เมื่อมาถึงที่จวนเฟิ่ง ซุนเจิ้งเต้าได้เห็นกลุ่มคนมากมายที่กำลังมองมาที่เฟิ่งชิงเฉิน จึงรีบจัดการหาที่พัก และพานางไปที่ห้องหนังสือ โดยที่ไม่ได้ให้โอกาสนางได้พูดคุยกับซุนซือสิงและซุนฮูหยินเลยแม้แต่น้อย
ไม่ได้เป็นเพราะว่าซุนเจิ้งเต้าเป็นคนที่ตกใจและอ่อนไหวง่ายเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วองครักษ์ทั้งสิบหกคนที่อยู่รอบตัวเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีท่าทางที่น่ากลัว ร่างกายเหมือนเสือ สายตาเหมือนหมาป่า เพียงมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเขาเพิ่งจะฆ่าคนมา กลิ่นอายที่ดุร้ายบนร่างกายของพวกเขาทำให้คนอื่นๆต้องถอยกลับไป
ซุนเจิ้งเต้ากังวลว่าจะเกิดเรื่องกับเฟิ่งชิงเฉิน ในตอนที่เขาเข้าไปถามให้ชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเอามือเช็ดหน้าผากด้วยท่าทีที่กังวลใจเป็นอย่างมาก
เขาผิดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจะไปทุกข์ร้อนเรื่องอะไร คนที่รู้สึกทุกข์ร้อนนั้นล้วนเป็นคนที่ไม่ได้สบสายตากับนางต่างหาก
“ชิงเฉิน ทำไมเจ้าถึงได้ประมาทเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการฆ่าคนกลางถนนแบบนั้นมีโทษถึงขั้นประหาร ถ้าหากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเจ้าได้แน่
เจ้าฆ่าผู้คนบนถนนไปมากมาย ต่อให้อยากปิดก็คงไม่สามารถปิดบังไว้ได้ เรื่องนี้คงไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้แล้ว เจ้าไม่สามารถใช้วิธีการอื่นได้หรืออย่างไรกัน?
ถ้าหากไม่ได้ เจ้าฆ่าเพียงคนสองคนก็สร้างความตกใจได้มากแล้ว การฆ่าคนไปมากมายขนาดนี้ จะกระตุ้นความโกรธแค้นของประชาชน ต่อให้ฝ่าบาทต้องการจะเพิกเฉยก็ไม่สามารถทำได้”
ในขณะเดียวกัน ที่ส่วนลึกของจิตใจมีความสุขและความปีติเกิดขึ้นมาเล็กน้อย สมกับที่เป็นสายเลือดของตระกูลเฟิ่งหลี ในร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีเลือดของตระกูลเฟิ่งหลีที่ไหลเวียน และในกระดูกก็มีความโอหังและทรงเกียรติของตระกูลเฟิ่งหลีที่ยังคงเป็นเหมือนดังเดิม
เมื่อได้เผชิญหน้ากับแผนการปองร้าย ก็ควรจะฆ่าเพื่อเป็นตัวอย่าง ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ในยุคสมัยอดีตราชวงศ์ การฆ่าขอทานร้อยคนก็สามารถยุติเรื่องนี้ได้
ทำให้จักรพรรดิทรงโกรธ ศพจะถูกฝังเอาไว้ในที่ห่างไกลหลายพันไมล์ ให้เฟิ่งหลีโกรธ จะมีศพนอนเกลื่อนอยู่ทุกที่
ปลุกพลังตระกูลเฟิ่งหลี สังหารอย่างไร้ความปรานี!
สตรีสูงศักดิ์ของตระกูลเฟิ่งหลีควรจะมีสถานะและตำแหน่งที่สูงส่ง ควรที่ทำการสังหารได้อย่างเด็ดเดี่ยว แบบนั้นถึงจะไม่เสียชื่อเสียงของคำว่า “เฟิ่งหลี” แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ยุคสมัยของอดีตราชวงศ์ คำว่า “เฟิ่งหลี” ไม่สามารถที่จะปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้ แต่กลับเป็นสิ่งที่จะเร่งเอาชีวิตของนาง
“ข้าก็ไม่ได้ต้องการจะปิดบัง จะให้ปิดบังอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจกับมัน นางจิบชาอย่างสบายใจ ท่าทางที่สบายอกสบายใจของนางทำให้คนต้องอิจฉา
ในตอนนี้ซุนเจิ้งเต้าไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือว่าควรจะดีใจ
ความไม่สะทกสะท้านแบบนี้ จิตใจเยือกเย็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าใครๆมีได้ แต่ว่า……
สถานะของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ เป็นเพียงสตรีของจวนขุนนางผู้ภักดี
“ชิงเฉิน ใกล้จะถึงวันประสูติของฝ่าบาทแล้ว เกิดการนองเลือดขึ้นแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นสิริมงคลอย่างมาก ฝ่าบาทจะต้องไม่พอใจแน่ๆ” ไม่ว่าใครที่อยู่ที่นี่ต่างก็ก้มหน้าลงอย่างหมดหนทาง มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหยิ่งผยอง
“ไม่พอใจก็ไม่พอใจ ข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าฝ่าบาทจะต้องยอมปล่อยข้าไป” ถ้าเกิดฝ่าบาทยอมปล่อยนางไปก็คงไม่มีทางปล่อยให้เกิดข่าวลือแพร่ออกไป
คิดว่านางเป็นคนโง่เง่าจริงๆหรือ ถ้าหากไม่ใช่เจตนาของฝ่าบาท จะมีข่าวลือของนางกับเสด็จอาเก้าแพร่ออกไปทั้งเมืองหลวงได้อย่างไร วันนี้ต่างจากเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้นางไม่มีความสามารถในการเผชิญหน้ากับข่าวลือ และไม่มีคนที่ช่วยนางยุติข่าวลือได้ แต่ในตอนนี้ต่างออกไป…….
มีองค์ชายใหญ่ ตี๋ตงหมิง หรือแม้แต่เสด็จอาเก้าอยู่ เป็นเรื่องง่ายมาก ที่พวกเขาจะระงับข่าวลือเช่นนี้
“เจ้ามีวิธีรับมือหรือ?” ซุนเจิ้งเต้ามองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างประหม่า
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตอบอะไร และมองไปที่ซุนเจิ้งเต้าอย่างมีความหมาย “ท่านเป็นกังวลมากว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับข้าหรือ?”
ปกติแล้วนางไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความเป็นความตายของนาง นางก็พบว่าซุนเจิ้งเต้านั้นเป็นคนที่มีความบริสุทธิ์ใจอย่างมาก
อะแฮ่ม……ซุนเจิ้งเต้าหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สบายใจและมีความอายอยู่เล็กน้อย “เจ้าเป็นอาจารย์ของลูกชายข้า จะไม่ให้ข้าเป็นกังวลได้อย่างไร ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ลูกชายของข้าก็คงไม่อาจสบายใจ”
“ถ้าหากท่านกังวลจริงๆ คงไม่ให้ลูกชายของท่าน นับถือคนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างข้าเป็นอาจารย์” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชื่อเสียงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบุคคล ละในโลกที่ปกครองด้วยความกตัญญู ความชอบธรรม ความเมตตากรุณา และคุณธรรมเช่นนี้ ชื่อเสียงยิ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
คนที่มีชื่อเสียงมาก ต่อให้ฆ่าคนหรือวางเพลิงก็สามารถเป็นที่เข้าใจของคนอื่นได้ แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสีย ทำเรื่องผิดพลาดเพียงน้อยนิด ผู้คนก็ไม่อาจให้อภัย แม้ว่าจะทำเรื่องที่ดีแล้ว ก็ไม่อาจได้รับคำตัดสินที่ดีจากผู้อื่น
นอกจากนั้นคนในยุคนี้ ก็ไม่มีใครที่อยากจะคบหากับคนที่ชื่อเสียงไม่ดี เหมือนกับคนที่อยากทำความรู้จักกับหวังจิ่นหลิงนั้นสามารถต่อแถวได้ตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดทาง และไม่มีใครที่อยากจะคบผู้หญิงที่ถูกตราหน้าว่า “เสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน” เช่นนางไว้เป็นเพื่อน หรือถ้าหากมีก็คงจะมีเพียงผู้หญิงไม่กี่คนที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากนาง
ชื่อเสียงและยศศักดิ์ของอาจารย์เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับลูกศิษย์ ถ้าหากอาจารย์เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ลูกศิษย์ก็จะถูกผู้คนให้ความสำคัญ ถ้าหากอาจารย์ชื่อเสียงไม่ดี ลูกศิษย์ก็จะถูกผู้คนดูถูก
ถ้าหากว่าซุนเจิ้งเต้าสนใจเรื่องนี้จริงๆ ก็คงไม่ยอมส่งให้ซุนซือสิงมาเป็นลูกศิษย์ของนาง ที่นางไม่พูดไม่ได้แปลว่านางไม่รู้ บางอย่างถ้าหากพูดออกมาอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมาย
“แต่เดิมที่ให้ซือสิงนับถือเจ้าเป็นอาจารย์ เป็นเพราะข้าเห็นถึงความสามารถทางการแพทย์ของเจ้า ข้าไม่ใช่คนที่ยึดติดกับเรื่องทางโลก” คำพูดนี้ของซุนเจิ้งเต้าไม่ได้โกหก แต่ถึงที่สุดก็ขาดความมั่นใจไปบ้าง
เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ ทำให้ซุนเจิ้งเต้ารู้สึกโล่งอก เหมือนกับได้ผ่านพ้นภัยพิบัติ เฟิ่งชิงเฉินส่งรอยยิ้มที่มีความหมายของคำว่า ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้พูดความจริง ไปให้กับซุนเจิ้งเต้า ทำให้ซุนเจิ้งเต้าตกใจจนกระสับกระส่าย
สัตว์ประหลาด! นี่คือสัตว์ประหลาด คงจะมีเพียงคนที่มีจิตใจแบบเช่นเสด็จอาเก้าเท่านั้น จึงสามารถเอาชนะนางได้
ซุนเจิ้งเต้าคร่ำครวญอยู่ในใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมา และกล่าวถามอีกครั้งว่า “ชิงเฉิน เจ้ามีวิธีเอาตัวรอดจากเรื่องนี้หรือไม่?”
ซุนเจิ้งเต้าไม่ได้สนใจคนที่สมควรตายเหล่านั้น แต่สนใจว่าเพราะเหตุการณ์นี้ จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆที่จะต้องมาตายเพราะคนเหล่านั้น
“วิธีเอาตัวรอด? แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับข้า? ในเมื่อเรื่องนี้มีคนที่สร้างปัญหาขึ้นมา ก็ต้องมีความสามารถจัดการกับผลที่ตามมาด้วย ผู้ก่อจลาจลเหล่านั้นดูถูกสตรีที่มีราชวงศ์ผู้มีอำนาจบนท้องถนน สมควรต้องตาย และข้าก็ได้ฆ่าไปแล้ว” มีสิทธิพิเศษแล้วไม่ใช่ ก็หมดสิทธิ์ไปอย่างสูญเปล่า
“ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะเจ้าหรือ?” ฆ่าคนไปแล้วยังสามารถมั่นใจได้มากขนาดนี้ ในตงหลิงนี้คงจะมีเพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินคนเดียวเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินจ้องไปที่ซุนเจิ้งเต้าด้วยความไม่พอใจ สายตาที่ไม่สนใจไยดี แต่กลับทำให้ซุนเจิ้งเต้ารู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา
“คนที่สร้างปัญหาคือเสด็จอาเก้าไม่ใช่ข้า ท่านวางใจเถอะ ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กๆเช่นนี้เขาไม่สามารถทำได้ เขาก็ไม่ใช่เสด็จอาเก้าแล้ว”
“เจ้ามั่นใจขนาดนี้เลยหรือว่าเสด็จอาเก้าจะยื่นมือมาช่วย?” ซุนเจิ้งเต้าไม่เข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน หรือว่านางไม่รู้ว่าราชวงศ์นั้นโหดเหี้ยมที่สุด การขอความช่วยเหลือจากคนของราชวงศ์แบบนี้มันบ้าไปแล้ว
เมื่ออยู่เบื้องหน้าอำนาจและอิทธิพล พ่อและลูกสามารถฆ่ากันเองได้ แต่นางเป็นเพียงคนนอกจะไปเกี่ยวข้องอะไร
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของเขา เขาต้องทำแน่ๆ” ดูเผินๆคือนางได้ฆ่าคน แต่ความจริงแล้วมันทำให้เกิดการแข่งขันกันของเบื้องสูง ถ้าหากนางได้รับการตัดสินโทษเพราะเรื่องนี้ นั้นแสดงว่าเสด็จอาเก้าแพ้แล้ว
ซุนเจิ้งเต้านึกขึ้นมาได้ในทันที และในที่สุดสีหน้าที่ตึงเครียดของเขาก็ผ่อนคลายลง “เจ้าพูดถูก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของเสด็จอาเก้า เขาจะไม่ทำให้เจ้าต้องรับโทษ ไม่เช่นนั้น การที่ต้องมาตายเพราะผู้ก่อจลาจลไม่กี่คนมันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ”
“วางใจเถอะ ข้าเห็นคุณค่าของชีวิตเล็กๆของข้ามาก ตระกูลเฟิ่งก็มีข้าเพียงคนเดียว ถ้าหากข้าตายไป ตระกูลเฟิ่งก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป” เฟิ่งชิงเฉินนั้นปรารถนาที่จะมีบ้านมาตลอด นางเร่รอนมาตลอดในชาติที่แล้ว ในที่สุดนางก็มีบ้านในชีวิตนี้ นางจะเต็มใจทิ้งมันไปได้อย่างไรกัน
ดวงตาทั้งสองของซุนเจิ้งเต้าแดงก่ำ และพยักหน้าซ้ำๆ “เจ้าพูดถูกแล้ว ทั้งหมดของตระกูลเฟิ่งมีเพียงเจ้าคนเดียว จะเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าไม่ได้เด็ดขาด หากเจ้าตายสายเลือดของตระกูลเฟิ่งก็คงจะดับสลายลง”
ในตอนนั้นตระกูลเฟิ่งหลีช่างรุ่งเรืองเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงสายเลือดเครือญาติ เพียงแค่สายเลือดสายตรงก็มีกันมากถึงหลายพันคน แต่ในวันนี้ล่ะ?
มีเพียงเด็กกำพร้าพียงคนเดียวในตระกูลเฟิ่งหลีขนาดใหญ่
ทุกครั้งที่คิดถึงที่นี่ หัวใจของซุนเจิ้งเต้าก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เมื่อไหร่ที่ตระกูลเฟิ่งหลี จะสามารถออกมาเดินภายใต้แสงอาทิตย์อย่างซื่อตรงและสดใสได้……
เมื่อไหร่ที่ตระกูลเฟิ่งหลี จะสามารถฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีตให้กลับมาได้……