ยามที่รถม้าของเสด็จอาเก้ามาหยุดลงที่ตำหนักแยกนอกเมืองนั้น เนื่องจากเป็นเพราะอารมณ์ที่เย็นชาและเฉยเมยของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่นั่งนิ่ง ๆ มิได้พูดสิ่งใดออกมามาก เมื่อรออยู่บนรถม้ามาครึ่งค่อนวันแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มิเห็นว่าเสด็จอาเก้าจะขยับตัวแต่อย่างใด จึงเกิดความลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับเปิดประตูรถม้าลงไปด้วยตนเอง นางจึงมิทันได้เห็นสีหน้าอันบึ้งตึงของเสด็จอาเก้า
สตรีโง่!
เสด็จอาเก้าโมโหเสียจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
มิเห็นว่าเขากำลังโมโหอยู่หรือ? นางมิคิดจะเอ่ยถามเขา พร้อมกับพูดจาให้น่าฟังสักนิดหน่อยหรือ?
เสด็จอาเก้าโมโหเสียจนแทบจะพังรถม้าให้แหลกคามือ เฟิ่งชิงเฉินที่ลงมาจากรถม้าตั้งนานแล้วนั้น ก็ยังมิเห็นเสด็จอาเก้าขยับกายตามมาอีก ก็พลันรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย พระองค์ทำตัวราวกับรอให้พ่อแม่ไปปลอบใจเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น น่าเสียดาย เสด็จอาเก้าหาใช่เด็กน้อยผู้นั้นไม่ อีกทั้งเฟิ่งชิงเฉินก็มิได้สนใจจะเป็นพ่อแม่ให้กับเขาด้วยเช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินที่รอเสด็จอาเก้ามาครึ่งค่อนวันแล้วนั้น ก็ยังไม่เห็นเสด็จอาเก้าลงมาเสียที ก็พลันใช้สายตาถามองครักษ์ที่อยู่ข้างกายว่า ” พวกเจ้าไม่คิดจะไปเตือนเสด็จอาเก้าให้ลงมาจากรถม้าหน่อยหรือ?”
องครักษ์พลันเกิดความลังเลใจไปเล็กน้อย พร้อมกับกับก้าวไปด้านหน้าเพื่อกัดฟันพูดออกมาว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ถึงตำหนักแยกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หาใช่เสียงที่พระองค์รอคอยไม่ เสด็จอาเก้าพลันเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมาอีกครั้ง เสียงดัง ปั้ง เสียงแรงออกหมัดที่อยู่ภายในรถม้า รถม้าพลันเกิดความสั่นไหวไปเล็กน้อย สีหน้าของเหล่าองครักษ์ทั้งหลายต่างพากันซีดเผือดไปในทันที พร้อมกับนั่งคุกเข่าลง
“ท่านอ๋อง ยกโทษให้พวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ”
พวกเขามั่นใจได้ว่า ภายในรถม้าหาได้มีนักฆ่าไม่ อีกทั้งยังไม่พบเจอผู้ต้องสงสัยในรอบ ๆ รถม้าอีก สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายออกมาได้ก็คือ ท่านอ๋องพวกเขากำลังอยู่ในอารมณ์โมโหอยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้สาเหตุที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความที่เป็นข้ารับใช้ อย่างไรก็ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์โกรธให้กับเจ้านายของตนเอง
ผู้คนที่อยู่ภายนอกรถม้า ต่างพากันนั่งคุกเข่าลงกันหมด มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่ยืนขึ้นอยู่เพียงผู้เดียว เพื่อต้องการที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเขา เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เตรียมตัวที่จะนั่งคุกเข่าลงไป
อย่าได้คิดว่า นางมีอำนาจมากพอ แต่เป็นเพราะว่า
การโดดเด่นจากฝูงชนมากไปหาใช่เรื่องที่ดีไม่ หากว่าเสด็จอาเก้าเดินลงมาจากรถม้า แล้วเห็นนางยืนอยู่ผู้เดียวละก็ บางทีเขาอาจจะนำอารมณ์โกรธมาลงที่นางก็เป็นได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง นางควรจะไหลตามพวกเขาไปเสียมากกว่า
ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ช้าไปเสียแล้ว เพียงแค่นางย่อเข่าลงไป เสด็จอาเก้าก็พลันเดินลงมาจากรถม้าในทันที สายตาที่เย็นชา พร้อมกับท่วงท่าที่มีเกียรติอันสูงส่ง มันทำให้รู้สึกได้ถึงความเป็นราชนิกุลในตัวของพระองค์
“คุกเข่าลงทำไมกัน ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เหล่านั้น ถึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินจึงอดไม่ได้ ทีี่จะนั่งคุกเข่าลงไป เพราะนางมิอยากแสดงตนว่าตนเองไม่เหมือนผู้อื่น
“หึ” เสด็จอาเก้าเพียงแค่ก้าวเท้ายาว ๆ ผ่านตัวของเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างเย็นชา
เฟิ่่งชิงเฉินพลันใช้ความคิดกับตนเองว่า นางควรจะก้าวเข้าไปถามหรือไม่ว่า มือขวาของเสด็จอาเก้า พระองค์ต้องการจะทำแผลหรือไม่?
แต่ก็ พอเถอะ แผลเล็กน้อยแค่นั้นหาได้เอาชีวิตได้ไม่ รอบกายของเสด็จอาเก้ามีท่านหมออยู่มากมาย
เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่เร่งฝีเท้าตามเข้าไป
ผ่านไปนานหลายปี ยามที่เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมานั้น ถึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใดเสด็จอาเก้าถึงมีสีหน้าที่บึ้งตึงกันแน่
พระเจ้า เพียงแค่อารมณ์โกรธ เขาก็สามารถใช้มันเพื่อวางแผนออกมาได้แยบยลถึงเพียงนั้น บุรุษผู้นี้ นับว่าน่ากลัวมากเกินไปแล้ว
ด้วยหมัดนั้น เสด็จอาเก้าพลันใช้บาดแผลของตน เป็นตัวเปิดทางให้ทุกคนได้รู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินยั่วโมโหเสด็จอาเก้า ยามที่อยู่บนรถม้า จนทำให้เสด็จอาเก้าต้องระบายความโกรธด้วยการต่อยกับผนังรถม้าในทันที พร้อมกับตนเองที่ได้รับบาดเจ็บที่มือขวา
ถึงแม้ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบเสด็จอาเก้าจะมิได้พูดสิ่งใดออกมา แต่ผู้ที่มีสมองจะสามารถคิดได้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในรถม้าของเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉิน
แต่แท้จริงแล้ว?
เสด็จอาเก้าเอามือชกกับกำแพงและกระจกในคืนก่อนแล้ว ทั้งยังทำให้เลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วมือของตนเองอีกด้วย แต่พระองค์กลับผลักภาระทุกอย่างไปที่เฟิ่งชิงเฉินเสียจนหมด
แววตาที่ “วาวโรจน์”ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น นอกเสียจากเขาจะเป็นคนตาย มิเช่นนั้น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เฟิ่งชิงเฉินตกมาอยู่ในกำมือของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะมิได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา แต่ทว่า ภายในใจของเขา ก็ยังคงรู้สึกภูมิใจกับการกระทำของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย
พระองค์รู้ดีว่า เฟิ่งชิงเฉินยังคงมีความรู้สึกกังวลใจต่อเขาอยู่ ถึงแม้ว่าจะพยายามปกปิดลงไปไม่น้อย ยามที่คิดว่าต้องการที่จะตัดขาดความสัมพันธ์จากเขา แต่ทว่า เมื่อเห็นบาดแผลของเขานั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความกังวลภายในใจ
เมื่อความรู้สึกภายในใจถูกเติมเต็มขึ้นมาเช่นนั้น แม้ว่าฉากหน้า ใบหน้าของตนเองจะดูเคร่งเครียด มิสนใจแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมทั้งซ่อนมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตนเอาไว้ในเสื้อ
บาดแผลบนมือของเขา มีทั้งรอยใหม่และรอยเก่า ถึงอย่างไร เขาย่อมไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นมันแน่ อีกทั้งยังไม่อยากให้นางมาเป็นคนทำแผลด้วยตนเองอีกด้วย ฉะนั้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าก็เป็นกังวลต่อไปเสียเถอะ
เมื่อมาถึงตำหนักแยกนั้น เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินต่างก็ปลอมกายแต่งตัวเป็นสามัญชนธรรมดา ทั้งสองคนพลันพกองครักษ์มาด้วยถึงสิบแปดนาย พร้อมกับขี่ม้าไปยังบนเขาที่ซีหลิงเทียนอวี่อาศัยอยู่
เมื่อพบเจอกับประสบการณ์อันล้มเหลวในคราที่แล้ว เสด็จอาเก้าจึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะนั่งม้าตัวเดียวกับเฟิ่งชิงเฉินไปในทันที ทว่า
เฟิ่งชิงเฉินพลันมองไปยังม้าของตนเองที่ได้รับมา พร้อมกับภายในใจพลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
วันนี้ นางอยากจะนั่งม้าตัวเดียวกันกับเสด็จอาเก้าต่างหาก นางสามารถนำม้าตัวนี้ส่งคืนไปได้หรือไม่
หากรู้ว่า คืนก่อนหน้านั้น ยามที่อยู่ในป่าไม้ที่มืดมิด นางไม่สามารถบอกทิศทางได้ ทั้งยังจำเส้นทางไม่ได้อีก รวมไปถึง นางไม่รู้ว่าสถานที่ที่เสด็จอาเก้ากำลังจะพานางไป เป็นสถานที่ลับ
แต่ในยามนี้ไม่เหมือนกัน ในยามนี้ยังคงเป็นเวลาเช้า การที่ต้องมานั่งขี่ม้าคนเดียวเช่นนี้ อย่างไรนางก็ย่อมจำทางได้อย่างแม่นยำ ฮือฮือฮือ นางไม่อยากจะรับรู้เรื่องราวให้มากเกินไป นางอยากจะขี่ม้าตัวเดียวกันกับเสด็จอาเก้า หลังจากที่นางขึ้นไปบนม้า ขอเพียงแค่นางหลับตาลง นางก็จะไม่เห็นสิ่งใดแล้ว
ยิ่งรู้มากเท่าใด นางก็จะยิ่งตายเร็วมากเท่านั้น ในชาติก่อนนั้น นั่นเป็นเพราะว่านางรับรู้เรื่องมากเกินไป จากใจจริงนางไม่อยากจะรู้เรื่องของเสด็จอาเก้ามากไปนัก เฟิ่งชิงเฉินพลันใช้สายตามองไปที่เสด็จอาเก้าอย่างอาลัยอาวรณ์ เพื่อที่จะให้เสด็จอาเก้าพยายามจะเปลี่ยนใจ
แต่ทว่า คลื่นสมองของนางและเสด็จอาเก้าต่างกัน พวกเขามิได้เป็นคนที่แข็งแกร่งมากพอ ถึงจะได้สามารถสื่อสารกันทางจิตได้ เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ลีลาในการขึ้นม้าอยู่นั้น เสด็จอาเก้าพลันเข้าใจไปว่า เฟิ่งชิงเฉินกำลังเป็นกังวลเรื่องยากแผลที่มือของเขา เมื่อได้ทำการพันแผลที่มือขวาเอาไว้ลวก ๆ แล้วนั้น ก็พลันออกคำสั่งมาว่า “ออกเดินทางได้”
เฟิ่งชิงเฉินที่ไร้ทางเลือก นางไม่สามารถพูดออกมาตามตรงว่า นางต้องการจะนั่งม้าตัวเดียวกันกับเสด็จอาเก้าได้ หน้าของนางมิได้หนาถึงเพียงนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ปีนขึ้นม้าด้วยท่าทางงุ่มง่าม
“ไป!”
เพียงแค่การสะบัดแส้ม้าเพียงครั้งเดียว เฟิ่งชิงเฉินก็พลันชักม้าตามเสด็จอาเก้าไปในทันที
เฮ้อ ความเร็วเช่นนี้ พร้อมกับทางที่เต็มไปด้วยความขรุขระ หากให้นางปิดตาแล้วขี่ม้าย่อมไม่อาจทำได้ ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่หวังว่า เสด็จอาเก้าจะมิได้มีความคิดฆ่าปิดปากคนที่หลังหรอกกระมัง
การเดินทางที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจไปตลอดทางเช่นนี้ ในที่สุด เฟิ่งชิงเฉินก็เดินทางมาถึงที่หมายสักที เมื่อมาเห็นทิวทัศน์ของหุบเขาเช่นนี้แล้ว มันกลับทำให้จิตใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันสงบลงอย่างน่าประหลาด
ยามที่มาตอนกลางคืนนั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ รู้แต่เพียงว่าหุบเขาพวกนี้ ทั้งสูงและมีความลึกมากเพียงใด ยามที่ได้มาเห็นกับตาเช่นนี้ ถึงได้รู้ว่ามันงดงามยิ่งนัก
หุบเขาที่ล้ำลึก พร้อมกับทิวเขาที่สูงต่ำตามระดับ เสียงน้ำที่ไหลลงมา รวมไปถึงป่าไม้ที่มีแต่ความเขียวขจี อีกทั้งยังมีภูเขาที่ยืนเด่นเป็นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เฟิ่งชิงเฉินที่ได้แต่ยืนมองทิวทัศน์ด้วยตาของตนเองเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับความงดงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา
เมื่อมาอยู่ต่อหน้าของผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดใด ล้วนแต่ไร้อำนาจไปทั้งหมด ยามที่มาเห็นความยิ่งใหญ่ของหุบเขาที่อยู่ตรงหน้า เฟิ่งชิงเฉินทำได้แต่เพียงตกตะลึงในความงามเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่ตกตะลึงไปเช่นนั้น เสด็จอาเก้าก็พลันยกยิ้มขึ้นมาในทันที เขารู้ว่าหุบเขาลูกนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน ดูได้จากท่าทางของนางที่ตกตะลึงในความงดงามของมันนั้น เสด็จอาเก้าพลันรู้สึกได้ถึงความพอใจที่ตนเองไม่เคยมีมาก่อน
เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าบุรุษจะมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ยังต้องการผู้คนมาคอยเอาใจพวกเขาอยู่ ยังอยากได้ผู้คนที่มามองเขาด้วยสายที่ชื่นชมและเชิดชู แต่ก็ใช่ว่า จะเป็นผู้ใดก็ได้ที่จะมาเชิดชูและชื่นชมพวกเขา
สำหรับเสด็จอาเก้าแล้วนั้น ผู้ที่ให้ความเคารพพระองค์ส่วนใหญ่ เสด็จอาเก้าหาได้ใส่ใจคนพวกนั้นไม่ โดยเฉพาะการเอาใจ? จะมีผู้ใดในใต้หล้านี้ ที่กล้ามาเอาใจเขา อีกทั้งพระองค์เอง ก็หาได้สนใจไม่ว่าผู้ใดจะมาเอาใจเขา อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง หากใช่คนที่จะมาเอาใจเขาไม่ ไม่เพียงแต่จะไม่รู้จักเอาใจเขา ทั้งยังกล้ามาหลอกเขาอีก
ทว่า เขาก็ได้แต่ต้องยอมรับมันเอาไว้ ผู้ใดเป็นคนให้เขามาพบเจอนางกัน!
เวลาและชีวิต!