นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 372 หญิงโสเภณี ขานชื่อเฟิ่งชิงเฉิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

การต่อสู้ระหว่างสตรีโหดร้ายเพียงใด ไม่ต้องให้ตี๋ตงหมิงบอกนางก็รู้ดี ดังนั้นนางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพที่ถูกคิดเล่นงานไม่รู้จบ

เรือนชั้นในเป็นสนามรบของเหล่าสตรี ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินแล้วมันน่ากลัวยิ่งกว่าสนามรบที่มีลูกกระสุนกราดยิงราวห่าฝนหรือสนามรบอันดุเดือดเสียอีก!

“เมื่อเทียบกับบรรดาสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้น ข้าคงเทียบไม่ได้ ข้าไม่เข้าใจเรื่องแก่งแย่งชิงดีในจวน ดังนั้นข้าจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในที่อันตรายเช่นนั้น ศัตรูของซูหว่านไม่เคยเป็นข้า

เขาจะแต่งงานกับซูหว่านหรือไม่ก็เป็นการตัดสินใจของเสด็จอาเก้า เขาไม่มีทางขัดต่อสถานการณ์โดยรวมเพราะข้า เป็นเพราะเรื่องนี้จึงเอาความโกรธมาลงที่ข้านับว่าใจแคบยิ่งนัก หนานหลิงจิ่นฝานผู้นี้ไม่เหมือนชายชาตรีเอาเสียเลย ผู้กล้าอะไรกันที่เอาโทสะมาลงกับสตรี”

แม้ว่านางจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเช่นนี้กับตี๋ตงหมิง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากอธิบาย นางกับหนานหลิงจิ่นฝานพบกันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนั้นนางก็รู้สึกว่าชายผู้นี้เลือดเย็นเกินไปและไม่ควรไปทำให้เขาขุ่นเคือง

คนแบบนั้นต้องอยู่ห่างๆ เข้าไว้ ตอนนี้เมื่อได้ยินคำของตี๋ตงหมิงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเพียงว่าชายผู้นี้ไม่เพียงแต่เลือดเย็นเท่านั้น แต่เขายังโหดเหี้ยมอีกด้วย แม้แต่หญิงท้องก็ยังไม่ปล่อยไป…

เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า? นี่มันปีศาจชัดๆ

“ชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดมากเลย บางสิ่งบางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของเจ้า หนานหลิงจิ่นฝานทำอะไรกับเสด็จอาเก้าไม่ได้ เขาย่อมเอาโทสะมาลงที่เจ้า ใครให้เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่เสด็จอาเก้าเอ่ยปากยอมรับเล่า การตบหน้าเจ้าก็เท่ากับตบหน้าเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเตรียมใจให้พร้อมเถอะ หนานหลิงจิ่นฝานจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

ตี๋ตงหมิงพูดจนรู้สึกกระหายน้ำ เขาหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มโดยไม่รู้ว่าถ้วยที่เขาดื่มนั้นไม่ใช่ถ้วยที่อยู่ตรงหน้าเขา

ถ้วยชานั้นเป็นของข้า…

เฟิ่งชิงเฉินคิดจะเอื้อมมือไปคว้าคืน แต่ก็พบว่าสายเกินไปแล้ว นางจึงได้แต่ต้องชักมือกลับ คำพูดที่ขึ้นมาถึงลำคอก็ได้แต่ต้องกลืนลงไปอย่างเงียบเชียบ นางทำได้เพียงบ่นเงียบๆ อยู่ในใจแล้วหยิบถ้วยชาของตี๋ตงหมิงมาวางตรงหน้านางอย่างเงียบๆ และแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางไม่ต้องการให้เซี่ยซานเข้ามาพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ตี๋ตงหมิงต้องพ่นน้ำชาออกมา…

ส่วนที่ตี๋ตงหมิงพูดว่าให้เตรียมใจไว้เล่า?

เฟิ่งชิงเฉินบอกได้เพียงว่าตี๋ตงหมิงยืนพูดก็ยังไม่ปวดหลัง เรื่องเช่นนี้จะให้นางเตรียมใจอย่างไร?

แต่หลังจากที่ตี๋ตงหมิงดื่มชาเสร็จแล้วก็พบว่าตนเองหยิบถ้วยชาผิด เขาจึงหน้าแดงและกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าทำบุญไว้ให้มากเถอะ” แล้วจึงหนีไป ปล่อยในเฟิ่งชิงเฉินจ้องมองเก้าอี้ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอยเพียงลำพัง

ทำบุญให้มากงั้นหรือ นางก็คงทำได้ทำบุญสร้างกุศลให้มากเข้าไว้เท่านั้น เพราะถึงแม้นางจะรู้ข่าวล่วงหน้า นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

หนานหลิงจิ่นฝานมาแล้วและคราวนี้เขามาอย่างเปิดเผย หากองค์ชายผู้หนึ่งหาเรื่องนางย่อมมีวิธีจัดการกับนางมากมาย

การสังหารคนเพียงการพยักหน้า เรื่องน่ากลัวเช่นนั้นเป็นเพียงแค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้น แต่นางเล่า?

เฟิ่งชิงเฉินคว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างหน้านาง ในขณะที่นางกำลังจะดื่มมัน นางก็นึกขึ้นได้ว่าชาถ้วยนี้ เป็นของตี๋ตงหมิง เพล้ง… ถ้วยน้ำชาร่วงลงจากมือของนางและแตกเป็นเสี่ยงๆ

“ท่านอาจารย์ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซุนซือสิงเพิ่งใช้สายตาส่งตี๋ตงหมิงที่วิ่งจากไปอย่างรวดเร็วราวกับควัน กำลังกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เมื่อเขาเข้ามาก็เห็นเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในสภาพเหม่อลอยจึงก้าวเข้าไปถามอย่างร้อนรนทันที

“ข้าไม่เป็นไร ให้คนทำความสะอาดหน่อยก็แล้วกัน” เฟิ่งชิงเฉินฝืนยิ้มแข็งทื่อออกมาแล้วเดินผ่านซุนซือสิงออกไป

ข้างนอกดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกหนาวสั่น

นางถูกลุงเสด็จอาเก้าผลักไปยังจุดอันตรายอีกครั้ง อีกทั้งยังผลักไปอยู่ต่อหน้าคนโรคจิตผู้หนึ่ง ความรู้สึกนี้ที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นอย่างไรนั้นแย่จริงๆ

“เสด็จอาเก้า ท่านจำไว้เลยนะ ถึงเวลาข้าจะชำระพร้อมกันทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่” เฟิ่งชิงเฉินกำหมัดแน่นและระงับความโกรธในหัวใจของนาง ซุนซือสิงมีสีหน้ากังวล แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่ควรเข้าใกล้ของเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็ได้แต่หยุดฝีเท้าลงอย่างเชื่อฟังและหันไปบอกผู้ดูแลว่าให้คอยดูแลนางให้ดี อย่าปล่อยให้นางออกไปไหนเด็ดขาด

ความโมโหเช่นนี้ ออกไปข้างนอกมีแต่สร้างเรื่อง!

เฟิ่งชิงเฉินโมโห ส่วนเสด็จอาเก้าที่กำลังต้อนรับหนานหลิงจิ่นฝานก็มีความหุนหันพลันแล่นที่อยากจะสังหารคนเช่นกัน

หนานหลิงจิ่นฝานเป็นดั่งอสรพิษ เมื่อถูกเขาหมายตาแล้ว นอกจากจะต้องสังหารเขา มิเช่นนั้นจะต้องถูกเขารัดจนตายทั้งเป็น ที่สำคัญที่สุดคืออสรพิษร้ายตัวนี้ยังมีปากจัดอีกด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าพูดออกมา งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มต้นขึ้น หนานหลิงจิ่นฝานก็แทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะแสดงลิ้นอสรพิษอันชั่วร้ายของเขา

“เมื่อมาถึงเมืองหลวง ข้านับว่าได้เปิดหูเปิดตายิ่ง เดิมข้าคิดว่าพวกท่านชาวตงหลิงกล่าวว่าสตรีตงหลิงรู้หนังสือ มีมารยาท อ่านตำราเตือนหญิงจนเคยคุ้นและอ่อนโยนมีคุณธรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ที่แท้ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ เป็นแค่คำพูดที่ทำให้ตนเองดูดีเท่านั้นเอง

“สตรีตงหลิงดูเย่อหยิ่งไร้มารยาท ไม่เห็นขนบธรรมเนียมอยู่ในสายตา สตรีเช่นนี้มีอยู่ในตงหลิง หากอยู่ในหนานหลิง พวกนางก็คงจะถูกสั่งสอนไปแล้ว องค์รัชทายาทเหล่ย ข้าแนะนำว่าถ้าจะเลือกพระชายา อย่าได้เลือกชาวตงหลิงเป็นอันเด็ด ถ้าเกิดท่านแต่งงานรับสตรีไร้จารีตกลับไป วันๆ ก็คงจะเอาแต่สวมเขาให้ท่าน ท่านคงร้องไห้ไม่ออกแน่” หนานหลิงจิ่นฝานพูดพลางหมุนถ้วยในมือเล่น ท่าทางดูแคลนของเขาเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อรวมกับผิวขาว ริมฝีปากบางและดวงตาที่เรียวยาวของเขายิ่งขับให้เขาดูไร้ไมตรีและไร้หัวใจ

โหดร้ายทารุณ อำมหิตไร้ความปรานี บุรุษเช่นนี้ไม่มีท่าทางของจักรพรรดิเลยรูปลักษณ์ของจักรพรรดิ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีอำนาจมหาศาลในหนานหลิง แต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท

ทันทีที่คำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานเอ่ยออกมา นอกจากพวกซีหลิงเทียนเหล่ยไม่กี่คนแล้ว ทุกคนล้วนเปลี่ยนหน้า เดิมรอยยิ้มอันไม่เป็นธรรมชาติบนใบหน้าของจักรพรรดิในยามนี้ยิ่งแข็งกระด้างขึ้นไปอีก

มือของเสด็จอาเก้าจับจอกเหล้าแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว ดวงตาฉายแววสังหารออกมาชั่วแวบอย่างรวดเร็ว แม้แต่องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาก็ไม่ทันสังเกต

เสด็จอาเก้าดื่มเหล้าทั้งหมดในถ้วยแล้ววางถ้วยลงที่เดิมด้วยท่าทางเชื่องช้าสง่างาม

ตงหลิงจื่อลั่วและองค์ชายคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ ไม่ว่าพวกเขาจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร จะดูถูกเฟิ่งชิงเฉินอย่างไรล้วนเป็นเรื่องภายใน เมื่อมีคนนอกมายั่วยุ พวกเขาย่อมผนึกกำลังกันต่อสู้ แต่นี่ไม่ใช่จังหวะดีที่จะเอ่ยปาก

ตงหลิงจื่อลั่วและองค์ชายคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ ไม่ว่าพวกเขาจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร จะดูถูกเฟิ่งชิงเฉินอย่างไรล้วนเป็นเรื่องภายใน เมื่อมีคนนอกมายั่วยุ พวกเขาย่อมผนึกกำลังกันต่อสู้ แต่นี่ไม่ใช่จังหวะดีที่จะเอ่ยปาก

ทุกคนเงียบลง แต่หนานหลิงจิ่นฝานราวกับจะไม่รู้ เขายิ้มออกมาบางๆ ด้วยท่าทางเหมือนคุณชายจอมเสเพล

“องค์ชายรอง ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เซี่ยไท่ฟู่ผู้ซึ่งมีเคราสีขาวยาวกว่าครึ่งฉื่อเป็นคนแรกที่นั่งไม่ติด เขาลุกขึ้นยืนกล่าวโทษ

หนานหลิงจิ่นฝานเป็นคนอย่างไรน่ะหรือ เขาหยิ่งทะนงและเอาแต่ใจตัวเองอย่างยิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสงครามระหว่างตงหลิงและหนานหลิงล้วนถูกปลุกปั่นโดยเขา เขาเป็นนักรบเจนสนาม มีหรือจะเห็นไท่ฟู่คนหนึ่งอยู่ในสายตา

ด้วยท่าทางเหมือนคนสำมะเลเทเมา หนานหลิงจิ่นฝานหุบยิ้ม เล่นกับถ้วยในมือโดยไม่ได้มองตรงไปที่เซี่ยไท่ฟู่เลยแม้แต่น้อยผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดอย่างเกียจคร้าน “ความหมายก็ตามที่พูดนั่นแหละ ใต้เท้าท่านนี้คงไม่ได้ฟังไม่ออกกระมัง? ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่มีชาวตงหลิงอย่างพวกเจ้าที่ชอบตีหน้าซื่อเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าฟอนเฟะเสียจะแย่ แต่กลับชอบทำท่าทางสูงศักดิ์”

แม้ว่าหนานหลิงจิ่นฝานจะมีรูปลักษณ์หล่อเหลา แม้ว่าจะดูค่อนข้างนุ่มนวลแต่ก็ไม่ได้เป็นบุรุษหน้าหวาน เพียงเห็นก็รู้ได้เลยว่าเป็นบุรุษ แม้ว่าจะเสเพลแต่กับไม่ได้ดูหยาบกระด้าง บนร่างของเขามีรัศมีของความสง่างามแห่งโอรสสวรรค์ ที่เขาบอกว่าตนเองเป็นคนหยาบกระด้างก็เพื่อเสียดสีตงหลิงเท่านั้น เบี่ยงเบนโทสะของตงหลิงไปยังเฟิ่งชิงเฉิน เตือนพวกเขาให้รู้ว่าเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน ตงหลิงจึงได้โดนดูถูกเช่นนี้…

หนานหลิงจิ่นฝานต้องการลงมือกับเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้เลย!

“มือซ้ายของเสด็จอาเก้าที่ตกอยู่ข้างลำตัวกำแน่นเล็กน้อย ใบหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น…

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท