ไม่ไว้หน้า
เรื่องที่ตระกูลเซี่ยไม่ไว้หน้านาง ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี ในตอนนี้หากนางจะไปสมานสัมพันธ์กับตระกูลเซี่ยก็ดูจะกลายเป็นเรื่องน่าสงสัย แต่หากจะไม่ให้นางก้าวออกมาเผชิญหน้าจัดการกับตระกูลเซี่ย คงจะทำให้เกิดความคับข้องใจมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ทำอย่างเด็ดขาด
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกัน อีกอย่างหากเทียบกันแล้ว ชีวิตคนกับศักดิ์ศรีจะเทียบกันได้อย่างไร” ใช้โอกาสในการหลีกเลี่ยงภัย เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของมนุษย์ นางไม่ใช่เงินทองที่ผู้ใดเห็นก็ล้วนจะรักใคร่ไปเสียทุกคน ไม่ใช่ว่ารถม้าคันใดขับผ่านก็จะต้องพากันหยุดมองนาง
อย่างมาก เมื่อรถม้าของเสด็จอาเก้าเห็นนางก็คงจะหยุดมองดูชั่วครู่เท่านั้น
ซุนเจิ้งเต้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เขาเพียงจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินเหมือนต้องการจะมองเข้าไปในหัวใจนาง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใด นางปล่อยให้เขาจับจ้อง
“เจ้าช่างมองได้ลึกล้ำเสียจริง การปล่อยวางได้เช่นนี้นับว่าเป็นบุญนัก” ซุนเจิ้งเต้าพยักหน้า แววตาของเขาแฝงไปด้วยความชื่นชมยินดีเพราะไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นด้วย
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าปล่อยวางหรือไม่ แม้ว่าข้าจะเป็นคนที่ชนเข้ากับกำแพงแล้วก็ไม่คิดจะย้อนกลับ แต่หากว่ารู้อยู่แล้วว่านั่นคือกำแพง แน่นอนว่าข้าจะไม่พุ่งเข้าไปชนมัน” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืนแล้วจับจดหมายที่อยู่ในแขนเสื้อเอาไว้
“เรื่องนี้ตกลงตามนี้ ที่เหลือคงต้องฝากไว้กับท่านหมอหลวงซุนแล้ว” ซุนเจิ้งเต้าตอบรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางจะไปเกรงใจเขาทำไมเล่า
“วางใจเถิด ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร หากตระกูลเซี่ยอยากจะได้องค์ชายก็จะต้องออกแรงหน่อย” ซุนเจิ้งเต้ารู้ดีว่าจุดอ่อนของตระกูลเซี่ยอยู่ที่ใด
“เรื่ององค์ชายนั้นยังค่อนข้างห่างไกล ข้าคิดว่าเซี่ยกุ้ยเฟยควรจะพยายามสักหน่อย” นางยังพอมีพื้นที่ในการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไป เมื่อตั้งครรภ์ถึงเวลานับสิบเดือนคลอดออกมายังไม่รู้ว่าจะได้องค์ชายหรือไม่ สู้คว้าโอกาสตรงหน้าไว้ไม่ดีกว่าหรือ
“เจ้าหมายความว่า……” ซุนเจิ้งเต้าหรี่ตาลง ดวงตาของเขาอันแหลมคมไม่อาจจะซ่อนเอาไว้ได้ และถูกเฟิ่งชิงเฉินจับได้พอดี
หมอหลวงคนหนึ่งเหตุใดจึงมีความสามารถเก่งกาจแหลมคมและมองทุกอย่างได้อย่างกระจ่างแจ้งเช่นนี้กัน? ในใจของเฟิ่งชิงเฉินมีคำถามเกิดขึ้น
ซุนเจิ้งเต้า คนผู้นี้ยิ่งรู้จักยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดาเลย
ซุนเจิ้งเต้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ ก่อนหน้านี้นางเคยสงสัยว่าซุนเจิ้งเต้าเป็นคนของเสด็จอาเก้า แต่หลังจากช่วงนี้ที่ได้ทำความรู้จักกันแล้วกลับพบว่าไม่ใช่
ปฏิกิริยาของซุนเจิ้งเต้ารวดเร็วว่องไวเพียงนี้ เขาสามารถหลบเลี่ยงแววตาอันชาญฉลาดเมื่อครู่ แล้วยิ้มจางๆ ไปทางเฟิ่งชิงเฉินเหมือนเป็นการปกปิด “ตระกูลเซี่ยจะทำเช่นนั้นหรือ?”
“แน่นอน การที่เพิ่มตำแหน่งหวงไปด้านหน้ากุ้ยเฟยหนึ่งคำ บุตรที่เกิดมานั้นก็จะได้รับความยิ่งใหญ่กว่าเดิม” แต่ละคนล้วนมีความลับ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ไตร่ถาม นางแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบา
“แม้ว่ามารดาจะสร้างความมั่งคั่งด้วยบุตร แต่โดยมากแล้วบุตรจะมั่งคั่งได้ด้วยมารดา บุตรชายของหวงกุ้ยเฟยถึงอย่างไรก็ได้รับความเคารพนับถือมากกว่าบุตรของกุ้ยเฟยธรรมดา เพื่ออนาคตขององค์ชายแล้ว ตระกูลเซี่ยจะต้องพยายามอย่างแน่นอน……”
ไทเฮาและไทเฟย ต่างกันเพียงแค่คำเดียวแต่สิ่งที่ได้รับนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน
“เจากำลังกำจุดอ่อนของตระกูลเซี่ย” ผู้คนในพระราชวังเพียงแค่มีสมองบ้างเล็กน้อยก็พอจะเข้าใจว่าตระกูลเซี่ยตั้งใจทำสิ่งใด
พวกเขาหวังว่าองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งราชวงศ์ตงหลิงจะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเขาไม่ใช่หรือ?
“หากต้องการความมั่งคั่งล้นฟ้าก็จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต คนในตระกูลเซี่ยเข้าใจในผลเสียผลดีของเหตุผลนี้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเรากล่าวมากความ และด้วยเหตุนี้เองข้าตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะเชิญหวังจิ่นหลิงมารับประทานอาหารสักหน่อย” มุมปากของเฟิ่งชิงเฉินเผยอเป็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ขึ้นมา จากนั้นผ่อนคลายลง ความมุ่งมั่นหนักแน่นที่แผ่ซ่านออกมา มองจากภายนอกดูเหมือนเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาทั่วไป
ริมฝีปากของซุนเจิ้งเต้าเยอะยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะกำชับตามภาษาผู้หลักผู้ใหญ่ว่า “เจ้าเล่นใหญ่เพียงนี้ ไม่กลัวว่าองค์จักรพรรดิจะโมโหหรือ ของขวัญนี้อาจทำให้เขาโมโหจนแทบตาย”
“ไม่หรอก องค์จักรพรรดิจะดีใจสิไม่ว่า เพียงแค่หลี่เซี่ยงไม่ตาย คาดว่าองค์จักรพรรดิคงจะไม่โมโห เพียงแค่หลี่เซี่ยงไม่ตาย ฝ่าบาทจะไม่ทำการบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน คนเรานั้นหากว่ามีความหวัง ก็จะเอาแต่ตั้งตารอคอย”
หากวันใดที่หลี่เซี่ยงยังไม่ตาย องค์จักรพรรดิก็จะตั้งตารอคอยสืบสานความฝันอันงดงามของเขาต่อไป ดังนั้นเมื่อเผชิญกับเรื่องการแก่งแย่งระหว่างจักรพรรดินีและเซี่บกุ้ยเฟย คาดว่าคงไม่ให้ความสำคัญใด
“เจ้ารู้ขอบเขตก็ดีแล้ว” ซุนเจิ้งเต้ารู้สึกดีใจยิ่งนัก เพราะเฟิ่งชิงเฉินทำเรื่องใดก็ตามไม่เคยฝุ่นหันพลันแล่น นางมองสถานการณ์แล้วจึงจะวางหมากลงไปบนกระดาน
“ข้ารู้สึกหวงแหนชีวิตของตนยิ่งนัก” ชีวิตนี้สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกลัวที่สุดไม่ใช่ไม่มีความรัก แต่กลัวความตายต่างหาก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย แท้จริงแล้วความรู้สึกเป็นสิ่งที่เปราะบางเหลือเกิน อย่างน้อยตัวนางเองจะไม่ยอมเสียสละชีวิตตนเพื่อความรักอย่างเด็ดขาด
เพราะนางพบเจอกับความเกิดแก่เจ็บตายมามากมาย อีกทั้งตัวนางเองก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินหวงแหนชีวิตของตนมากกว่าใครๆ ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม นางจะไม่เอาชีวิตมาเป็นเดิมพันกับความตายเด็ดขาด
นางร้องขอความคุ้มกันจากตงหลิงจื่อลั่วครึ่งปี นี่ก็ใกล้ถึงแล้ว คนที่ลงมือในเวลานั้นคาดว่าคงจะลงมืออีกครั้งในเร็วๆ นี้ แต่ตัวนางในบัดนี้ร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนมากนัก นางจะต้องวางแผนให้ดีแล้วดึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาให้ได้ สิ่งใดควรจัดการก็ต้องจัดการให้สิ้นซากไป
“จงใช้ชีวิตให้ดี หากบิดามารดาของเจ้าเห็นตัวเจ้าเป็นเช่นนี้คงจะดีใจยิ่งนัก” ซุนเจิ้งเต้ายืนในทิศทางย้อนแสง จึงทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ก็แปลกยิ่งนักเหตุใดจู่ๆ ซุนเจิ้งเต้าจึงได้กล่าวถึงบิดามารดาของนาง
ในเมืองหลวงนี้ ผู้ที่เอ่ยถึงบิดามารดาของนางมีไม่มาก มีลู่เส้าหลินคนหนึ่งและซุนเจิ้งเต้าอีกคนหนึ่ง ที่จริงแล้วในใจของเฟิ่งชิงเฉินอยากจะเอ่ยถาม แต่ซุนเจิ้งเต้ากลับเอามือไขว้หลังแล้วยกมือขึ้นเป็นการปฏิเสธ
เอาเถอะ ไม่ถามก็ได้!
เมื่อกลับมาถึงจวนเฟิ่ง หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ได้อาบน้ำชำระกายภายใต้การดูแลของสาวรับใช้ เพื่อเป็นการผ่อนคลายให้แก่นาง สาวรับใช้ได้ทำการนวดกล้ามเนื้อตามจุดให้นางด้วย หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกผ่อนคลายสบายกาย ไม่ได้มีท่าทางเหนื่อยล้าเช่นก่อนหน้านี้
ต้องขอบอกว่าบรรดาบ่าวรับใช้ที่หวังจิ่นหลิงส่งมาให้นางนั้นไม่เลวเลย น่าเสียดายที่บ่าวรับใช้ในจวนเฟิงนั้นค่อนข้างแย่ สาวรับใช้เช่นนี้จะทำการฝึกฝนมาตั้งแต่เล็ก และสาวรับใช้เช่นนี้นับขั้นตอนตั้งแต่การคัดเลือกมาจนถึงผ่านกระบวนการขั้นสุดท้าย คาดว่าคงต้องใช้เวลาเป็นสิบปี
เฟิ่งชิงเฉินให้คนส่งจดหมายไปให้หวังจิ่นหลิง เชิญเขาไปที่หอจู๋เฟิงในเมืองหลวงเพื่อรับประทานอาหาร นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉิน เชิญผู้อื่นมาร่วมรับประทานอาหารด้วย
หวังจิ่นหลิงได้รับหนังสือเชิญนั้น เขาเองแทบไม่เชื่อเอาเลย หากไม่ใช่คนของตระกูลหวังนำมาให้ เขาจะไม่รับมันไว้อย่างแน่นอน เขาอ่านมันอยู่นับไม่ถ้วนครั้งก่อนจะยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “คุณหนูของพวกเจ้า ในที่สุดก็มีท่าทางเป็นคุณหนูสักที จงตอบนางไปว่าข้าจะเดินทางไปให้ตรงเวลาอย่างแน่นอน”
ในตอนกลางคืนที่เฟิ่งชิงเฉิน นางจะไม่ให้บ่าวรับใช้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนตามความเคยชิน และในค่ำคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน หลังจากกำชับให้บ่าวรับใช้ไปจองโต๊ะอาหารที่หอจู๋เฟิงเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็สั่งให้สาวรับใช้กลับออกไป
หอจู๋เฟิงเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ที่แห่งนั้นจะต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยถึงครึ่งเดือน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องเป็นกังวล พ่อบ้านที่ทางตระกูลหวังส่งมาให้จัดการเรื่องราวได้ดีทีเดียว ต่อให้จองยากเพียงไรคนจากตระกูลหวังก็จัดการได้ไม่มีปัญหา
“แค่กๆ ……” เชิญหวังจิ่นหลิงร่วมรับประทานอาหารแต่ยังต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลหวัง เรื่องนี้มันช่าง…… แต่ช่างเถิด คาดว่าหวังจิ่นหลิงคงจะไม่ถือสา
หลังจากเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน เฟิ่งชิงเฉินก็เอนกายลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า ในขณะที่นางกำลังหลับอย่างสบายใจอยู่นั้น ก็ถูกคนเรียกปลุกขึ้นมา ……
ยังคงเป็นมือของคนจากตระกูลซูผู้นั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกกระสับกระส่ายเฉกเช่นก่อนหน้านี้ นางสะบัดมือของซูเหวินชิง อันร้อนผ่าว แล้วอ้าปากหาว
“ซูเหวินชิง เจ้าไปชงชามาให้ข้ากาหนึ่ง ยิ่งเข้มยิ่งดี” นางรู้ดีว่าในวันนี้คงไม่อาจนอนหลับได้แล้ว เพราะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บตอนนี้นอกจากปู้จิงหยุนและยังมีหลานจิ่วชิงด้วย
“นับวันเจ้ายิ่งไม่เห็นว่าตนเป็นคนนอกแล้ว” ซูเหวินชิงเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่ดูแข็งแกร่ง กระโดกกระเดกเพียงนั้น ความรู้สึกที่เคยคิดกับนางเป็นอื่นก็ได้ดับสิ้นไปนานแล้ว
เขากลัว หากว่าสตรีเช่นนี้แต่งไปเป็นภรรยา เมื่อนั่งกินข้าวด้วยกัน นางคงจะกล่าวกับเขาถึงเรื่องเช่นว่าวันนี้ท้องไส้ของใครเป็นอย่างไรบ้าง ปอดเป็นอย่างไรบ้าง นางผ่าศพมาแล้วกี่ศพ เขาคงจะอาเจียนจนแทบตาย!
จากนั้นเมื่ออยู่บนเตียงก็เอาแต่บอกกับเขาถึงวิธีการชันสูตรศพและการผ่าสมอง คาดว่าเขาคงจะตกอกตกใจเสียจนกระโดดลงจากเตียงอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าเขาขี้ขลาด แต่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินที่ใจกล้าจนเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดก็กล้าจะเข้าไปข้องเกี่ยวทั้งนั้น ไม่กลัวว่าชีวิตน้อยๆ ของตนจะจบเห่เอาเสียเลย
เขาครุ่นคิดอยู่ว่า จิ่วชิงแย่แล้วล่ะ หากจิ่วชิงรู้เข้าว่าในวันพรุ่งนี้เฟิ่งชิงเฉินจะเดินทางไปที่หอจู๋เฟิงเพื่อรับประทานอาหารกับหวังจิ่นหลิง คาดว่าเขาคงจะอึดอัดใจตาย