นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 431 สนทนายามค่ำคืน ณ ห้องนอน
องค์หญิงอันผิงพยายามเลือกเฟ้นข่าวลือที่ไม่ค่อยน่าฟังซึ่งเกิดขึ้นในเมืองหลวงออกมาให้แก่จักรพรรดิและจักรพรรดินีฟัง องค์จักรพรรดินียิ่งฟังยิ่งทำสีหน้าไม่น่ามอง แต่เป็นเพราะนางมีเหตุมีผลเพียงพอจึงสามารถระงับสติอารมณ์และแสดงรอยยิ้มอย่างสง่างามออกมาได้
“เสด็จแม่ ลูกไม่พอใจ ลูกไม่พอใจอย่างยิ่ง เหตุใดนางจึงได้รับชื่อเสียงอันดีงามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินใช้การพนันเพื่อหาเงิน และนางกำลังรวบรวมฝูงชนเพื่อการพนัน แต่คนเหล่านั้นมีตาหามีแววไม่ แต่ละคนล้วนกล่าวว่านางดีเลิศ มันมากเกินไปแล้วเพคะ เสด็จแม่ ช่วยออกพระราชฎีกาตำหนิเฟิ่งชิงเฉินให้ลูกหน่อยได้หรือไม่?”
องค์หญิงอันผิงโมโหมาก เมื่อนางได้ยินคนเหล่านั้นกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงเป็นใยคำนึงถึงประเทศและประชากรนางก็ยิ่งรู้สึกโมโห และกล่าวหาว่าเฟิ่งชิงเฉินช่างเป็นคนหยาบคาย เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเงิน ยกอ้างความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อของประเทศมาเป็นเครื่องมือในการหาเงิน
เดิมทีนางคิดว่าผู้คนโดยมากจะเห็นด้วยกับนาง แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายจากตระกูลใหญ่เหล่านั้น อีกทั้งคุณชายตระกูลขุนนางล้วนกล่าวว่านางไม่เข้าใจเจตนาดีของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินคิดค้นกลวิธีแปลกๆ เช่นนี้ขึ้นมาแต่ก็เพื่อประชาชนใต้หล้า
อุบายอะไรกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือการพนันเงิน ใครที่มีดวงตาล้วนมองเห็นได้ทั้งนั้น หากการเดิมพันนี้ได้ผลก็จะได้กำไรมากมาย แล้วเหตุใดชาวบ้านจึงได้ยกย่องเฟิ่งชิงเฉินว่าดี แม้แต่คุณชายเหล่านั้นก็ยังเอ่ยชื่นชมเฟิ่งชิงเฉินไปเสียทุกคน
องค์หญิงอันผิงโมโหมาก แต่มือนางมีเพียงแค่สองข้างจะไปสู้หมัดสี่ข้างของศัตรูได้อย่างไร นางไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้ด้วยคำพูด ดังนั้นจึงได้เดินทางกลับมาพระราชวังเพื่อฟ้องเสด็จแม่
ไม่แปลกใจเลยที่องค์หญิงอันผิงจะพ่ายแพ้ นางไม่รู้ว่าแม้การเดิมพันนี้เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นคนคิดขึ้นมา แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการเดิมพันก็คือตระกูลใหญ่และตระกูลขุนนางต่างๆ ที่จะได้ทั้งกำไรและชื่อเสียง
บรรดาคุณชายที่พากันเข้าข้าง เฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลของพวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มการเดิมพันนี้ การที่องค์หญิงอันผิงกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นคนไม่ดี เท่ากับ กล่าวว่าพวกเขาไม่ดีเช่นกัน จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร……
ความคลุมเครือและซับซ้อนเหล่านี้องค์หญิงอันผิงไม่รู้ แต่จักรพรรดินีรู้ ดังนั้นนางจึงกล่าวได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนไม่ดี แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าการเดิมพันนี้ไม่ดี
การเดิมพันนี้รายล้อมไปด้วยผู้มีอำนาจส่งพลังมากมาย แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่อำนาจที่อยู่เบื้องหลังนี้ยิ่งใหญ่นัก แม้แต่มารดาของนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นต่อให้เป็นนางก็ไม่อาจเข้าไปยุติการเดิมพันนี้ได้ง่ายๆ
ต้องขอบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินและซูเหวินชิงเป็นคนที่มีความอดทนมากทีเดียว พวกเขาไม่เข้าไปเชิญชวนบรรดาองค์ชาย แต่ผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังองค์ชายเหล่านั้นพวกเขาก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปหา เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เกิดเรื่องก็มีคนจะเข้ามากล่าวแทนพวกเขา
โลกนี้ช่างมืดมน ทุกสิ่งล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ โลกนี้ช่างคึกคักแต่ก็ทำเพื่อผลประโยชน์เช่นกัน ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้นั่นก็คือการเชื่อมความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน และความสัมพันธ์ที่อ่อนแอที่สุดในโลกก็คือการใช้ความสัมพันธ์มาเชื่อมโยงด้วยเช่นกัน
พันธมิตรที่มาจากการเดิมพันนี้เป็นเพียงชั่วคราว และสิ่งที่พวกเขาออกมาพูดแทนเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นเรื่องชั่วคราวเช่นกัน หลังจากที่ได้แบ่งผลประโยชน์กันแล้ว ก็แยกย้าย ทุกสิ่งกลับไปที่จุดเดิม เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี จักรพรรดินีก็เข้าใจดี เพียงแต่องค์หญิงอันผิงที่ไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้
เรื่องราวเหล่านี้ จู่ๆ จะให้อธิบายออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงอันผิงก็คงพูดได้ไม่ชัดเจน และจักรพรรดินีก็ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายให้นางฟัง เพียงให้สัญญาว่า “ลูกแม่อย่าได้โมโหไปเลย เฟิ่งชิงเฉินจะมีความสุขได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แล้วแม่จะช่วยขจัดความขุ่นเคืองใจนี้ให้เจ้าอย่างแน่นอน”
องค์หญิงอันผิงเงยศีรษะขึ้นมองดู พบความดุดันเป็นประกายในแววตาของจักรพรรดินี องค์หญิงอันผิงผู้ฉลาดปราดเปรื่องจึงรู้ได้ทันที สายตาของเสด็จแม่เช่นนี้ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นก็จะมีคนตาย
และแววตานี้แม้แต่องค์หญิงอันผิงเองก็ยังกลัว องค์หญิงอันผิงเอ่ยเรียกขึ้นว่า “เสด็จแม่เพคะ?”
“ลูกแม่วางใจเถิด หากแม่ยังอยู่จะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าได้” จักรพรรดินีให้คำสัญญาอีกครั้ง
“เสด็จแม่เพคะ มีแผนการอย่างงั้นหรือ ต้องการให้ลูกช่วยหรือไม่?” ความหวาดกลัวนั้นเป็นเพียงชั่วครู่ ในไม่ช้าองค์หญิงอันผิงก็เข้าใจว่าเสด็จแม่จะไม่ทำร้ายนาง จะปูทางให้แก่นางเท่านั้น
จักรพรรดินีเผยอยิ้มขึ้นอย่างลึกซึ้งยากเกินคาดเดา นางใช้นิ้วชี้แตะไปเบาๆ ที่หน้าผากขององค์หญิงอันผิง “เจ้าช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจปกปิดเจ้าได้ เจ้าไม่ต้องช่วยอันใดหรอก เพียงแค่ช่วงนี้ทำตัวให้ว่าง่าย รอดูละครฉากเด็ดเป็นพอ”
“เสด็จแม่ เสด็จแม่เพคะ จะทำสิ่งใดหรือ? เล่าให้ลูกฟังหน่อยได้หรือไม่ ลูกก็อยากจะช่วยเช่นกัน” องค์หญิงอันผิงหยุดร้องไห้ ดวงตาของนางเป็นประกายแวววาว แล้วเข้าไปดึงแขนจักรพรรดินีเอาไว้ทำนิสัยเหมือนเด็กๆ
“เอาละๆ อย่าได้วุ่นวายไป เรื่องนี้แม้จะจัดการเอง เมื่อไม่กี่วันก่อนกรมช่างหลวงได้ทำเครื่องประดับขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แม่มองดูแล้วพบว่างดงามประณีตยิ่งนัก จึงเก็บเอาไว้ให้เจ้าสองสามชิ้น เจ้าจงไปเลือกดูเถิด”
“มีอะไรงดงามกัน ล้วนเป็นสิ่งของที่หวงกุ้ยเฟยเลือกแล้วไม่ต้องการ ลูกไม่เอาหรอกเพคะ” องค์หญิงอันผิงเบะริมฝีปากพึมพำ แม้ว่านางจะกล่าวออกมาเช่นนั้นแต่ก็รีบลุกขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ก็แค่สิ่งของเล็กน้อย จักรพรรดินีแห่งราชวงศ์ตงหลิงก็คือแม่ของเจ้า เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” จักรพรรดินีตบลงไปที่ไหล่ขององค์หญิงอันผิงด้วยท่าทางเงียบสงบเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ดวงตาของนางนั้นช่างเยือกเย็นและทำให้คนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่านางใส่ใจและกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
ตามกฎแล้วของที่กรมช่างหลวงทำออกมา หลังจากนำไปถวายแด่องค์จักรพรรดิแล้ว องค์จักรพรรดิก็จะเลือกเอาไว้บางส่วนสำหรับตกรางวัล ส่วนที่เหลือก็จะนำส่งไปให้จักรพรรดินี หลังจากที่จักรพรรดินีเลือกที่พึงพอใจเอาไว้แล้วจึงจะมีเหลือไปถึงสนมคนอื่น
แต่ในครั้งนี้ องค์จักรพรรดิกลับรับสั่งให้นำไปให้แก่เซี่ยกุ้ยเฟย เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดินีโกรธเคืองไม่น้อย แต่ต่อให้โกรธแล้วอย่างไรเล่า นางยังคงต้องทำเป็นใจกว้างยิ้มแย้ม
ในวังหลัง สิ่งที่สตรีทั้งหลายพากันแก่งแย่งก็คือหัวใจขององค์จักรพรรดิและอำนาจ หากไม่ได้รับความเอ็นดูจากองค์จักรพรรดิ ไม่มีอำนาจคอยสนับสนุน ต่อให้เป็นจักรพรรดินีเองก็คงทำได้แต่อดกลั้นไว้ในใจ
ในพระราชวัง ภายนอกดูเหมือนจะสงบสุข แต่ในมุมมืดนั้นทุกคนล้วนสวมหน้ากากเข้าหากัน ภายใต้หน้ากากอันดูเป็นมิตรอ่อนโยน เเฝงไปด้วยพิษร้ายซึ่งทำให้คนอาจถึงแก่ชีวิตได้
ผู้ไม่รู้ล้วนเป็นสุข เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้แม้แต่น้อยว่าแผนการซึ่งหวังจะจัดการกับนางนั้นกำลังดำเนินขึ้นแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินนอนหลับใหลไปจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง หลังจากที่นางรับประทานอาหารเงินเรียบร้อยแล้วนางก็กำลังครุ่นคิดว่าจะเอาชนะจากการกับการแข่งขันของซูหว่านเช่นไรดี
ต่อให้นางไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ บัดนี้นางก็ควรจะเตรียมตัวสักหน่อยเพื่อไม่ให้แพ้เสียหน้าอับอายจนเกินไป ไม่เช่นนั้นราชวงศ์ตงหลิงคงจะขายหน้ายิ่ง องค์จักรพรรดิคงจะไม่ปล่อยนางเอาไว้ บรรดาขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นก็ไม่ปล่อยวางนางไว้เช่นกัน เพื่ออนาคตอันงดงามนางจึงจำเป็นจะต้องพยายามอย่างยิ่ง
สำหรับจักรพรรดินีผู้นี้ เฟิ่งชิงเฉินพยายามป้องกันนางเอาไว้อย่างดี ของกำนัลทุกอย่างที่องค์จักรพรรดินีประทานมา นางไม่คิดจะนำมันมาใช้ นางไม่ลืม เรื่องตอนนั้นในคอกสัตว์หลวง ชุดของนางขาดได้เพียงแรงดึงเล็กน้อย
สตรีมักจะใจแคบ ในสายตาของพวกนางมีเพียงอำนาจและการแก่งแย่งในวังหลัง บางคราเพื่อการแก้แค้นส่วนตัวนี้พวกนางใช่ประโยชน์ของประเทศอย่างบ้าคลั่ง ในส่วนนี้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจโดยกระจ่างแท้ เพราะนางก็เป็นหนึ่งในคนเช่นนี้
นางไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องใหญ่เรื่องโตได้ เรื่องใหญ่โตทั้งหลายในใต้หล้าเกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา องค์จักรพรรดินีก็เป็นคนเช่นนี้ด้วย จิตใจที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นจะทำร้ายผู้อื่นนั้นไม่ควรมี แต่การป้องกันตนก็ไม่ควรลดละ ไม่ว่าองค์จักรพรรดินีจะมีประสงค์ทำร้ายนางหรือไม่ นางก็ควรที่จะป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อนเสียดีกว่า
เฟิ่งชิงเฉินกำชับกับทงจือและทงเหยาให้พวกนางจัดเย็บชุดขี่ม้าให้ตน จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็กลับไปนอนต่อที่ห้องของนาง เมื่อตอนกลางวันนางนอนหลับชดเชยเวลาของเมื่อคืน ส่วนคืนนี้นางก็นอนหลับในส่วนของคืนนี้ซึ่งควรต้องนอน เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีถึงความสามารถในการนอนหลับของตน นางไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ
แต่ทงจือและทงเหยากลับไม่รู้ บ่าวรับใช้ทั้งสองเกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินนอนหลับมาทั้งวันแล้วตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับเอา จึงได้นำจึงได้นำฉิน ซึ่งจักรพรรดินีประทานให้ อีกทั้งทำนองเพลงที่จวนอันกั๋วกงมอบให้มาวางไว้ตรงหน้าหน้า พร้อมกับกล่าวว่า “ฝึกซ้อมก่อนจะแข่งขันเจ้าค่ะ”
การแข่งขันกำลังจะมาถึงแล้ว ทงจือและทงเหยากังวลทักษะการบรรเลงฉินของเฟิ่งชิงเฉินมากเหลือเกิน ทงจือและทงเหยาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นได้ในช่วงเวลาอันสำคัญสุดท้ายนี้ ภายในเวลาหนึ่งวันนางอาจจะบรรเลงดนตรีออกมาได้อย่างไพเราะเสนาะหู
แต่ทว่าความคิดช่างสมบูรณ์แบบ ในความเป็นจริงนั้นกลับหดหู่ หลังจากที่ทงจือและทงเหยาบรรเลงเพลงออกมาคนละเพลง จากนั้นให้เฟิ่งชิงเฉินเลือกว่านางจะเลือกบรรเลงเพลงใด เฟิ่งชิงเฉินกลับกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเฉยเมยว่า “พวกเจ้าทำธุระของตนเถิด วางฉินไว้ที่นี่ ข้าจะฝึกซ้อมด้วยตนเอง”
แท้จริงแล้วนางไม่อยากจะบรรเลงสักเพลงเดียว เพราะในตอนแรกที่ฝึกบรรเลงฉิน สายของฉินจะทำให้นิ้วมือได้รับบาดเจ็บ นางไม่ประสงค์ให้นิ้วมือของตนต้องได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างเพียงระยะเวลาหนึ่งวัน ต่อให้นางมีพรสวรรค์ในด้านนี้ก็ไม่อาจต่อสู้กับซูหว่านที่ฝึกซ้อมเรียนรู้การบรรเลงฉินมานานนับสิบปีได้อย่างแน่นอน
การแข่งขันบรรเลงฉิน นับได้ว่าเป็นการรังแกตนเองยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดจะแตะต้องฉิน และไม่คิดจะทำให้มันเกิดเสียงใดแม้แต่น้อย แม้ว่านางจะไม่สนใจต่อคำนินทา แต่นางก็ไม่อยากจะอับอายขายหน้าไปมากนัก
“คุณหนูเจ้าคะ การแข่งขันระหว่างคุณหนูกับบุตรสาวตระกูลซูกำลังจะมาถึงแล้ว หากคุณหนูยังไม่ฝึกซ้อมบรรเลงฉินอีกล่ะก็ การแข่งขันบรรเลงฉินก็คงจะแพ้อีก หากว่าคุณหนูไม่อยากฝึกซ้อมบรรเลงฉิน บ่าวจะไปฝนหมึกมาให้คุณหนูวาดรูปเป็นอย่างไรเจ้าคะ?” ทงจือพบว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมแตะต้องฉินอย่างเด็ดขาด นางจึงทำได้เพียงอ้อมค้อมไปอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องที่คุณหนูเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมฝึกเขียนตัวอักษรเป็นเพราะอะไรน่ะหรือ
เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดี เฟิ่งชิงเฉินลายมือไม่งดงามสักเท่าไหร่ ต่อให้ฝึกซ้อมไปก็ไร้ประโยชน์ หากจะบังคับให้นางเขียนหนังสือออกมาให้งดงามล่ะก็ สู้คาดหวังว่านางจะมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปเสียยังดีกว่า
ส่วนการเล่นหมากรุกน่ะหรือ?
เฮ้อ……ช่างเถอะ การบรรเลงฉินอาจจะฝึกซ้อมได้สักเพลงหนึ่งในระยะเวลาอันสั้น แต่หมากรุกนั้นจะต้องมีพื้นฐานมาก่อน ฉิน หมากรุก คัดลายมือและวาดภาพทั้งสี่อย่าง เฟิ่งชิงเฉินคาดว่าคงจะพอฝืนทำได้สองอย่างนั่นก็คือ บรรเลงฉินและวาดภาพ
“ข้าวาดภาพไม่เป็น” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาตามตรง ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพแบบลงเส้น วาดภาพน้ำมัน หรือวาดภาพโดยการใช้พู่กันใหญ่ นางล้วนทำให้เป็นสักอย่าง ไม่เพียงแค่ไม่เป็น นางยังไม่อาจชื่นชมในความงดงามของพวกมันได้แม้แต่น้อย
นางไม่เข้าใจถึงการที่น้ำหมึกและน้ำมาผสมกันกระจายตัวออก นางไม่เข้าใจถึงความงามของภาพน้ำมัน
ทงจือและทงเหยาหันมาสบตากัน สตรีทั้งสองนางก้มหน้าลง “คุณหนูเจ้าคะ แล้วการแข่งขันในวันมะรืนนี้จะทำเช่นไร” พวกนางเป็นกังวลยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความสามารถด้านใดที่จะนำไปแข่งขันได้เลย
“อย่ากังวลใจไปเลย ข้ามีแผนการของข้าอยู่ พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด หากไม่มีสิ่งใดต้องทำก็จงพักผ่อน” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีถึงความกังวลใจของทงจือและทงเหยา รู้เป็นอย่างยิ่งว่าคนที่กังวลใจนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พวกนางสองคน แต่ว่า……
ต่อให้กังวลใจเพียงไร แต่นางก็ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างเดียวนี่คือความจริง นางไม่ได้เป็นสตรีซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นคนสมัยโบราณ อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นเฟิ่งชิงเฉินคนเดิม คาดว่าก็คงไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะเอาชนะซูหว่านถึงศิลปะทั้งสี่ประเภทนี้ได้
ทงจือและทงเหยารู้เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจกระทำอย่างเด็ดขาด พวกนางไม่มีอำนาจใดในการบังคับ จึงทำได้เพียงเดินจากออกไปด้วยท่าทางอันหดหู่และผิดหวัง
เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองไปทางฉิน นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแต่ก็ไม่อาจคิดแผนการดีๆ ใดออกมาได้ เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะต้องทรมานตนเองอีกต่อไป นางลุกขึ้นและเตรียมตัวจะไปนอน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าตั้งใจจะเอาชนะซูหว่านได้อย่างไร” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง เฟิ่งชิงเฉินชะงักฝีเท้าลงแล้วมองไปตามตน “หลานจิ่วชิง?”
“หากไม่ใช่ข้าแล้วเจ้าคิดว่าจะเป็นใคร?” หลานจิ่วชิงเดินออกมาจากที่มืด แสงไฟจากเทียนส่องกระทบไปที่หน้ากากของเขาเป็นประกายวิบวับ
“นอกจากเจ้าแล้ว จะมีใครอีกเล่าที่กล้าบุกเข้ามาหาข้าในกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้” เมื่อรู้ว่าคนที่เดินทางมาเป็นใคร เฟิ่งชิงเฉินจึงผ่อนคลายแล้วส่งสายตาเป็นความหมายให้หลานจิ่วชิงนั่งลง ก่อนจะรินน้ำมาสองแก้ว นำหนึ่งแก้วไปวางไว้ตรงหน้าของหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติว่า……