ตระกูลหวัง ทำตัวคล้ายซี่โครงไก่เสียจริง ในยามนี้เสด็จอาเก้าจึงหยุดพักความคิดที่จะเอาชนะหวังจิ่นหลิง
เป็นเช่นนี้ก็ดี ในเมื่อมีตระกูลหวังออกหน้าปกป้องเช่นนี้ แม้ว่าตัวตนของเฟิ่งชิงเฉินจะต้องถูกเปิดเผย ก็หาได้เป็นอันตรายมากไม่ อวี่เหวินหยวนฮั่วที่พบคนจากเป่ยหลิงเยี่ยนนั้น ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่เฟิ่งและตระกลูหลานอย่างแน่นอน ในยามนี้มีเรื่องราวมากมายกำลังรุมล้อมมากนัก หากตระกูลหวังสามารถรักษาความเป็นกลางเอาไว้ได้ เขาก็พอใจ
ที่หวังจิ่นหลิงมาในวันนี้ เขามาเพราะเฟิ่งชิงเฉิน หรืออีกอย่างหนึ่งที่เขารับหน้าที่เป็นผู้นำตระกูลหวังนั้น ก็เพื่อเฟิ่งชิงเฉินด้วยเช่นกัน เนื่องจากว่า หากเขาเป็นผู้นำตระกูลหวังนั้น เขามีฐานะพอที่จะห้ามปรามหนานหลิงจิ่นฝานได้
ท่าทางอาการกรุ่นโกรธของหวังจิ่นหลิงนั้น เขาหาได้เสแสร้งแกล้งทำไม่ แต่เป็นเพราะเขาโกรธจริง ๆ อาจจะเพราะว่า แต่ก่อนหวังจิ่นหลิงมักจะสะกดกลั้นอารมณ์โกรธของตนเองเอาไว้ภายใต้หน้ากากที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้เขามักจะมีภาพลักษณ์เป็นคุณชายใหญ่ที่อ่อนโยนอยู่เสมอ แต่ในยามนี้ สายตาของหวังจิ่นหลิงคล้ายกับใบมีดที่คมกริบยิ่งนัก สายตาพลันกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยง ทุกคนที่ได้เห็นแววตาของหวังจิ่นหลิงในยามนี้นั้น ต่างก็พากันก้มหัวลงเพื่อหลบสายตาของเขา
“เป็นท่านที่ลงมือหรือ? องค์ชายสาม?” สายตาของหวังจิ่นหลิงพลันไปหยุดที่หนานหลิงจิ่นฝาน แม้ว่าจะเป็นคำถามที่ดูมิได้มีความหมายอันใด แต่แท้จริงแล้วคล้ายจะเป็นการซักถามเสียมากกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงมากที่สุดก็คือ ท่าทีที่อวดดีหยิ่งยโสของหนานหลิงจิ่นฝานนั้น กลับมาก้มหัวให้กับหวังจิ่นหลิง คล้ายกับท่าทีเด็กน้อยยิ่งนัก”ขอรับ”
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
ผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง พลันลอบยิ้มออกมา หากแต่ผู้ที่ไม่รู้ความพลันทำหน้างงไปในทันที
“ช่างหาญกล้ายิ่งนัก นางเป็นผู้มีพระคุณของข้า เจ้ากล้าตีนางหรือ?” ที่แท้ สถานะของคุณชายใหญ่กับท่านผู้นำตระกูลย่อมไม่เหมือนกัน ในยามที่หวังจิ่นหลิงเป็นเพียงคุณชายใหญ่นั้น เขาทั้งสุภาพและอ่อนโยนราวกับคุณชายหน้าหยก ไม่เคยทำตัวก้าวร้าว หรือใช้อำนาจในการกดขี่ผู้อื่นไม่ ทว่า หลังจากที่รับตำแหน่งท่านผู้นำของตระกูลนั้น การวางตัวของเขาพลันเปลี่ยนไป
หากผู้นำตระกูลหวังอ่อนโยนเกินไปนั้น ย่อมอาจถูกผู้อื่นดูเบาเอาได้
“กระหม่อม ข้า ไม่รู้” หนานหลิงจิ่นฝานรู้สึกอับอายยิ่งนัก ทว่า เมื่อนึกถึงคำพูดฝากฝังของเสด็จพ่อนั้น รวมไปถึงภารกิจที่ตนเองได้รับมาตั้งแต่ยังเด็กด้วย ฉะนั้น หนานหลิงจิ่นฝานจึงไม่กล้าที่จะต่อต้านมากนัก
จักรพรรดิย่อมรู้สึกเป็นห่วงอย่างแน่นอน แต่ทว่า เขาก็ชอบที่จะดูงิ้วด้วยเช่นกัน ทว่า การมาของหวังจิ่นหลิงนั้น ฝ่าบาทยังคงรู้สึกสงสัย สายตาพลันกวาดตามองไปยังเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันแสดงออกถึงความไม่เข้าใจ แต่ทว่าสีหน้าของเสด็จอาเก้าพลันแข็งค้างราวกับภูเขาไท่ซาน
เฮ้อ ถึงอย่างไรก็ยังมองไม่ออก ฝ่าบาทพยายามที่จะระงับความสงสัยที่เกิดขึ้นภายในใจเอาไว้ พร้อมกับมองหนานหลิงจิ่นฝานที่กำลังทำหน้ากลืนยาขมต่อไป
“ไม่รู้หรือ? องค์ชายสาม คำว่าไม่รู้หาใช่เหตุผลไม่” หวังจิ่นหลิงหาได้สนใจในเหตุผลไม่ เขาเพียงแค่ไม่อยากปล่อยคนผู้นี้ไปอย่างง่ายดาย คุณชายใหญ่เป็นเพียงชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้น ในมือหาได้มีอำนาจอันใดไม่ แต่มิเหมือนกับหน้าที่ของผู้นำตระกูลหวัง ถึงแม้ว่าอีกสามแคว้นจะมิได้สนใจในตระกูลหวังมากนัก แต่หนานหลิงให้ความสนใจ อีกทั้งยังไม่กล้าแตะต้องตระกูลหวังอีกด้วย
“นางก็ตีข้าเช่นกัน เสด็จอาเก้าเองก็เตะข้าด้วย” หนานหลิงจิ่นฝานพลันเอียงแก้มด้านซ้ายมาให้หวังจิ่นหลิงดู หากเทียบกับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ใบหน้าของหนานหลิงจิ่นฝานนั้นดูน่ากลัวกว่ามาก แต่ทว่า อาการเจ็บบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินกลับถูกลงน้ำหนักมากกว่า
“ตีเจ้า ?นั่นย่อมเป็นเรื่องที่สมควร เป็นชายชาตรีเสียอย่าง กลับคิดเล็กคิดน้อยแม้กระทั่งสตรี ราชวงศ์หนานหลิงช่างสั่งสอนเจ้าได้ดียิ่งนัก” ยิ่งพูดหวังจิ่นหลิงยิ่งโมโห หากเขามาเร็วกว่านี้ มันจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับชิงเฉินแล้ว
“ท่านผู้นำ ท่านอย่าได้ลำเอียงเช่นนี้” หาได้มีแววตาของไอสังหารไม่ แต่กลับรู้สึกคับข้องใจเสียมากกว่า
“ลำเอียง? ไหนเจ้าลองพูดมาเสีย ว่าข้าลำเอียงเช่นไร เป็นเจ้าที่เริ่มดุด่าเฟิ่งชิงเฉินก่อนใช่หรือไม่? เป็นเจ้าที่เป็นคนเริ่มลงมือกับเฟิ่งชิงเฉินก่อนใช่หรือไม่?” เมื่อคิดถึงยามที่หนานหลิงจิ่นฝานดุด่าเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเตะหนานหลิงจิ่นฝานให้กลับแคว้นหนานหลิงไปในทันที
เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเข้มแข็งเสียจนทำข้ารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก สตรีที่ร่าเริงสดใส มิควรจะมาถูกกระทำตัวทำให้อับอายเช่นนี้
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิด แต่นางก็ด่าข้าเช่นกัน แล้วก็ตีข้า นางหาได้เสียเปรียบไม่” หนานหลิงจิ่นฝานยังคงพูดขึ้น “ผู้ที่เสียเปรียบมากที่สุดย่อมต้องเป็นข้า”เมื่อเห็นแววตาที่เย็นชาของหวังจิ่นหลิงนั้น หนานหลิงจิ่นฝานจึงปิดปากตนเองแต่โดยดี
“ไม่เสียเปรียบ? องค์ชายสามช่างหาเหตุผลออกมาได้ดีเสียจริง ถ้าหากข้านำคำพูดที่เจ้าใช้ด่าเฟิ่งชิงเฉินเมื่อครู่ ไปพูดใส่เสด็จแม่ของเจ้า เพื่อให้เสด็จแม่ของเจ้าด่าข้ากลับมา เจ้ายินยอมหรือไม่?”
หนานหลิงจิ่นฝานพลันตกตะลึงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรีบเอ่ยขอร้องขึ้นมาว่า “ท่านผู้นำตระกูล ท่านมิควรทำลายชื่อเสียงเสด็จแม่ของข้า”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของหวังจิ่นหลิงนั้น แม้ว่าจะเป็นคำพูดโกหกหลอกลวง ก็สามารถทำให้ผู้คนสามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจ เพราะว่า ชื่อเสียงของหวังจิ่นหลิงโด่งดังยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนแต่ให้ความเคารพนับถือเขา
“เจ้าก็รู้หรือ ว่าคำพูดเช่นนั้นจะกระทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เสด็จแม่ของเจ้ามีชื่อเสียง แล้วเฟิ่งชิงเฉินมิต้องการหรือ? องค์ชายสาม อย่าไปทำในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบกับผู้อื่น ข้าไม่สนว่าท่านอยู่ที่หนานหลิงท่านจะประพฤติตัวเช่นไร แต่ที่นี่คือตงหลิง เจ้าต้องเคารพกฎระเบียบของตงหลิงด้วย” หวังจิ่นหลิงอดไม่ได้ที่จะพูดอบรมหนานหลิงจิ่นฝานออกมาเป็นชุด อีกทั้ง น้ำเสียงที่พูดออกไปนั้น นับว่าเป็นน้ำเสียงของผู้บังคับบัญชา
เฟิ่งชิงเฉินที่ได้ฟังพลันรู้สึกสับสนยิ่งนัก ยามที่นางคิดจะถามกับเสด็จอาเก้านั้น เสด็จอาเก้าเอาแต่ทำหน้านิ่ง ๆ ทั้งยังไม่เอ่ยคำอธิบายออกมาให้นางฟังอีก
“จิ่นฝานทราบแล้ว” แม้ว่าหนานหลิงจิ่นฝานจะไม่ค่อยอยากโต้เถียงมากนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็พอจะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา
“ในเมื่อได้รับบทเรียนแล้ว เจ้าก็ไปขอโทษคุณหนูเฟิ่งเสีย ข้าหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก”หวังจิ่นหลิงพลันออกคำสั่ง ข้ามหน้าข้ามตาฝ่าบาทไปในทันที แม้ว่าหนานหลิงจิ่นฝานจักไม่พอใจนัก แต่ก็เอ่ยรับคำอย่างเชื่อฟัง ทว่า เขายังไม่อยากให้เรื่องต้องมาจบลงเช่นนี้ “ท่านผู้นำตระกูล จิ่นฝานสามารถเอ่ยคำขอโทษกับคุณหนูเฟิ่งได้ แต่เสด็จอาเก้าที่ลงมือกับข้าเล่า จะต้องจัดการเช่นไร?”
“เรื่องของแว่นแคว้น ข้าจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว องค์ชายสามคิดจะทำเช่นไร ข้าย่อมไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้” ในวันนี้เขามาเพราะต้องการมาเป็นแรงสนับสนุนให้กับเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น ถึงได้ใช้หัวโขนของท่านผู้นำตระกูลมากระทำเช่นนี้ เรื่องอื่นเขาหาได้คิดสนใจไม่
“ขอบคุณท่านผู้นำ” หนานหลิงจิ่นฝานพลันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขานึกว่าหวังจิ่นหลิงจะเข้ามาควบคุมเขาทุกอย่างเสียแล้ว มิเช่นนั้น สิ่งที่เขาลงแรงไปในวันนี้ ย่อมไร้ประโยชน์เป็นแน่
จักรพรรดิพลันขมวดคิ้วเป็นปม ราวกับว่ามิใคร่พอใจกับการกระทำของหวังจิ่นหลิงนัก “จิ่นหลิง”
“จิ่นหลิงขอรับ” หวังจิ่นหลิงพลันให้ไปแย้มยิ้มเป็นเชิงปลอบใจให้กับเฟิ่งชิงเฉิน หนามที่อยู่บนร่างกายก็พลันถูกเก็บเข้าที่ไปในทันที พร้อมกับ กลับมาเป็นคุณชายใหญ่ที่อ่อนหวานเช่นเดิม แล้วจึงหันกลับไปหาฝ่าบาทเพื่อโค้งคำนับทำความเคารพเล็กน้อย
“จิ่นหลิง เจิ้นต้องการให้เจ้าอยู่คอยช่วยองค์รัชทายาทในการดูแล แขกของหนานหลิง ซีหลิงและองค์ชายจากเป่ยหลิง” การกระทำของฝ่าบาทในครานี้ คือต้องการให้หวังจิ่นหลิงออกหน้าให้กับราชวงศ์ตงหลิง
ฝีเท้าของหนานหลิงจิ่นฝานพลันชะงักไปในทันที พร้อมทั้งแอบชำเลืองมองไปที่หวังจิ่นหลิง ถ้าหากตระกูลหวังออกหน้าให้ละก็ หนานหลิงคงไม่อาจทำข้อเสนอดี ๆ จากตงหลิงได้แน่ เช่นนี้ จึงทำให้หนานหลิงจิ่นฝานรู้สึกกังวลยิ่งนัก หากฝ่าบาทคิดที่จะใช้ตระกูลหวังออกมาต่อกรกับหนานหลิงละก็ เขาย่อมต้องหมดหนทางอย่างแน่นอน
น่าเสียดาย หวังจิ่นหลิงหาใช่หุ่นเชิดที่จะให้ผู้ใดมาใช้การเขาได้ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท จิ่นหลิงไม่อาจรับหน้าที่สำคัญเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดถอนคืนพระราชโองการเถิด พระองค์รู้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวังกับราชวงศ์แคว้นหนานหลิงนั้น ตระกูลหวังรังเกียจที่จะคบค้ากับราชวงศ์หนานหลิงมาเพียงใด”
ความสัมพันธ์ของตระกูลหวังและราชวงศ์หนานหลิงนั้น ฝ่าบาทย่อมรู้ดี เมื่อได้เห็นหนานหลิงจิ่นฝานเคารพหวังจิ่นหลิงประหนึ่งบรรพบุรุษเช่นนั้น พระองค์ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นฝ่าบาทคงไม่คิดสงสัยในตระกูลหวังมากถึงเพียงนี้ ทั้งยังไม่กล้าใช้งานตระกูลหวังอีกด้วย ดูเหมือนว่า พระองค์จะประมาทเกินไป ตระกูลหวังไม่อยากให้ผู้คนในใต้หล้ารู้เรื่อง นั่นเพราะตระกูลหวังไม่อาจทำตัวเสียหน้าไปได้
“หากเป็นเช่นนั้น เจิ้นก็จะไม่บังคับ” แม้ว่าหน้าตาของราชวงศ์หนานหลิงจะมิได้ถูกขายออกไป เขาจะไปทำเช่นไรได้ ฝ่าบาททั้งรักทั้งแค้นตระกูลหวังยิ่งนัก หากพระองค์ได้รับความช่วยเหลือของตระกูลหวังอย่างเต็มที่แล้วละก็ พระองค์คงจะรีบบุกไปยึดหนานหลิงมากลืนลงท้องในทันทีเลยกระมัง แต่ทว่า ตระกูลหวังหาได้ยินยอมออกแรงถึงเพียงนั้นไม่
ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือ ว่าพระองค์ทั้งกดดันและห้ามปรามตระกูลหวังมากเพียงใด แม้แต่ในยามสถานการณ์เช่นนี้ พระองค์ยังต้องการให้ตระกูลหวังพยายามมากเพียงใดอีกหรือ
หนานหลิงจิ่นฝานจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปขอโทษเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่เต็มใจ เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจเขาไม่ ทำทีเป็นโบกไม้โบกมือไปมาด้วยความใจกว้างว่า “ลืมไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็มิได้เสียเปรียบอันใด คราวหน้า หากองค์ชายสามจะพูดสิ่งใดออกมา ก็ขอให้ระวังในคำพูดของตนหน่อยนะเพคะ หากสิ่งใดที่ไม่มีหลักฐานก็ไม่ควรพูดออกมาอย่างไร้มูล นี่เป็นเพราะข้าคือเฟิ่งชิงเฉิน หากเป็นสตรีนางอื่นละก็ คำพูดขององค์ชายสามเช่นนี้ คงมีแต่มอบหนทางตายให้กับนางผู้นั้นกระมัง”
เฟิ่งชิงเฉินทำทีเป็นสตรีว่านอนสอนง่าย แม้ว่านางจะถูกทำให้ขายหน้าก็ตาม แต่นางก็ทำทีเป็นไม่คิดเล็กคิดน้อยอันใด ถึงแม้ว่าหนานหลิงจิ่นฝานจะรู้สึกไม่พอใจนางอยู่บ้าง ทว่า เมื่อเห็นหวังจิ่นหลิงเอาแต่ปกป้องนางเช่นนั้น เขาจึงได้แต่ต้องอดทนเอาไว้
“คุณหนูเฟิ่งพูดถูกต้องยิ่งนัก คราวหน้าก่อนข้าจะพูดสิ่งใดออกมา ข้าจะหาหลักฐานออกมาเสียก่อน” คำพูดที่และดูเชื่อฟังของหนานหลิงจิ่นฝานนั้น พุ่งเป้าให้ไปกระทบหวังจิ่นหลิงในทันที นอกจากหวังจิ่นหลิงแล้ว ผู้คนในตงหลิงคนอื่น ๆ หาได้อยู่ในสายตาของเขาไม่ สิ่งนี่แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็ยังมองออก
“องค์ชายสามต้องการหลักฐานใช่หรือไม่เพคะ? ชิงเฉินจะให้พยานกับท่านคนหนึ่งเป็นอย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินพลันแย้มยิ้มออกมา แต่ทว่า เพราะใบหน้าของนางที่ได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มที่เผยออกมาให้เห็นนั้น จึงดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ทั้งยังทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกขนหัวลุกเหนือคำบรรยายขึ้นมาแทน โดยเฉพาะซีหลิงเทียนเหล่ย จู่ ๆ ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันรับรู้ได้จากสัญชาตญาณบางอย่าง ว่าตนเองจะได้เปลี่ยนสถานะจากผู้นั่งชมงิ้ว กลายมาเป็นผู้ร่วมแสดงงิ้วเช่นกัน
ในไม่ช้า ความคิดของซีหลิงเทียนเหล่ยพลันกลายเป็นความจริงขึ้นมาในทันที เฟิ่งชิงเฉินชี้นิ้วมาทางเขาในทันที “องค์ชายสามเพคะ ท่านมิใช่กล่าวว่าข้าเสียพรหมจรรย์ก่อนงานมงคลสมรสของตนงั้นรึ? เช่นนั้น ชิงเฉินจะบอกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ให้เป็นอย่างไร เขาย่อมรู้ดีว่าแท้จริงแล้วชิงเฉินบริสุทธิ์หรือไม่”
“องค์รัชทายาทเหล่ย?” หนานหลิงจิ่นฝานพลันหันไปตามนิ้วที่เฟิ่งชิงเฉินชี้มา ก็พลันเห็นสีหน้าที่แข็งค้างของซีหลิงเทียนเหล่ยในทันที ในที่สุด เขาก็พอใจเรื่องราวทุกอย่างขึ้นมา “ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้ว”
ทุกคนที่นั่งอยู่ภายในงาน ล้วนแต่เป็นพวกหัวกะทิกันทั้งนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีความร้ายกาจแต่ก็มีขอบเขตของมัน อีกทั้งผู้ที่เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างหาได้มีเพียงหนานหลิงจิ่นฝานไม่ ในยามนี้ ทุกคนพลันหันหน้าไปมองซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นตาเดียวกันหมด สายตาที่มองทั้งเต็มไปด้วยการประเมินสถานการณ์ตรงหน้า แต่ทว่าก็เจือไปด้วยความดูหมิ่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เหตุการณ์ในวันงานมงคลสมรสของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ดูอย่างไรก็ต้องมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่เรื่องนี้
ซีหลิงเทียนเหล่ยที่คิดว่าตนเองสามารถควบคุมท่าทีความสงบของตนเองได้แล้วนั้น ทว่า เมื่อมาพบเจอผู้คนจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียวเช่นนี้ เขายังคงรู้สึกอับอายยิ่งนัก แม้แต่ใบหูพลันแดงก่ำไปในทันที เขารู้สึกว่า ทุกคนภายในงานกำลังพูดต่อว่าเขาอย่างเสีย ๆ หาย ๆ อยู่อย่างไรอย่างนั้น
พลังของคำว่าข่าวลือนั้น น่ากลัวเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่คนในใต้หล้าที่สามารถต้านทานการโจมตีของข่าวลือได้ อย่างน้อยซีหลิงเทียนเหล่ยก็ไม่อาจทำได้ ไม่ว่าผู้คนนับร้อยจะพูดถึงเขาเช่นไร เขาต้องนั่งทำทีว่าไม่อะไรเกิดขึ้นนั้น เขาไม่อาจทำใจทำเช่นนั้นได้
“คุณหนูเฟิ่ง จะพูดอะไรย่อมต้องมีหลักฐาน เปิ่นกงมิได้พูดง่ายเหมือนกับองค์ชายสามไม่” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันลุกขึ้นยืนพร้อมกับจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินในทันที
เขามิคิดเลยว่า เฟิ่งชิงเฉินจะหาญกล้าได้มากถึงเพียงนี้ แม้ว่าเรื่องนี้จะเงียบลงไปแล้ว นางกลับมิคิดปล่อยเรื่องนี้ไปโดยดี ทั้งยังมาหาเรื่องเขาเช่นนี้อีก เป็นเพราะยืมอำนาจมาจากหวังจิ่นหลิงงั้นหรือ?
“องค์รัชทายาทเหล่ยจะพูดออกมาหรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี เหตุใดองค์รัชทายาทเหล่ยถึงมีท่าทีตื่นเต้นนักเล่า หากท่านมิได้ทำชั่ว จักต้องหวาดกลัวไปไย หาได้มีความจำเป็นต้องสนใจคำพูดของชิงเฉินไม่” เฟิ่งชิงเฉินจับอาภรณ์ของตนเองลูบไปมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอียงหัวลงเล็กน้อย เพื่อซ่อนแววตาที่เผยความรังเกียจเขาออกมา แต่ในสายตาของผู้คนที่มองนางมาอยู่นั้น พลันรู้สึกว่านางกำลังพูดจาดูถูกและมิต้องการพูดคุยกับซีหลิงเทียนเหล่ยมากนัก
ถึงแม้ว่าจะมิได้มีหลักฐาน แต่ทุกคนที่อยู่ภายในงานกลับนำคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเก็บไปคิดทบทวนด้วยตนเองแล้ว
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หากว่ามิใช่ความจริง แม้ว่าจะมีแรงสนับสนุนของตระกูลหวังอยู่ แต่เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเด็กสาวกำพร้า จะกล้ากัดองค์รัชทายาทซีหลิงไม่ปล่อยได้อย่างไร
งานเลี้ยงในวันนี้ จะเป็นตัวทำให้ตงหลิง หนานหลิงและซีหลิง สามแคว้นนี้เกิดทะเลาะวิวาทกันหรือไม่ หรือว่าใต้หล้ากำลังจะตกอยู่ความอลหม่านแล้วหรือ ?