“เชื่อใจงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวพึมพำออกมา คำพูดของบุรุษเชื่อถือได้งั้นหรือ? คำพูดของเสด็จอาเก้าเชื่อถือได้หรือไม่?
ทว่า ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่เชื่อ นางย่อมมีเพียงทางเลือกเดียวคือการเชื่อใจเท่านั้น ถึงแม้ว่านางจะไม่เชื่อ นางย่อมไม่อาจทำอะไรเสด็จอาเก้าได้อยู่ดี? เฟิ่งชิงเฉินพลางมองไปที่เสด็จอาเก้า ใบหน้าของนางในยามนี้ แลดูสิ้นหวังและหมดหนทางยิ่งนัก พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความเศร้าใจว่า “เสด็จอาเก้า ชิงเฉินเชื่อใจท่าน”
เฟิ่งชิงเฉินเพียงทิ้งคำพูดเอาไว้เท่านี้ พร้อมทั้งเปิดประตูรถม้าและกระโดดลงไปในทันที หาได้สนใจอาภรณ์ของตนเองที่ยับยู่ยี่และรูปลักษณ์ที่ดูน่าอับอายของตนเองไม่ แล้วจึงก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าจวนไปในทันที
เชื่อใจท่านหรือ นางย่อมไม่อาจรับความรู้สึกผิดหวังหรือโดนรังแกได้อีก เพราะนั่นคือการทรยศ ทั้ง ๆ ที่ตนเองรู้ว่าไม่ควรที่จะเชื่อใจท่าน
เสด็จอาเก้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม มิได้ขัดขวางนางแต่อย่างใด ทั้งยังมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เพียงแค่มองดูแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่เสด็จอาเก้ากลับมาคิดทบทวนกับตนเองว่า ตนทำเกินไปหรือไม่ เขาพยายามเป็นอย่างมากที่จะคิดหาวิธีที่ทำร้ายนางให้น้อยที่สุด ถึงอย่างไร มันก็เป็นการทำร้ายนางอยู่ดี
“ไปกันเถอะ” เสด็จอาเก้าพลันถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งสั่งให้ปิดประตูรถม้าในทันที
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นที่ตำหนักแยกของเขาเช่นนี้ เขาย่อมต้องเสียสละบางอย่าง เพื่อดับอารมณ์โกรธของค์จักรพรรดิและราชวงศ์ซีหลิง ยามที่ตกเป็นเป้าเช่นนี้ เขาย่อมทำสิ่งใดไม่ค่อยสะดวกมากนัก
“เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เปิ่นหวางเชื่อเจ้า เชื่อว่าเจ้าจะผ่านเหตุการณ์ที่น่าลำบากนี้ไปได้”
เสด็จอาเก้าพลันหลับตาลง พร้อมทั้งเอนตัวพิงอยู่บนรถม้า เพื่อทำการพักผ่อนในทันที
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เป็นถึงเรื่องขององค์หญิงต่างแคว้น ทั้งยังมีเหตุการณ์ที่ต้องคอยจัดการในภายหลังอีกมากมายนัก เขาจึงต้องตั้งสติเพื่อรับมือกับมันให้ดี
เชื่อ!
นางอยากจะเชื่อเสด็จอาเก้ายิ่งนัก หากแต่ สุดท้ายแล้วนางจะได้รับอะไรกลับมาเล่า?
เวลาเพียงสิบวัน ก็พลันมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในทันที เป็นอีกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องตกอยู่ในข่าวลือพวกนั้นอีกแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักแยกของเสด็จอาเก้ามีคนรู้เรื่องมากเกินไปนัก อีกทั้งยังไม่อาจเก็บมันเป็นความลับเอาไว้ได้ หากแต่ข่าวลือที่ถูกแพร่ออกมาหาได้เป็นเรื่องของซีหลิงเหยาหวากับตงหลิงจื่อชุนไม่ กลับเป็นเรื่องของนางและเสด็จอาเก้าแทน
ฮ่าฮ่าฮ่า
“ท่านซื่อจื่อ ท่านคิดว่าปีนี้ข้าจะโชคร้ายทั้งปีหรือไม่ แท้จริงแล้วข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่ แต่เหตุใดความโชคร้ายต้องมาตกอยู่บนตัวข้าทุกครั้งไป” เฟิ่งชิงเฉินยังยิ้มอยู่เช่นเดิชม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูทนทุกข์กว่าร้องไห้ยิ่งนัก
ซีหลิงเหยาหวาคือองค์หญิง ชื่อเสียงที่ด่างพร้อยของนางจะส่งผลต่อหน้าตาของราชวงศ์ซีหลิง แล้วนางเล่า? นางมิต้องมีหน้าตาของตนเองงั้นหรือ?
บิดามารดาของนางตายคู่ นางที่ไร้ญาติมิตร นางผิดอันใด? เพียงแค่เพราะไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยแล้ว นางจะมีชื่อเสียงเสื่อมเสียเช่นไร ย่อมไม่เป็นอันใดต่อหน้าตาของวงศ์ตระกูลงั้นหรือ นางสมควรได้รับความโชคร้ายเช่นนี้งั้นหรือ?
ราชวงศ์ต้องการหน้าตาของตน แล้วนางมิต้องการหรือ?
จักรพรรดิตงหลิงมิต้องการให้มีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นก่อนงานพระราชสมภพของตน ต้องการที่จะเอาใจราชวงศ์ซีหลิง นางถึงต้องกลายมาเป็นแพะรับบาปเช่นนี้หรือ?
เพราะอะไร เพราะอะไรกัน พวกท่านทุกคนถึงกล้าเอาความผิดพวกนั้นมาเทใส่บนตัวของข้าเช่นนี้ นางที่เป็นสตรีบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง แต่กลับถูกผู้คนในใต้หล้ากล่าวหาว่าเป็นสตรีที่สูญเสียพรหมจรรย์ก่อนงานแต่ง ทั้งที่นางเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพ เหตุฉไนถึงได้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉกเช่นนางโลมในหอโคมเขียวด้วยเล่า
คืนวันนั้น เป็นเสด็จอาเก้าที่ย่องเข้าห้องของนางเองแท้ ๆ ทั้งยังเรียกนางออกมาอีกด้วย แต่เพราะเหตุใดกัน พวกเจ้าถึงกล่าวหาว่าข้าล่อลวงเสด็จอาเก้า
ถึงแม้ว่านางจะมิได้กลัวข่าวลือ แต่นั่นมิได้หมายความว่า นางจะชื่อชอบที่ตนเองตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเช่นนี้ ถึงแม้ว่านี่จะมิได้เป็นครั้งแรก ที่นางพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า นางจะสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้และทำตัวเคยชินกับมันได้
ตี๋ตงหมิงมิรู้ว่าควรจะปลอบใจเฟิ่งชิงเฉินอย่างไรดี ในสายตาของเขานั้น การที่เฟิ่งชิงเฉินตกเป็นข่าวลือ ถือเป็นการช่วยปกป้องนางอีกทางหนึ่ง หากนางได้มีเกี่ยวพันกับเสด็จอาเก้าเช่นนี้ ผู้ใดย่อมไม่กล้ามาลงมือกับนาง “ชิงเฉิน เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ? ต่อไปย่อมไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรกับเจ้าแล้ว หากว่าซีหลงเทียนเหล่ยต้องการดึงดันจะแต่งเจ้าเป็นนางสนมของเขานั้น แล้วฝ่าบาทยินยอมละก็ ถึงเวลานั้น เสด็จอาเก้ามิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก เมื่อมีคำพูดของเสด็จอาเก้าเช่นนี้ ซีหลิงเทียนเหล่ยย่อมมิอาจหมายตาเจ้าได้”
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ก็คือ หลังจากที่เรื่องของซีหลิงเหยาหวาเกิดขึ้นนั้น ตงหลิงจื่อลั่วถึงกับร่ำสุราเมามายไปถึงสามวัน หลังจากที่เขาสร่างเมานั้น ก็กลับมาทำตัวปกติเช่นเดิม ราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก
หากผู้ที่มิได้รู้ความจริง ย่อมเข้าใจไปว่าตงหลิงจื่อลั่วรู้สึกเศร้าใจเพราะเฟิ่งชิงเฉิน หากแต่ตี๋ตงหมิงรู้ดีว่า ตงหลิงจื่อลั่วมีใจที่อยากจะกินเฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้วย
เรื่องของซีหลิงเหยาหวานั้น เป็นอย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่า เรื่องนี้เสด็จอาเก้าย่อมไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ฉะนั้นแล้ว ฝ่าบาทจึงได้โหมกระหน่ำข่าวลือของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมา เพื่อเป็นการสั่งสอนเสด็จอาเก้าอีกทางหนึ่ง
แต่เสด็จอาเก้าจักใช้วิธีที่น่าเบื่อเช่นนี้มาจัดการกับซีหลิงเหยาหวาได้อย่างไรกัน?
ซีหลิงเหยาหวาและเสด็จอาเก้าหาได้มีความคับข้องหมองใจต่อกันไม่ ทั้งยังมิได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้อีก หากจะทำให้ซีหลิงเหยาหวาตกตายอยู่ในน้ำมือได้นั้น มีเป็นพันกว่าวิธีเสียด้วยซ้ำ ทว่า ผู้ที่เป็นคนบงการเบื้องหลังในครานี้ ย่อมต้องเป็นเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น งิ้วที่ซีหลิงเหยาหวาทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องกลายมาเป็นสตรีที่สูญเสียพรหมจรรย์ก่อนงานแต่งของตนเองนั้น ในยามนี้ มิใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังเอาคืนนางโดยวิธีเช่นเดียวกันงั้นหรือ จะได้รู้เสียบ้างว่าผู้ที่ต้องโดนกระทำเช่นนั้น ต้องรู้สึกเช่นไร
เพียงเพราะสตรีผู้เดียว ตงหลิงจื่อลั่วย่อมไม่กล้าไปเอาเรื่องกับเสด็จอาเก้าได้แน่ แต่เขาสามารถมาเล่นงานกับเฟิ่งชิงเฉินได้
คำพูดของเสด็จอาเก้านั้น นับว่าเป็นการปกป้องเฟิ่งชิงเฉินอีกทางหนึ่ง แม้ว่าเสด็จอาเก้าจักรู้ดีว่า หากพระองค์พูดขึ้นมาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจักต้องตกเป็นข่าวลือแน่ ๆ ทั้งยังเป็นอาวุธของฝ่าบาทที่จะใช้หักหน้าพระองค์อีกด้วย
“ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรข้างั้นหรือ? ความคิดของท่านซื่อจื่อ ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก” รอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉิน ดูขมขื่นมากกว่าปกติ
สิ่งที่นางเสียใจหาใช่เพราะข่าวลือของนางไม่ หากแต่เป็นเพราะนางถูกใช้เป็นเครื่องมือของเสด็จอาเก้าต่างหาก เสด็จอาเก้าคิดไว้อยู่แล้ว ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่พระองค์ก็ยังลากนางให้เข้ามาอยู่ในหมากกระดานนี้อีก เฟิ่งชิงเฉินคิดมาโดยตลอดว่าเสด็จอาเก้าจะไม่คิดบัญชีกับนางแน่ ๆ แต่เป็นนางที่มั่นใจในตนเองมากไป
เสด็จอาเก้าทำกับซีหลิงเทีบนเหล่ยและซีหลิงเหยาหวาคือการตบหัวแล้วลูบหลัง เพื่อมิให้เขามีที่ระบายอารมณ์โกรธ แต่กับนาง สิ่งที่เสด็จอาเก้าทำคือการลูบหลัง แล้วค่อยตบหน้านางอย่างเต็มแรง ตบนางเสียจนไม่รู้ว่ารสชาติที่ได้คือหวานหรือความขมขื่น
“ชิงเฉิน ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย ข้าคิดว่าเรื่องนี้ดีเสียอีก มีเสด็จอาเก้าถือข้างเจ้าเช่นนี้ เจ้าพวกหมาแมวตัวอื่น ๆ ย่อมไม่กล้าเข้ามายุ่งกับเจ้าได้ อีกทั้งด้วยชื่อเสียงของเจ้าแล้ว เพิ่มเรื่องนี้เข้าไปอีก ก็ไม่นับว่าลำบากอันใดมิใช่หรือ เจ้าหาได้ทุกข์ร้อนอันใดไม่” ผู้ที่น่าสงสารมากกว่าเสด็จอาเก้า ก็คือผู้ที่ติดร่างแหมากับเรื่องนี้ด้วย
แต่เดิมตี๋ตงหมิงเป็นคนพูดตรง ๆ อยู่แล้ว ยามเมื่อสบสายตาเข้ากับแววตาที่เจ็บปวดของเฟิ่งชิงเฉิน เขาจึงได้แต่เบาเสียงพูดของตนเองลง และไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
เขาพูดอะไรผิดไปหรือ? ก็ไม่มีนี่?
ตี๋ตงหมิงมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก จิ่นหลิงให้เขามาปลอบใจนาง แต่ดูเหมือนว่า เขาจะทำให้เรื่องมันแย่ลงเสียแล้ว
“ที่แท้ เจ้าก็คือว่า ชื่อเสียงของข้า จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกันเช่นนั้นหรือ?” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป
ที่แท้ ในความคิดของตนพวกนี้ นางสามารถโดนรังแกเช่นไรก็ได้งั้นหรือ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หากชื่อเสียงของนางที่ย่ำแย่จนถึงเพียงนี้ จะโดนเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องสองเรื่อง ก็ไม่ต่างอันใดงั้นหรือ ฉะนั้นแล้ว พวกเขาจึงได้เลือกใช้นาง เพื่อความสบายใจของพวกเขาเอง ทั้งยังช่วยล้างมลทินให้กับเสด็จอาเก้าได้ แต่ชื่อเสียงของนางจะเสื่อมเสียเช่นไรก็ได้
เฮอะเฮอะ ครั้งนี้ เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาด้วยความสะใจยิ่งนัก
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?” ตี๋ตงหมิงตกใจกับความผิดปกติของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปมีเรื่องอะไรได้ เจ้าพูดถูก ถือเป็นความโชคดีของข้ายิ่งนัก ใช่แล้ว เรื่องของใต้เท้าซุนเป็นเช่นไรแล้วเล่า? ช่วงนี้ข้ามิได้ออกไปข้างนอกมากนัก เรื่องภายนอกของจวนจึงมิใคร่รู้มากนัก” เฟิ่งชิงเฉินระงับอารมณ์เศร้าเสียใจของนางเอาไว้ พร้อมทั้งพาเปลี่ยนหัวข้อเรื่องพูดคุยในทันที
หากนางพูดไปแล้วจะเป็นเช่นไรได้ ตี๋ตงหมิงย่อมไม่เข้าใจความคิดของนาง เสด็จอาเก้าก็เช่นกัน คนพวกนี้ล้วนแต่คิดไปเองว่า สตรีที่ที่แปดเปื้อนเช่นนาง การได้เข้าหาเสด็จอาเก้านับว่าเป็นเรื่องที่ดี ทั้งยังไม่อาจแต่งเข้าเป็นพระชายาเสด็จอาเก้าได้อีก หากได้แต่งเข้าไปย่อมต้องเป็นบาปมากกว่า
เวลายังอีกยาวไกลนัก หากซีหลิงเหยาหวาแต่งให้กับตงหลิงจื่อชุนเมื่อใดนั้น ยังจะต้องมีเรื่องราวตามมาอีกมากนัก ขอเพียงแค่อดทนผ่านวันพระราชสมภพขององค์จักรพรรดิไปก่อนเท่านั้น