นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 519 คนที่เดาใจยากมาทำให้ตกใจ
ตี๋ตงหมิงฉุนเฉียวยิ่งนัก เขาไม่สามารถทำให้เฟิ่งชิงเฉินยอมฟังเขาได้เลย เห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ตี๋ตงหมิงก็ยิ่งรู้สึกฉุนเฉียว
เจ้าตัวไม่ทุกข์ร้อน แต่คนข้างตัวทุกข์ร้อนยิ่งกว่าใคร เฮ่อ……เขาไม่อยากใส่ใจเรื่องนี้เลย
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เรื่องชุยห้าวถิงข้าไม่อยากพูดถึงแล้ว เจ้าหาทางจัดการเองก็แล้วกัน เรื่องคนร้ายข้าจะสืบต่อไป แต่เจ้าก็อย่าตั้งความหวังไว้สูงนัก ตระกูลชุยต้องปิดบังเรื่องนี้เป็นอย่างดี แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจสืบทราบได้ ข้าเองก็คงสืบลำบากเหมือนกัน การที่จะหาตัวผู้บงการเบื้องหลังนั้น เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะนะ”
“กับชุยห้าวถิง เจ้าเองก็ต้องคอยระวังตัวไว้ อย่าให้เขามาหลอกเจ้าได้ล่ะ เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นน้ำนิ่งที่ไหลลึก ไหนจะคนที่ชื่อหยุนเซียวอะไรนั่นด้วย เจ้าต้องระวังให้มากๆ ดูก็รู้ว่าไม่น่าไว้ใจ กันไว้ดีกว่าแก้นะ”
“จริงสิ แล้วก็เรื่องเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้ามารักษาตัวกับเจ้าได้เดือนกว่าแล้วนะ ตอนนี้เจ้าก็หายแล้ว เขาเองก็น่าจะหายได้แล้วนะ เขาควรกลับจวนอ๋องเก้าได้แล้ว อยู่ที่นี่มาตั้งนาน มันหมายความว่าอย่างไร”
“ข้ารู้ว่าเขามาพักรักษาตัว แต่คนนอกจะพากันมองว่าเจ้ากับเขาแอบมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เสด็จอาเก้าจอมเจ้าเล่ห์นั่น เจ้าเป็นคนใจดีจึงอยากช่วยดูแลเขา ถ้าเป็นข้านะ ข้าคงเตะเขาออกไปตั้งนานแล้ว”
“วางตัวเลอเลิศตั้งแต่เช้ายันค่ำ เห็นแล้วน่ารำคาญชะมัด สีหน้าก็แน่นิ่งได้ทั้งวัน ดูไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนว่านอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆดูโง่ลงถนัดตา ไหนจะมาดที่เย่อหยิ่งนั่นด้วย ทำราวกับว่าตัวเองสูงส่งกว่าใครในแผ่นดิน……”
ไม่ใช่ว่าตี๋ตงหมิงใจแคบ เขาเพียงแค่ไม่ชอบหน้าเสด็จอาเก้าเพราะเรื่องอำนาจทางทหาร เขาลงทุนลงแรงไปเยอะมาก เห็นเสด็จอาเก้าทีไรจึงขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน แล้วอีกอย่าง เขาคิดมาตลอดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงของหวังจิ่นหลิง ในฐานะที่เขาเป็นสหายรักของหวังจิ่นหลิง ในช่วงที่หวังจิ่นหลิงไม่อยู่ในเมืองหลวง เขาต้องช่วยหวังจิ่นหลิงดูแลเฟิ่งชิงเฉิน
ตี๋ตงหมิงยิ่งพูดยิ่งโมโห พูดไปพูดมา เขาจึงเพิ่งสังเกตว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่โต้ตอบอะไรเลย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเฟิ่งชิงเฉิน หวังชี และเซี่ยซานกำลังมองไปที่ประตูด้วยท่าทางอึดอัดใจ เขาจึงขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองตาม……
เหยอ……
ตี๋ตงหมิงร้องออกมาเสียงหลง มือทั้งสองกำหมัดแน่นพร้อมกับชูขึ้นมา แต่เท้าของเขากลับค่อยๆก้าวถอยหลัง “ทำไม ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ เสด็จ เสด็จ เสด็จอาเก้ามาตั้งแต่ตอนไหน”
ใช่แล้ว เสด็จอาเก้าที่ตี๋ตงหมิงนินทาว่าหน้านิ่ง ตอนนี้เขากำลังยืนหน้านิ่งอยู่ตรงหน้าตี๋ตงหมิง เขากำลังจ้องมองตี๋ตงหมิงด้วยท่าทางที่ยากเกินจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ตี๋ตงหมิงตกใจจนหน้าซีด เขาทั้งขาสั่น สายตาวอกแวก เขาหันไปถามเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาว่าทำไมเสด็จอาเก้าจึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้ หลังจากนั้นก็มองคนทั้งสามด้วยแววตาตำหนิที่ไม่มีใครกล่าวเตือนเขาบ้างเลย สายตาที่มองค้อนคนทั้งสาม เหมือนผู้หญิงมองค้อนไม่มีผิด
เฟิ่งชิงเฉินและอีกสองคนมองตี๋ตงหมิงอย่างเห็นอกเห็นใจ อันที่จริง พวกเขาส่งสัญญาณบอกตี๋ตงหมิงทางสายตาไปแล้ว แต่ตี๋ตงหมิงไม่เพียงแต่ไม่ยอมสบตาของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังพูดพล่ามอย่างออกรสออกชาติ
ตี๋ตงหมิง พวกเราช่วยท่านไม่ได้จริงๆ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองท่านด้วยเถิด!
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร ส่วนเซี่ยซานและหวังชีก็กำลังรู้สึกผิด พวกเขาอยากช่วยแต่ไม่อาจช่วยได้ ก็เพราะคนที่ตี๋ตงหมิงกำลังนินทาด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังนั้นเป็นเสด็จอาเก้า
“นี่……” เห็นตี๋ตงหมิงยืนอึ้งอยู่นาน เสด็จอาเก้าจึงร้องทักขึ้นอย่างอารมรณ์ดี ทำเอาตี๋ตงหมิงตกใจยิ่งนัก เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเขาแล้ว เสด็จอาเก้าก็รู้สึกพอใจแล้วเดินเข้าไปหา
“ตี๋ซื่อจื่อ ข้าไม่ใช่เสด็จ เสด็จ เสด็จอาเก้า อย่าเรียกผิดสิ”
“เอ่อ……พ่ะย่ะค่ะ” ตี๋ตงหมิงตอบกลับอย่างอึกอัก
เสด็จอาเก้ามองตี๋ตงหมิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปรับการคำนับจากเซี่ยซานและหวังชี ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทีสบายๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก……
ตี๋ตงหมิงไม่สบายใจเลย เขาปลอบใจตัวเองว่า บางทีเสด็จอาเก้าอาจจะเพิ่งมาถึง แต่ด้วยความที่รักตัวกลัวตาย ตี๋ตงหมิงจึงอธิบายเบาๆว่า “เสด็จอาเก้า กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยนะพ่ะย่ะค่ะ โปรดอย่าเข้าพระทัยผิด กระหม่อมก็แค่……”
“ข้าได้ยินหมดแล้ว ตี๋ซื่อจื่อไม่ต้องพูดทวนหรอก แม้ข้าจะเป็นคนไม่ดี หน้านิ่ง เคร่งขรึม อ่านใจยาก เย่อหยิ่ง แต่ไม่ได้หูหนวกนะ” หากผู้ยิ่งใหญ่จะล้างแค้น ต่อให้ต้องรอเป็นสิบๆปีก็ไม่ถือว่าสายไป ส่วนเสด็จอาเก้าเมื่อมีแค้นก็ล้างแค้นทันทีเลย
โอ๊ย……ตี๋ตงหมิงอยากฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมเสด็จอาเก้าถึงจำสิ่งที่ตนเองด่าเขาได้ชัดเจนอย่างนี้ล่ะ ฮือๆๆ……เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย พูดไปเพราะความคะนองปาก ใครจะไปรู้ล่ะว่าเสด็จอาเก้าจะโผล่มาตอนนี้
มาถึงขั้นนี้แล้ว ตี๋ตงหมิงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรอีก “นี่กะจะไม่ให้กระหม่อมพูดความจริงเลยงั้นหรือ”
“ข้าไปห้ามท่านไม่ให้พูดความจริงตั้งแต่เมื่อไรล่ะ ข้ากล่าวโทษท่านแล้วหรือ?”
เอ่อ……ยังเลยนี่นา เขาพูดเองเออเองทั้งนั้น เขาถูกจี้จุดเข้าจนได้
“เสด็จอาเก้าไม่ทรงกล่าวโทษกระหม่อมก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย หาได้ถือเป็นจริงเป็นจังไม่” ตี๋ตงหมิงแสยะยิ้มทั้งๆที่ในใจไม่ยินดีแม้แต่น้อย
เสด็จอาเก้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องนี้ต้องไม่ปล่อยไปแน่ ไม่รู้ว่าต้องลงทุนลงแรงสักเท่าใดจึงจะเอาชนะเสด็จอาเก้าได้ เฮ่อ……หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ตระกูลตี๋คงไม่มีโอกาสได้อ้าปากพูดในกองพลทหารเสินจีเป็นแน่
“แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย? เรื่องสถานที่ที่ข้าอาศัยอยู่ ตี๋ซื่อจื่อต้องใส่ใจด้วยหรือ นั่นเรียกว่าพูดไปเรื่อยเปื่อยใช่หรือไม่? ตี๋ซื่อจื่อ ท่านมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของข้า?” ตี๋ตงหมิงซวยแล้วล่ะ คำพูดก่อนหน้านี้เสด็จอาเก้าไม่ทันมาได้ยิน ดันมาได้ยินคำพูดช่วงท้ายๆ
สวรรค์กลั่นแกล้งข้า!
ตี๋ตงหมิงกลอกตาครุ่นคิด เขาคิดที่จะแกล้งเป็นลมเพื่อหลีกหนีสถานการณ์ตรงหน้า แต่กลับถูกเสด็จอาเก้ารู้ทัน “ตี๋ซื่อจื่อ หากท่านคิดจะแกล้งเป็นลม ก็เลือกที่ล้มให้ดีๆหน่อยล่ะ หากล้มไปโดนเก้าอี้จนเก้าอี้เสียหาย ท่านต้องชดใช้นะ”
โอ๊ย……แผนแกล้งเป็นลมล้มเหลว ตี๋ตงหมิงรู้สึกอึดอัดใจ แล้วสุดท้ายก็ยังยืนตัวตรงอยู่เช่นเดิม เขาส่งสายตาให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ด้วยหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะช่วยเขา ในตอนนี้มีเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้
แต่คลื่นสมองของตี๋ตงหมิงและเฟิ่งชิงเฉินเข้าหากันไม่ติด ไม่สามารถติดต่อสื่อสารผ่านคลื่นสมองได้ ยิ่งส่งกระแสจิตยิ่งไม่ต้องพูดถึง เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้านิ่ง มองไม่เห็นสายตาตี๋ตงหมิงแต่อย่างใด
สวรรค์มักช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองก่อนเสมอ ตี๋ตงหมิงเรียกพลังให้ตัวเอง ก็แค่เสด็จอาเก้าเท่านั้นเอง เขาไม่กลัวเสียหน่อย อีกอย่าง สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุมีผล เสด็จอาเก้าไม่ควรอาศัยใกล้ชิดเฟิ่งชิงเฉิน
ตราบใดที่เรามีเหตุผลย่อมเอาชนะทุกอย่างได้เสมอ ตี๋ตงหมิงจินตนาการคนเดียวว่า เขาเถียงเสด็จอาเก้าชนะ และสามารถทำให้เสด็จอาเก้ามาขอโทษเขาได้ แถมเสด็จอาเก้ายังกลับไปพร้อมกับความอับอาย
ฮ่าๆๆ……
ตี๋ตงหมิงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ท่าทางเขามาดมั่น แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา สายตาเขาที่ประสานกับสายตาของเสด็จอาเก้า ทำให้ตี๋ตงหมิงถึงกับพูดไม่ออก
การถอยหนีย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ตี๋ตงหมิงไม่พูดอะไรอีก แต่กลับตัดสินใจที่จะหนี “เอ่อ……กระหม่อมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่านปู่ของกระหม่อมให้กระหม่อมไปซื้อของกินที่หอหมิงอี้ เอ่อ……เฟิ่งชิงเฉิน เดี๋ยววันหน้าข้าจะมาหาเจ้าใหม่นะ เสด็จอาเก้า กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ตึง……วิ่งไปไม่ทันไรก็ถูกธรณีประตูขัดขาเสียแล้ว ตี๋ตงหมิงหกล้มหน้าคะมำ แต่กระนั้นก็มิวายตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเพื่อที่จะวิ่งต่อ “เป็นอุบัติเหตุน่ะ ข้าต้องรีบไปซื้อของกินก่อนนะ……”
น่าขายหน้าชะมัดเลย!
ตี๋ตงหมิง ท่านจะอดทนต่ออีกนิดไม่ได้หรือ? แค่อดทนอีกนิดเดียวเท่านั้น เดี๋ยวเสด็จอาเก้าก็จะถูกไล่ออกไปแล้ว……
หากไม่ติดที่ตี๋ตงหมิงวิ่งเร็ว เฟิ่งชิงเฉินก็อยากตามเขากลับมาเหลือเกิน