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน พร้อมเดินไปยังจุดที่สูงสุด แล้วจึงตะโกนออกมาว่า ” ผู้ใดต้องการออกจากเมืองให้ยืนชิดซ้าย ผู้ใดจักเข้าเมืองให้ยืนชิดขวา ทุกคนเข้าแถวให้ดี ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน ผู้ใดได้รับบาดเจ็บจักมีคนคอยให้การรักษา”

“ทุกคนอย่าได้ทำให้ที่นี่วุ่นวายไป ยืนตรงเข้าแถวให้ดี พวกเจ้ามิต้องกังวล พวกเราในยามนี้ปลอดภัยแล้ว พวกเจ้าเห็นหรือไม่ คุณชายใหญ่ก็ยังอยู่กับพวกเรา แม้แต่คุณชายใหญ่เองยังมิกลัว แล้วพวกเจ้าจักกลัวไปทำไม?”

“พวกเจ้าดูสิ คุณชายใหญ่ยังอยู่ที่นี่ องค์รัชทายาทยังอยู่ที่นี่เช่นกัน พวกเขาหาได้หวาดกลัวไม่ แล้วพวกเจ้าจักต้องหวาดกลัวงั้นหรือ?”

“มีทั้งองค์รัชทยาทและคุณชายใหญ่อยู่เช่นนี้ พวกเราจักไม่เป็นอันใดแน่” คำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับสามารถสื่อสารถึงผู้คนได้ หาได้เป็นเพราะนางไม่ แต่เป็นเพราะนางอ้างถึงหวังจิ่นหลิงและองค์รัชทายาทขึ้นมาพูดต่างหาก

คุณค่าขอชีวิตผู้คน ย่อมมีราคาที่แตกต่างกันเสมอ ภายในใจของราษฏรในยามนี้ องค์รัชทายาทและหวังจิ่นหลิงย่อมมีค่าและสูงส่งกว่าพวกเขามากนัก อีกทั้งยังมีเงินทองมากกว่าพวกเขาอีกด้วย

อย่าได้พูดว่า คนเช่นเดียวกันย่อมมีชะตากรรมที่เหมือนกัน แม้แต่ในโลกยุคปัจจุบันของนาง ค่านิยมเช่นนี้ ก็มีให้เห็นบ่อยครั้งนัก

ในที่สุด หลังจากที่ฝูงชนได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้น พวกเขาก็พลันสงบสติอารมณ์ได้ในทันที เฟิ่งชิงเฉินที่เห็นว่า สถานการณ์เริ่มควบคุมได้แล้ว นางจึงได้ยกมือขึ้นพร้อมกับตะโกนกล่าวว่า “ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนกไป องค์รัชทายาทอยู่เคียงข้างพวกเรา คุณชายใหญ่ก็ยังอยู่กับพวกเราอีก ในยามนี้ พวกเราเพียงแค่ต้อทำตามคำสั่งขององค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่เท่านั้น เช่นนี้ พวกเราก็จักไม่เป็นอันตรายแล้ว”

หากมีคน จากฝ่ายประชาสัมพันธ์อยู่ด้วยในตอนนี้ พวกเขาย่อมต้องชื่นชมเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน เนื่องจากว่า ในยามที่สถานการณ์วุ่นวาย นางยังสามารถทำหน้าที่ควบคุมผู้คนด้วยตัวคนเดียวได้ พร้อมทั้งยังสร้างชื่อเสียงให้กับองค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่อีก

“คุณชายใหญ่ก็อยู่ที่นี่ พวกเราจักกลัวไปทำไมกัน แม้แต่คุณชายใหญ่ยังไม่กลัวเลย พวกเรามีเพียงชีวิตเดียวจักกลัวไปทำไมกัน”

“ใช่ ๆ องค์รัชทายาทเองก็อยู่กับพวกเราที่นี่เช่นกัน แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่กลัว พวกเราย่อมต้องไม่กลัว พวกเราจักฟังคำสั่งขององค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่ ให้ปล่อยสตรีเด็กและคนชราไปก่อน”

“ใช่ ใช่ ใช่ พวกเราจักฟังคำสั่งองค์รัชทยาทและคุณชายใหญ่”

ในเมื่อมีคนเห็นด้วยเช่นนี้ เรื่องราวจึงคลี่คลายได้ง่ายดายขึ้น องครักษ์ของตระกูลหวังก็พลันพุ่งเข้าไปคอยดูและหวังจิ่นหลิงที่ข้างกายในทันที องครักษ์ขององค์รัชทายาทก็เช่นกัน พร้อมทั้งเข้าไปร่วมสมทบกับหวังจิ่นหลิงด้วย

ทั้งสองพลันสบตากัน แต่ทว่า ก็มิได้พูดอะไรออกมา

ถึงแม้ว่า ทั้งองค์รัชทายาทและหวังจิ่นหลิงจะมีองครักษ์คอยคุ้มกันความปลอดภัยอย่างหนาแน่น แต่พวกเขาหาได้ออกจากสถานที่เสี่ยงอันตรายไม่

สถานการณ์ในยามนี้ มีทั้งความเสี่ยงอันตรายและโอกาสที่เข้ามาด้วยเช่นกัน ทั้งองค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่หาได้สนใจว่าตนเองจะเป็นอันตรายอันใดไม่ ในยามที่เกิดศึกสงคราเช่นนี้ พวกเขายังคงยืนอยู่เคียงข้างราษฏรไม่ไปไหน เช่นนี้ ข่าวลือในคุณงามความดีของพวกเขาต้องถูกล่ำลือกันไปไกลแน่

ไม่ว่าจะ สำนักเรียนหรือศาสนาต่าง ๆ ก็จักต้องจารึกเอาไว้!

หลังจากที่ผู้คนค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ได้แล้วนั้น ทุกคนต่างก็ทำตามที่เฟิ่งชิงเฉินบอก ค่อย ๆ ทยอยออกและเข้าเมือง ทุกคนต่างก็ไม่ลืมที่จะพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “องค์รัชทายาทเป็นคนดี คุณชายใหญ่เป็นคนดี”

“ตงหลิงของเรามีองค์รัชทายาทที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” คนคุ้มกันที่มาส่งหวังจิ่นหลิงนั้น เมื่อเห็นว่าหวังจิ่นหลิงมิเป็นอันตรายใด ๆ แล้ว ก็ค่อย ๆ ออกจากเมือง ก่อนออกไป ยังไม่วายหันมามององค์รัชทายาทด้วยแววตาที่ชื่มเช่นกัน

องค์รัชทายาทร่างบาง ดูเหมือนจักมีฐานะสูงขึ้นมาบ้างแล้ว

ภายในใจขององค์รัชทายาทในยามนี้ ความรู้สึกต่าง ๆ พลันปะปนเข้ามาไม่มีหยุด เขามิเคยคิดมาก่อนเลยว่า แม้แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายเช่นนี้ มันจักสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาให้เขาได้ รัชทายาทของแคว้นตงหลิงที่เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ มิได้เป็นที่สนใจของราษฏรในแคว้นมากนัก ในยามนี้ กลับสามารถขึ้นมาเป็นที่เคารพรักต่อราษฏรในแว่นแคว้นตนเองได้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท