นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 346 แย่งคน ไม่มีบ้านแล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 346 แย่งคน ไม่มีบ้านแล้ว

บูม……

วินาทีที่จวนเฟิ่งทรุดตัวลง จักรพรรดิกำลังประกาศสิ้นสุดงานเลี้ยง ท่านทูตแต่ละแคว้นและเหล่าขุนนางยืนขึ้นพร้อมกัน หลังจากที่น้อมส่งจักรพรรดิออกไปแล้ว พวกเขาก็จากไป

เสด็จอาเก้าดูแตกต่างจากเขาคนเดิมที่สง่างามและสงบ เขาก้าวออกไปข้างนอกด้วยความเร่งรีบ

“เสด็จอา เกิดอะไรขึ้นหรือ?” องค์รัชทายาทสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเร่งก้าวเข้าไปสอบถาม

เสด็จอาเก้าส่ายหัว ” ข้าจะออกวัง องค์รัชทายาทตามสบาย”

หลังจากพูดจบ องค์รัชทายาทก็ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง หย่งอ๋อง เหิงอ๋อง ฉิอ๋อง โจวอ๋อง ชิงอ๋องและลั่วอ๋องสังเกตเห็นความผิดปกติของเสด็จอาเก้าเช่นกัน พวกเขาทั้งหกคนเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทอย่างพร้อมเพรียง

“เสด็จพี่ เสด็จอาเป็นกระไรไปหรือ?” ชิงอ๋องที่คล้ายคลึงกันกับองค์รัชทายาทเอ่ยปากถาม

เสด็จแม่ของชิงอ๋องมาจากตระกูลของเสด็จแม่ขององค์รัชทายาท แต่ด้วยฐานะที่ต่ำต้อย จึงเป็นได้แค่หนึ่งในนางสนมเท่านั้น สถานะของชิงอ๋องไม่สูงเท่าไหร่นัก เขาจึงโลภมาก และประจำการที่ชายแดนตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงสนับสนุนขององค์รัชทายาท

องค์รัชทายาทส่ายหน้า “ไม่เป็นกระไร เสด็จอาเห้าเพียงแค่ไม่สบอารมณ์เท่านั้นจื่อชิง จื่อหย่ง จื่อเหิง จื่อโจว จื่อลั่ว พวกเรามิได้เจอกันมานานแล้ว ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่มาก พวกเราควรจะฉลองร่วมกันเสียหน่อย ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวนองค์รัชทายาทในคืนนี้”

แม้ว่าน้ำเสียงขององค์รัชทายาทจะไม่แข็งเท่าไหร่ แต่ก็เป็นน้ำเสียงที่เหล่าองค์ชายมิอาจปฏิเสธได้ องค์รัชทายาทถือเป็นราชา ส่วนองค์ชายท่านอื่นเป็นเพียงขุนนาง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

องค์ชายทั้งหลายแสดงท่าทีลำบากใจ พวกเขารู้ว่าองค์ชายจงใจรั้งพวกเขาเอาไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาไปสืบเรื่องเสด็จอาเก้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจ แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมา”

“ได้เลย กลับเมืองหลวงตั้งหลายวัน พวกเราพี่น้องยังมิได้ฉลองร่วมกันเลยสักครั้ง ข้อเสนอของเสด็จพี่ดีอย่างมาก” โจวอ๋อง ตงหลิงจื่อโจวกล่าวตอบรับ แม้ว่าคนอื่นจะไม่อยากตกลง แต่พวกเขาก็ทำได้แค่อยู่อย่างเงียบๆ

พวกเขาต้องการให้เสด็จพ่อเห็นว่า พวกเขาภักดีต่อทั้งเสด็จพ่อและองค์รัชทายาท

ทุกคนในวังต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ภายนอกวัง เฟิ่งชิงเฉิน ยืนอยู่ที่ประตูจวนเฟิ่ง นางมองดูจวนเฟิ่งที่พังทลายลงมาอย่างกะทันหัน นางเดินไปจากจุดนั้นมิได้เสียที นางมองดูจวนเฟิ่งที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงโดยไม่กะพริบตา

“คุณหนู ไปกันเถอะ” สาวใช้ทั้งสองคนเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชิงเฉิน แต่ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้ยิน ภายใต้แสงไฟที่สอดส่อง สามารถมองเห็นความโศกเศร้าและความสิ้นหวังบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างชัดเจน

เฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้เป็นเหมือนลูกสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง

“ไปหรือ ไปที่ใด? บ้านของข้าหายไปแล้ว ข้าไม่มีบ้านแล้ว” ไม่มีบ้านไม่มีพ่อแม่ นี่คือเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าชีวิตในอดีตของนางหรือชีวิตในชาติปัจจุบัน นางถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจออุปสรรค

เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงชีวิตก่อนหน้านี้ตนได้พบกับพลเอกที่ลือกันว่าดูโหงวเฮ้งเป็น พลเอกจับมือนางเอาไว้และมองดูอยู่นาน กล่าวว่าชีวิตของนางนั้นเจอแต่อุปสรรค ไม่มีดวงกับบิดามารดา และเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ

ทันทีที่พูดออกไป อีกฝ่ายก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบขอโทษ แต่นางมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ตอนนี้นางครุ่นคิดและพบว่าคำทำนายนี้ถูกต้องไม่มีผิด นอกจากเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุแล้ว ทั้งชีวิตในอดีตและปัจจุบันของนางต่างก็เจอกับชีวิตที่เหมือนกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า น้ำตาของนางปนกับฝุ่นบนใบหน้าอละร่วงลงมา

“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นหรือ?” สาวใช้ทั้งสองตกใจ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไร ในสายตาพวกเขา เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอและไร้ความสามารถ ทางตรงกันข้ามเฟิ่งชิงเฉิน มุ่งมั่นและแข็งแกร่ง พวกนางไม่เห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นนี้มาก่อน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า น้ำตาของนางปนกับฝุ่นบนใบหน้าอละร่วงลงมา

เฟิ่งชิงเฉิน ส่ายหัวและดวงตาที่ว่างเปล่าของนางก็สว่างขึ้น เมื่อมองไปที่สาวใช้ที่น่าอนาถอยู่ตรงหน้าตน เฟิ่งชิงเฉินคิดถึงท่าทางของพวกเขาทั้งสองเมื่อพวกพบกันครั้งแรก พวกนางสง่าเหมือนดั่งผู้ดูแล จากนั้นนางถอนหายใจออก

“จวนเฟิ่งถูกทำลายไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ทราบว่าควรไปที่ใดดี เจ้าทั้งสองควรกลับไปที่จวนหวังเสีย”

“ตู้ม” สาวใช้ทั้งสองหน้าซีดและคุกเข่าลงทันที “คุณหนู ท่านไม่เอาพวกเราแล้วหรือ? คุณหนูพวกเราไม่ไป เราเป็นคนรับใช้ของคุณหนู คุณหนูอยู่ที่ใด เราอยู่ที่นั่น”

“ข้าไม่สามารถเลี้ยงดูพวกเจ้าได้” นี่คือความจริง ค่าอาหารและเสื้อผ้าสำหรับสาวใช้ของตระกูลหวังนั้นดียิ่งกว่าตระกูลเล็กๆ ทั่วไป การไปจากเจ้านายที่ไร้ความสามารถเช่นนาง สำหรับพวกนางแล้ว มีแต่เรื่องที่ดี ไม่มีเรื่องแย่

สาวใช้ทั้งสองส่ายหัวอย่างหนักแน่น” คุณหนู ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะไม่ไปไหน คุณหนูอยู่ที่ไหนพวกเราอยู่ที่นั่น หากคุณหนูจะไล่พวกเรา เช่นนั้นฆ่าเราเสียดีกว่า”

สาวใช้ทั้งสองยังคงแสดงความจงรักภักดีต่อนาง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ปล่อยให้ทั้งสองคุกเข่าต่อไป สาวใช้ทั้งสองรู้สึกกังวลมากจนแทบจะร้องไห้ออกมา ในขณะนั้น รถม้าที่มาภพแกสลักของตระกูลหวังปรากฏจากในที่มืด

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็หันไปมองด้านข้างและยิ้มอย่างขมขื่น ที่แท้แล้วนางยังไม่ถูกทอดทิ้ง ยังมีคนที่สนใจนางอยู่

รถม้าหยุดลง หวังจิ่นหลิงกระโดดลงจากรถอย่างเร่งรีบ เขาดูวิตกกังวลอย่างมาก ทันทีที่เขาเห็นเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงเร่งวิ่งเข้าไปโดยไม่สนความสง่าใดๆ เขาเดินเข้าไปหาเฟิ่งชิงเฉินด้วยก้าวใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันตั้งตัว หวังจิ่นหลิงก็กอดนางเอาไว้แน่น

“ชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นกระไรก็ดีแล้ว” วินาทีนั้น เขาสบายใจขึ้นอย่างมาก หวังจิ่นหลิงที่ดูเหมือนจะอ่อนแอ มีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง เขากอดนางเอาไว้แน่นจนเฟิ่งชิงเฉินขยับไม่ได้ และปวดไหล่ทั้งสองข้าง เฟิ่งชิงเฉินมิได้ส่งเสียงออกมา นางรู้สึกถึงความคุ้นเคยกับอ้อมกอดที่สามารถทำให้คนสงบลงได้ของหวังจิ่นหลิง นางพิงไหล่เขาเอาไว้ “จิ่นหลิง บ้านของฉันหายไปแล้ว”

นางไม่ร้องไห้ ไม่บ่น แค่พูดเรื่องจริง แต่น่าเศร้ายิ่งกว่า

“ไม่เป็นกระไร เจ้ายังมีข้า บ้านหายไปแล้วเราสามารถสร้างใหม่ได้ แม้ว่าจะแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็เป็นบ้านของเจ้า หากว่ามีเจ้าอยู่ จวนเฟิ่งก็จะคงอยู่ตลอดไป” หวังจิ่นหลิงเข้าใจสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินให้ความสำคัญ แต่จวนเฟิ่งถูกเผาไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปเป็นเช่นเดิมได้แล้ว

เฟิ่งชิงเฉิน พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร หวังจิ่นหลิงตบหลังนางและเกลี้ยกล่อมเบา ๆ จนกว่า เฟิ่งชิงเฉินสงบลงหวังจิ่นหลิงจึงกล่าวว่า “ชิงเฉิน ทุกอย่างจะผ่านไป ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้เพียงพอ กลับไปที่จวนหวังกับข้าเถิด ในจวนหวังนั้นไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้เจ้า”

สาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ไม่ต้องสืบหาหวังจิ่นหลิงก็ทราบดีว่า มันเป็นฝีมือของคน มีคนต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินตายในเพลิงไหม้ครั้งนี้ สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ตระกูลอ๋องปลอดภัยมากที่สุดแล้ว

เฟิ่งชิงเฉิน กำลังจะพูด แต่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกีบม้าที่เร่งรีบ เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงมองไปตามเสียง เห็นเพียงเงาดำที่ปรากฏในกลางดึกและมาถึงที่นี่โดยเร็ว เร็วเสียจนทำให้คนดูเริ่มสงสัยในสายตาของตน

มหัศจรรย์อย่างมาก!

นี่คือสิ่งที่หวังจิ่นหลิงและเฟิ่งชิงเฉินคิดพร้อมกัน เมื่อสายลับของตระกูลหวังพบว่าทีบางอย่างผิดปกติ และกำลังจะออกมาปกป้องหวังจิ่นหลิง แต่ไม่ทันแล้ว……

ทักษะการขี่ม้าของนักขี่ม้าโดยทั่วไปไม่สูงนัก ขณะที่สายลับเริ่มเคลื่อนไหว ม้าก็เร่งความเร็วอีกครั้ง และสายลับทำได้เพียงมองดูคนนั้นอย่างตะลึง เขาวิ่งผ่านเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงไปราวกับดาวตก …

“ระวัง” เฟิ่งชิงเฉินหลบไปตามสัญชาตญาณ นางผลักหวังจิ่นหลิงออกไป แต่ไม่คิดว่าตนจะถูกยกขึ้นสูง

ให้ตายสิ ไอ้นี่มันเป็นบ้าอะไรเนี่ย นางยังซวยไม่พออีกหรืออย่างไร?

บทที่ 345 ถุงหอม หัวใจของนางที่ได้รับความเจ็บปวด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท