นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 357 ออกนอกเมือง จุดจบของหลี่เซี่ยง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เหงื่อพลันไหลโทรมกาย!

บุรุษผู้นี้ แท้จริงแล้วก็คือสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่กล้าโต้แย้งอันใดอีก ทั้งยังไม่กล้าเอ่ยเรื่องแยกย้ายทางใครทางมันอีกด้วย ในเมื่อนางรับปากกับเสด็จอาเก้าไว้แล้ว นางก็คงไม่อาจถอนตัวออกมาได้ง่าย อย่างไรบุรุษผู้นี้ย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน

“แปะ” เพียงแค่เสด็จอาเก้าตบมือนั้น ก็พลันได้ยินเสียงเกือกม้าวิ่งเข้ามาในทันที

“ม้าของท่านหรือ?” ได้ ในเมื่อนางไม่มีข้ออ้างแล้วเช่นนี้ เกรงว่า ไม่ว่านางจะหาเหตุผลเช่นไร บุรุษผู้นี้ก็ไม่ยอมปล่อยนางไปอย่างแน่นอน

“อืม” เสด็จอาเก้าเพียงพยักหน้าลงเล็กน้อย พลางชำเลืองมองเฟิ่งชิงเฉินไปชั่วครู่ ราวกับจะบอกว่า นางยังมีข้ออ้างอีกหรือไม่ หากนางยังคิดหาข้ออ้างอีกละก็ เขาจะกดดันนางจนตายเลย

เฟิ่งชิงเฉินจึงทำทีเฉไฉเล็กน้อย เมื่อเห็นบุรุษตรงหน้าทำท่าเช่นนั้น นางจึงได้แต่ยอมแพ้ “ไปกันเถอะ”

“ไปที่ใด” ยามที่เสด็จอาเก้าขึ้นไปนั่งบนม้านั้น พลันยื่นมือออกมาให้เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินเองก็หาได้มีท่าทีเกรงใจแต่อย่างใด พร้อมทั้งยื่นมือออกมาจับมือของเสด็จอาเก้าเอาไว้ แล้วจึงเหวี่ยงตัวขึ้นมานั่งบนหลังม้า พร้อมกับตกลงไปอยู่ในอ้อมกอดของเสด็จอาเก้าในทันที

ไม่อาจพูดได้เลยว่า ทั้งสองคนราวกับสื่อถึงกัน แม้บางครั้งจะมิได้เอ่ยอันใดออกมา แต่ทั้งสองคนก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาควรจะทำเช่นไร

“นอกเมือง ภูเขาที่สูงที่สุด พวกเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับ ” จุดจบของหลี่เซี่ยง !

คำพูดด้านหลังนั้น ถูกสายลมพัดพาไปเสียแล้ว ยามที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงด้วยความมั่นคงแล้วนั้น เสด็จอาเก้าก็พลันชักม้าให้ออกวิ่งตรงไปที่นอกเมืองในทันที แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่พูด เสด็จอาเก้าก็รับรู้ได้ว่านางจะออกนอกเมือง

ถึงแม้ว่าทิศทัศน์ภายในเมืองจะสวยไม่แพ้กัน แต่ทว่า ไม่เหมาะที่จะชมทัศนียภาพโดยรอบนัก หากจุดที่เหมาะจะชมมากที่สุด ย่อมต้องเป็นนอกเมือง

มันมิใช่ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกไปได้ แต่มันเป็นเพราะใจของทั้งคู่ที่ตรงกัน มิเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่เข้าใจกันและกันมากถึงเพียงนี้ เฟิ่งชิงเฉินลงมือลงแรงไปกับการวางแผนในครานี้มากนัก ทั้งหยิบยืมอำนาจตระกูลหวังและเซี่ยมาใช้ ทำเอาราชสำนักตกอยู่ในความวุ่นวายไม่พอ ทั้งยังทำเพื่อใ้หองค์จักรพรรดิเบี่ยงเบนความสนใจจากนางอีก นางลงแรงเหนื่อยยากมานาน ก็เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ

สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินทำลงไป ก็เพราะสำหรับวันนี้เท่านั้น เขาจะไม่อยู่ชื่นชมผลลัพธ์สุดท้ายกับนางได้อย่างไรกัน การออกจากเมืองหลวงกลางดึกนั้น หาได้เป็นปัญหาอันใดไม่ แต่สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว นับว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก สำหรับเสด็จอาเก้าแล้ว มันกลับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว

เขาสามารถลอบเข้าพระราชวังไปได้เช่นนี้ เพียงแค่การออกนอกเมืองกลางดึกจะนับว่าเป็นเรื่องใดได้ ราชวงศ์ตงหลิงไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้ทั้งนั้น เพราะในตงหลิง เขาอยู่ใต้ล่างของบุคคลคนเดียว แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น

แม้แต่ยุงสักตัวยังไม่อาจมารบกวนเขาได้ เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าที่ขี่ม้าด้วยกันนั้น ผ่านไปไม่นาน ร่างของทั้งสองก็พลันถูกความมืดในยามราตรีบดบังในทันที

ทหารยามภายในเมืองหลวง ที่ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายนั้น จู่ ๆ ก็พลันมีลมเย็น ๆ พันผ่านมาในทันที ทั่วร่างของเขาพลันขนลุกซู่ พร้อมกับหันซ้ายขวามองทุกสี่ทิศ เสมือนว่าเขาจะเห็นร่างดำ ๆ ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว น่าเสียดายนัก ที่ฝีม้าของเสด็จอาเก้าว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ทหารยามยังมิทันมองเห็นได้ชัด เงา ๆ ดำก็พลันหายไปกับตาเสียแล้ว

“เห็นผี!” นายทหารผู้นั้นพลันรีบขยี้ตาตนเองในทันที ไม่ว่าเขาจะขยี้ตาเช่นไร ก็หาเงาดำ ๆ นั้นไม่เจอเสียแล้ว หัวใจของเขาพลันตกไปที่ตาตุ่มในทันที พร้อมกับบรรยากาศโดยรอบที่คล้ายว่าจะเย็นลงไปหลายส่วน

“จู้จื่อ เจ้าเป็นอันใดไป? ตั้งสติเสีย หากเจ้าต้องขึ้นไปบนหอคอย เจ้าต้องแย่แน่” นายทหารข้างกายพลันถือดาบมาจ่อที่หัวของนายทหารผู้นั้น นายทหารผู้นั้นหาได้มีปฏิกิริยาอันใดไม่ ขาทั้งสองข้างที่สั่นเทานั้น “ข้า เหมือนว่าข้าจะเห็นผี เจ้า เมื่อครู่พวกเจ้ารู้สึกถึงลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านบ้างหรือไม่ มันหนาว หนาวยิ่งนัก”

ยามที่นายทหารผู้นั้นพูดอยู่ เพื่อแสดงหลักฐานว่าตนมิได้พูดโกหกนั้น เขาพลันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากอดกับตนเอง พร้อมกับทำท่าหนาวสั่นขึ้นมา

“ฟู่ ฟู่” ราวกับว่าเป็นการยืนยันคำพูดของนายทหารผู้นั้น จู่ ๆ ก็พลันมีลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในทันที ทุกคนที่สัมผัมได้นั้น ต่างพากันมองหน้ากัน พร้อมกล่าวว่า “อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ พระเจ้า นี่ใกล้จะเข้ากลางเดือนเจ็ดเองไม่ใช่หรือ คงมิใช่เห็นผีจริง ๆ หรอกกระมัง”

“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าถึงนึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้มิใช่กลางเดือนเจ็ดหรือ พวกเราคงมิได้เห็นผีจริงใช่หรือไม่”

“ข้าเห็น ข้าเห็นจริง ๆ ไม่มีหัว ร่างใหญ่ด้วย จู่ ๆ ก็ผ่านหน้าข้าไปอย่างรวดเร็ว” นายทหารผู้นั้น พลันหลับตาลง พร้อมกับพยายามนึกภาพที่ตนเองเห็นเมื่อครู่

“ไอ้หยา ข้าคงมิได้เห็นจริง ๆ ใช่หรือไม่”

สามคนพูดกลายเป็นเสือเช่นนี้ คนยุคโบราณหวาดกลัวเรื่องผีสางยิ่งนัก ทหารยามในเมืองหลวงต่างก็พากันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกว้างขวาง เมื่อนายกองของพวกเขาเห็นว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ พลันรีบร้อนรายงานไปยังเบื้องสูงในทันที หลังจากเรื่องนี้ถูกรายงานนั้น ก็พลันไปเข้าหูตี๋ตงหมิงในทันที

แม้ว่าในยามนี้ ดวงตะวันจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากเส้นลับขอบฟ้าแล้ว ทั้งเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้เองก็ยืนอยู่บนยอดเขาของภูเขาที่สูงสุดแล้วเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินพลันชี้ไปยังที่ไกล ๆ พร้อมกับตะโกนบอกว่า “งดงามใช่หรือไม่! พวกเราปีนขึ้นเขามากลางดึกเช่นนี้ เพียงเพื่อมาชมภาพพระอาทิตย์ขึ้น ยามที่แสงของดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ส่องสว่างลงมายังพื้นโลก ราวกับว่าความว้าวุ่นภายในใจทุกอย่าง ก็ค่อย ๆ สลายไปในพริบตา”

เสด็จอาเก้าหาได้เอ่ยอันใดไม่ เขามิได้รู้สึกเลยว่า ภาพดวงอาทิตย์ขึ้นมันจะงดงามเพียงใด เขามีโอกาสที่จะได้มชมภาพพระอาทิตย์ขึ้นมากมายนัก หากว่ากันตามตรง เขาหาได้มีโอกาสมาชมดวงอาทิตย์ขึ้นมากมายไม่ ทุก ๆ วันในชีวิตของเขา เต็มไปด้วยการวางแผนมากมาย เกรงว่า แม้แต่การชมภาพพระอาทิตย์ขึ้นในยามนี้ ในหัวสมองก็คงจะเต็มไปด้วยความคิดมากมายกระมัง

แต่เสด็จอาเก้าก็หาได้เปิดปากพูดอันใดไม่ เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินมาที่นอกเมืองนี้ หาได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่ ชมพระอาทิตย์ขึ้นเช่นนี้ ที่ใดก็ดูได้แล้วเหตุใดต้องมาเป็นวันนี้ด้วย

ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าจะมาชมเพียงแค่ดวงอาทิตย์ขึ้นเช่นนี้ เขาก็จะอดทนรอดูเป็นเพื่อนนางแล้วกัน

และแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็มิทำให้เสด็จอาเก้าผิดหวัง ยามที่ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้าแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันหลุบสายตาลงด้วยความพอใจ พร้อมทั้งหันกายกลับไปมองทางพระราชวัง แล้วจึงร่ายยาวออกมาว่า “เสด็จอาเก้าเพคะ มีบางสิ่งบางอย่าง หากมันจะเป็นของท่านอย่างไรก็ย่อมต้องเป็นของท่านอยู่วันยังค่ำ ไม่อาจหลีกหนีท่านไปได้ ในขณะเดียวกัน ของสิ่งใดที่ไม่ใช่ของท่านนั้น ท่านก็ไม่อาจได้ครอบครองมันได้เช่นกัน ในเมื่อท่านได้มาครองแล้ว ก็ควรจะรีบละทิ้งมันไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมา หม่อมฉันไม่อาจรับผิดชอบท่านได้”

เฟิ่งชิงเฉินบอกกล่าวกับเสด็จอาเก้าเป็นนัย ถ้าหากเขาแอบเก็บลูกสีดำ ๆ ไว้ละก็ ก็ให้รีบทิ้งไปเสีย นางไม่อาจรับผิดชอบชีวิตของเขาได้ หากต้องเกิดอันใดขึ้นมา

แม้ว่าในใจของเสด็จอาเก้าจะรู้ดี แต่สีหน้ากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกไม่รู้สาแต่อย่างใด เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ ของสิ่งนั้นเขาย่อมต้องทิ้งไปนานแล้ว ฉะนั้นแล้ว เสด็จอาเก้าจึงแสดงท่าทีเฉยเมยออกมา เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยออกมาเช่นนั้น เสด็จอาเก้าพลันมองหน้าเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทีเย็นชา

“เฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ตราบใดที่เปิ่นหวางเชื่อว่ามันเป็นของเปิ่นหวาง มันย่อมต้องเป็นของของเปิ่นหวาง ในเมื่อเป็นคนของเปิ่นหวางแล้ว เขาย่อมไม่อาจหลีกหนีเปิ่นหวางไปได้อีก”

แววตาของเสด็จอาเก้าที่จับจ้องมาหาเฟิ่งชิงเฉินนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่า คำว่า “เขา” หมายถึงผู้ใด

บุรุษหลงตัวเอง!

เฟิ่งชิงเฉินพลันหันหน้าหนี พร้อมกับเบะปากลงเล็กน้อย แสร้งทำทีเมินเฉยต่อความหมายที่เสด็จอาเก้าต้องการจะสื่อถึงนาง ในเมื่อเสด็จอาเก้ามิได้เก็บของที่นางต้องใช้ระเบิดหลี่เซี่ยงไปนั้น เช่นนั้นนางก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก หากมันต้องมาระเบิดใส่ตัวเสด็จอาเก้าแล้วนั้น นางคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้แน่

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นฟ้ามาแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินที่คาดคะเนเวลาภายในใจ ก็พลันหันไปกล่าวกับเสด็จอาเก้าว่า “เสด็จอาเก้าเพคะ หลับตาเถอะ เพียงแค่ครึ่งก้านธูป ท่านก็จะได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์แล้ว”

เสด็จอาเก้าเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับมิยินยอม ทว่า เมื่อได้สบสายตาขอร้องอ้อนวอนพร้อมกับท่าทีมุ่งมั่นนของนางแล้วนั้น เสด็จอาเก้าจึงได้แต่ต้องยินยอมแต่โดยดี พร้อมทั้งพยักหน้าและหลับตาลง

เช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ที่แท้บุรุษผู้นี้ก็หาได้จัดการยากไม่ เพียงแค่ต้องหาวิธีเข้าหาเขาเท่านั้น เช่นนี้เสด็จอาเก้าย่อมต้องยอมอ่อนข้อให้เอง

เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าหลับตาลงนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันรีบร้อนเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมาในทันที พร้อมทั้งรับหยิบรีโมทควบคุมระเบิดออกมา

ปุ่มสีดำที่ดูเรียบง่าย เพียงแค่กดลงไปเบา ๆ ก็จะทำให้เกิดการระเบิดในทันที ฉะนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่เก็บรีโมทเอาไว้ในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ หากของสิ่งนี้หายไปละก็ คงเกิดความบันเทิงขึ้นมามากมายเลยทีเดียว

“ได้แล้วเพคะ เสด็จอาเก้าลืมตาขึ้นมาได้แล้วเพคะ พร้อมทั้งหันหน้าไปทางพระราชวังด้วย”

แม้ว่าจะมิได้นอนคืนหนึ่ง แต่พลังงานของเฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเต็มเปี่ยมไม่มีหมด โดยเฉพาะในเวลานี้ เสมือนกับว่านางมีชีวิตชีวายิ่งนัก ยามที่เสด็จอาเก้าลืมตาขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินก็กดปุ่มรีโมทในทันที

ปัง

เสียงที่ดังสนั่นมาจากทางพระราชวังนั้น พร้อมกับหมอกควันที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท