นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 366 ยอดเขาหิมะที่เตรียมการจู่โจม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

หลานจิ่วชิงต้องทนทุกข์มาหลายปี ปู้จิงหยุนและซูเหวินชิงรู้เห็นมาตลอด เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว ทั้งสองก็ไม่อาจตำหนิอะไรได้ ภาระหน้าที่ที่จิ่วชิงแบกรับช่างหนักหน่วงเหลือเกิน

การแบกรับหน้าที่จัดการราชวงศ์รุ่นก่อนเพียงคนเดียว การใช้ชีวิตท่ามกลางคมหอกคมดาบตามลำพัง เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาตัวเองให้รอดตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความทุกข์เช่นนี้คนทั่วไปคงไม่อาจแบกรับได้ พวกเขาได้แต่มองดูจิ่วชิงด้วยความห่วงใย

ปู้จิงหยุนและซูเหวินชิงสงสารหลานจิ่วชิง แต่ก็ทำได้เพียงแค่สงสาร พวกเขาสามารถช่วยรับฟังหลานจิ่วชิงได้ แต่ไม่อาจช่วยหลานจิ่วชิงทำอะไรได้เลย หลานจิ่วชิงยืนอยู่ในที่ที่สูงส่ง ต้องเผชิญกับกลอุบายลับต่างๆนานา เขาต้องเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง

เมื่อเห็นหลานจิ่วชิงเป็นกังวล ซูเหวินชิงก็ชวนคุยเรื่องอื่น “จิ่วชิง อวี่เหวินหยวนฮั่วส่งข่าวมาว่า พบรอยเท้าคนบนเนินดินของเป่ยหลิง เขาได้ไปสำรวจดูด้วยตัวเองแล้ว แต่น่าเสียดายที่ถูกฝ่ายตรงข้ามกีดกัน อวี่เหวินหยวนฮั่วสงสัยว่าคนพวกนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ในอดีต เขาอยากให้เจ้าส่งคนไปช่วยเขาอีกแรง”

อวี่เหวินหยวนฮั่วเป็นแม่ทัพ สันทัดด้านการเป็นผู้นำทัพ วิทยายุทธอาจไม่เทียบเท่าเหล่าจอมยุทธ์ การปีนเนินไปสำรวจอาจไม่ปราดเปรียวเท่าที่ควร

“คนของราชวงศ์ในอดีต?” หลานจิ่วชิงย้ำถามอีกครั้ง อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่มีทางคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย การที่เขาพูดอย่างชัดเจนแสดงว่าต้องมีหลักฐานแน่

เมื่อนึกถึงฟ้าร้องในวันนี้ หลานจิ่วชิงก็รู้สึกคลุมเครือ หรือนี่อาจเป็นลิขิตจากสวรรค์ “จิงหยุน เหวินชิง พวกเจ้าได้สังเกตหรือไม่ หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัว เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ในอดีตก็ค่อยๆปรากฏทีละเรื่อง แล้วพวกเราก็ทำภารกิจได้ราบรื่นมากขึ้น เหมือนว่านางจะมีพลังบางอย่างที่เรามองไม่เห็นมาช่วยให้เราพบเจอเงื่อนงำในอดีตมากขึ้น”

ปกติแล้ว หลานจิ่วชิงจะไม่คิดเรื่องประเภทนี้ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขารู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องจะมีส่วนเกี่ยวโยงกับเฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อเรื่อง “โชคชะตา” แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจต้องใช้คำว่า “โชคชะตา” มาช่วยอธิบาย

คำพูดของหลานจิ่วชิงทำให้ปู้จิงหยุนและซูเหวินชิงครุ่นคิด ทั้งสองมองตากันแล้วพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นทั้งสองก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “หรือว่า เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นเฟิ่งหลีอ๋องที่ถูกลิขิตมาตามที่คนตระกูลเฟิ่งหลีเคยกล่าวไว้?”

“เฟิ่งหลีอ๋องที่ถูกลิขิตมา?” หลานจิ่วชิงส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ตำแหน่งเฟิ่งหลีอ๋องสืบทอดผ่านผู้ชายเท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเป็นเฟิ่งหลีอ๋องไปได้หรอก แล้วอีกอย่างโชคชะตาคืออะไร ขอเพียงเจ้าประสบความสำเร็จ นั่นแหละเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต”

“หากคนตระกูลเฟิ่งหลีมองเห็นโชคชะตาจริงๆ แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ตระกูลเฟิ่งหลีล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาล่ะ อย่าคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย โชคชะตาคนเราขึ้นอยู่กับตัวเราหาใช่สวรรค์ลิขิต หากเชื่อเรื่องโชคชะตา แล้วสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้มันคืออะไรล่ะ? ที่ตระกูลหลานต้องมาล่มจม มันเป็นเพราะพรหมลิขิตสินะ”

นี่คือคำพูดที่หลานจิ่วชิงบอกกับปู้จิงหยุนและซูเหวินชิง ไม่มีอะไรในโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในขณะเดียวกันเขาก็บอกกับตัวเอง อย่าผิดพลาดเพราะคำว่า “โชคชะตา” เขาจะล้มลงไม่ได้แล้ว เพราะหากล้มลงแล้วคงไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง

“เจ้าพูดถูก หากเราทำทุกอย่างโดยเชื่อเรื่องสวรรค์ลิขิต เราก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ ต่อให้โชคชะตามีอยู่จริง เราก็ต้องฟันฝ่าเรื่องบางเรื่องเองอยู่ดี” ปู้จิงหยุนแววตาส่องประกาย เหมือนเขากำลังมองหลานจิ่วชิงอย่างทะลุปรุโปร่ง……

หลานจิ่วชิงก็ดูเหมือนจะรู้ว่าปู้จิงหยุนกำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มเพียงเล็กน้อย ตอนนี้หลานจิ่วชิงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อแล้ว เขาย้อนกลับมาพูดเรื่องอวี่เหวินหยวนฮั่วอีกครั้ง “เรื่องที่ทำให้อวี่เหวินหยวนฮั่วคลางแคลงใจจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่นอน จิงหยุน เจ้าส่งปู้ฝานไปดูที ให้เขาคอยช่วยอวี่เหวินหยวนฮั่วสืบเรื่องรอยเท้าอีกแรงนะ”

หลานจิ่วชิงไม่มีทางส่งผู้มีอำนาจในการตัดสินใจไปอยู่ที่เดียวกัน หากเขาส่งคนไป คนๆนั้นก็ต้องฟังคำของอวี่เหวินหยวนฮั่ว เขาทำเช่นนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติต่ออวี่เหวินหยวนฮั่ว

“ปู้ฝานน่ะหรือ? เขาจะทำได้หรือ? ถ้าอย่างไรให้ข้าไปดีไหม? หากข้าไปอยู่กับอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้ว ข้ารับรองว่าข้าจะเชื่อฟังเขาแน่นอน” ปู้จิงหยุนรู้หลักการบริหารงานของหลานจิ่วชิงเป็นอย่างดี เรื่องนี้จะมีผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นหนึ่งเดียว

“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ อีกไม่นานน่าจะมีข่าวใหม่ในเมืองหลวง” ภายใต้หน้ากาก หลานจิ่วชิงแสยะยิ้มเล็กน้อย เขามองปู้จิงหยุนด้วยแววตาเฉียบคม

เป่าเอ๋ออยู่ในเมืองหลวง หากปู้จิงหยุนไม่อยู่ แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนเป่าเอ๋อ หากเป่าเอ๋อทุกข์ใจ ผู้ใดจะมาช่วยปลอบโยน

เขาต้องใช้โอกาสนี้ทำให้เป่าเอ๋อมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา เป่าเอ๋อรู้จักเพียงหลานจิ่วชิง แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย

หากเป่าเอ๋อร์จะแต่งงานกับเขา นั่นหมายความว่านางไม่ได้แต่งงานกับหลานจิ่วชิง แต่เป็นการแต่งงานกับเสด็จอาเก้าที่เป็นที่รู้จักทั่วแว่นแคว้น หากเป่าเอ๋อจะแต่งงานกับเขาก็ต้องรู้จักสถานะที่แท้จริงของเขา เขาไม่อาจอยู่ในคราบจอมยุทธ์ได้ตลอดไป

ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดให้ปู้จิงหยุนรับรู้ แค่ตัวเขาเข้าใจเพียงคนเดียวก็พอแล้ว

ซูเหวินชิงเองก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจแผนการของหลานจิ่วชิงดี เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหลานจิ่วชิงรู้ทันเสียก่อน หลานจิ่วชิงจ้องตาซูเหวินชิง ทำให้เขาถึงกับรีบก้มหน้า

ช่างเถอะ เขาไม่ขอรับรู้อะไรทั้งนั้น ปู้จิงหยุนเองก็คงยอมเป็นหมากบนกระดานของจิ่วชิง แล้วเขาจะไปยุ่งอะไรด้วย ให้มาเป็นกังวลเรื่องนี้ สู้ไปครุ่นคิดเรื่องที่ใหญ่โตกว่านี้จะดีกว่า เพราะในเวลานี้ผู้ที่ยังจำภารกิจสำคัญได้ก็เหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

“จะจัดการหนานหลิงจิ่นฝานกับซูหว่านอย่างไรดี? ตอนนี้เสด็จอาเก้าก็ไม่ไว้หน้าซูหว่านเอาเสียเลย หลังจากที่หนานหลิงจิ่นฝานมาที่ตงหลิงแล้วก็เริ่มสร้างความลำบากให้เสด็จอาเก้า อย่าลืมว่าตอนแรกเขาเคยสร้างตำหนักใต้ดินในตงหลิง แล้วทุกอย่างต้องมาพังทลายด้วยน้ำมือของเสด็จอาเก้า ชีวิตของเขาก็เกือบจะถูกฝังด้วยน้ำมือของเสด็จอาเก้า ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างเขา คงไม่ปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดมือไปแน่นอน” ระหว่างแผ่นดินกับหญิงงาม เรื่องของแผ่นดินย่อมมาก่อนเสมอ นี่คือสิ่งที่ซูเหวินชิงอยากพูดให้หลานจิ่วชิงฟัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันดุดันของเขาแล้วก็ได้แต่เก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจ

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใด เขาจะแยกแยะหลานจิ่วชิงและเสด็จอาเก้าเป็น 2 คนอยู่เสมอ นี่คือคำขอของหลานจิ่วชิง เพราะการมองหลานจิ่วชิงและเสด็จอาเก้าเป็นคนละคนกันจะปกปิดข้อบกพร่องได้ดีกว่า และไม่ทำให้คนอื่นได้ตั้งข้อสังเกต

“ตอนนั้นเสด็จอาเก้าไม่ได้ฆ่าเขา นี่ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้เอาเรื่องนี้มาพูดมันก็เปล่าประโยชน์ เรื่องหนานหลิงจิ่นฝานปล่อยให้โจวสิงที่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งหนานหลิงจัดการไปก็แล้วกัน ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกเขาว่าหนานหลิงจิ่นสิง ด้วยฝีมืออย่างหนานหลิงจิ่นสิง ข้าเชื่อว่าหนานหลิงจิ่นฝานคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก”

“ส่วนเรื่องตระกูลซูแห่งหนานหลิง แม้จะมีอำนาจมาก แต่ความเกี่ยวโยงของเขากับซีหลิงและหนานหลิงค่อนข้างจะซับซ้อน การแต่งงานกับซูหว่านอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซูอย่างเต็มที่ เช่นนี้แล้ว ไม่สู้ปฏิเสธซูหว่านแล้วมาเข้าพวกกับตระกูลเย่แห่งเย่เฉิง ตระกูลเย่มีผลประโยชน์กับพวกเรามากกว่า แผ่นดินนี้ไม่เคยขาดสงคราม ดังนั้นกองกำลังจึงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา”

การปฏิเสธซูหว่านแม้จะเป็นการกระทำที่บุ่มบ่าม แต่เสด็จอาเก้าสามารถทำให้ผลลัพธ์จากเรื่องนี้ไม่รุนแรงอย่างที่คิด เพียงแค่ลงทุนลงแรงสักเล็กน้อย ก็สามารถส่งซูหว่านไปยัง”ที่ของนาง”ได้……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท