นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 573 ปวดใจ จอมยุทธ์ก็ต้องใช้เงิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 573 ปวดใจ จอมยุทธ์ก็ต้องใช้เงิน

ม้าขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย ไฟฉายส่องไปมาวูบวาบน่าแสบตา หลานจิ่วชิงจึงอดเอามือมาป้องแสงไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินมองไปเห็นดวงหมองหม่นของเขา ได้ยินเพียงเขาเอ่ยว่า “เฟิ่งชิงเฉิน หากมีวันนั้นจริง เจ้ารักษาตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”

ด้วยความสามารถของเขา หากพบอันตรายใดก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หากเป็นเรื่องที่แม้แต่เขาก็ยังจัดการไม่ได้แล้วเฟิ่งชิงเฉินจะจัดการได้อย่างไร

เขาไม่อยากให้เฟิ่งชิงเฉินเสียสละอย่างไร้ค่า ไม่คุ้มเอาเสียเลย!

“ข้าทำไม่ได้ หากเจ้าพบกับอันตรายจริงและข้ารู้แต่กลับไม่ไปช่วยเจ้า ข้าจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่และหากเจ้าเป็นอะไรไปเพราะเหตุนี้ ข้าคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอด หลานจิ่วชิง ข้าเห็นแก่ตัว ดังนั้นข้าจึงไม่อนุญาตให้ตนเองต้องเสียใจเสียดายภายหลัง” หากหลานจิ่วชิงได้รับอันตราย นางก็ยอมที่จะไปตายเพื่อช่วยเขา แต่ก็ไม่ยอมเสียใจภายหลัง เสียใจที่ไม่ได้ลงมือช่วยเขา ทำให้หลานจิ่วชิงเกิดเรื่องขึ้นเพราะเหตุนี้หรืออะไรทำนองนี้…

นางไม่อยากให้มีวันหนึ่งที่นางจะพูดกับตนเองว่า “ถ้าเกิดตอนนั้นทำอย่างนี้อย่างนั้น…” หรือคำพูดจำพวกนี้

เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หลานจิ่วชิงก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาไม่อาจเกลี้ยกล่อมนางได้ เช่นเดียวกับที่นางไม่อาจเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเขาได้ หลานจิ่วชิงปล่อยมือลงปล่อยให้แสงนั้นสาดส่องมาที่ตัวของเขา…

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะไปจริงๆ หรือ? ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจหรือ?”

“ใช่”

“แม้ว่าข้าจะใช้ดาบแทงม้าของเจ้า เจ้าก็ยังจะไปหรือ?” หลานจิ่วชิงพาดดาบลงที่คอของม้า ม้าตกใจขยับตัวทำให้ที่คอถูกกรีดเบาๆ เลือดซึมออกมาทำให้ม้ายิ่งตื่นตระหนก

“หลานจิ่วชิง เก็บกระบี่ของเจ้าไป “เฟิ่งชิงเฉินรีบปลอบม้าที่กำลังตื่นตระหนก

หลานจิ่วชิงเก็บกระบี่ไปอย่างเงียบๆ เขามีร้อยพันวิธีที่จะขัดขวางนาง แต่เขาทำไม่ได้…

หากเขาขัดขวางไม่ให้นางไปหาหวังจิ่นหลิงและบังเอิญหวังจิ่นหลิงตายไป เช่นนั้นแล้วเฟิ่งชิงเฉินจะเกลียดเขาไปชั่วชีวิตและนางจะโทษตัวเองไปตลอดกาล

ม้าสงบลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงโล่งอก นางตรวจดูบาดแผลของม้าและหยิบยาขวดเล็กออกมาจากด้านหลัง เทลงบนแผล เมื่อแน่ใจแล้วว่าม้าไม่มีปัญหาจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลานจิ่วชิง “หลานจิ่วชิง พวกเราเป็นสหายกัน ข้าไม่ใช่สิ่งของของเจ้า อย่ามาตัดสินแทนข้า หลบไป ข้าต้องรีบไป”

เฟิ่งชิงเฉินกลัวว่าเขาจะฆ่าม้าของนางจริงๆ ในเวลาอันสั้นเช่นนี้นางไม่รู้จะไปหาม้าที่เทียบเท่าม้าดำชางซานมาจากไหน

หลานจิ่วชิงยิ้มหยัน

ใช่แล้ว เขาไม่ได้เป็นอะไรกับนาง เขาจะมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินใจแทนนางว่าจะไปช่วยหวังจิ่นหลิงหรือไม่ ในใจของนางแล้วหวังจิ่นหลิงสำคัญกว่าหลานจิ่วชิงนัก

หลานจิ่วชิงถอยหลังไปหลายก้าวเป็นการเปิดทาง “ขอโทษด้วย ข้าล้ำเส้นเกินไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร ข้าซาบซึ้งมากที่เจ้าเป็นห่วง เพียงแต่พวกเราเป็นสหายกันและเป็นได้เพียงสหายกันเท่านั้น ระหว่างเพื่อนควรเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่บังคับให้อีกฝ่ายทำตามสิ่งที่ตนต้องการ” เมื่อเห็นแววเจ็บปวดของหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สบายใจนัก นางรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีต่อนาง แต่หัวใจของนางอยู่กับเสด็จอาเก้า ดังนั้นเขาจึงต้องเสียน้ำใจแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรให้ความหวังหลานจิ่วชิงมาก ให้เขาคิดว่ามีความหวังแล้วก็ต้องผิดหวัง เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นเพิกเฉยต่อความเหงาหงอยโดดเดี่ยวจากหลานจิ่วชิงและเบนสายตาออกไปอย่างเย็นชา “หลานจิ่วชิง ข้าต้องไปแล้ว”

“ย่าห์!” เฟิ่งชิงเฉินยกแส้ขึ้น หนีบท้องม้าแน่น สะบัดแส้และจากไป ทิ้งหลานจิ่วชิงไว้อีกด้าน

เพื่อช่วยหวังจิ่นหลิงแล้ว นางแม้กระทั่งทอดทิ้งเสด็จอาเก้าได้ แล้วนางจะถูกหลานจิ่วชิงขัดขวางได้อย่างไร…

ไปแล้ว นางจากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ แม้ว่าเขาจะยอมละทิ้งศักดิ์ศรีขอร้องอ้อนวอนให้นางอยู่ก็ไร้ประโยชน์

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินจากไป เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกพรากจากไปด้วย เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงหวังจิ่นหลิงอย่างไร เขาก็เป็นห่วงนางอย่างนั้น แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจความเป็นห่วงของเขา

หัวใจของเขาเจ็บปวด แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลานจิ่วชิงก็ยังนำข่าวคราวที่เขาได้มาบอกแก่เฟิ่งชิงเฉิน “เฟิ่งชิงเฉิน คนที่เจ้าต้องการตามหาอยู่ที่หุบเขาไท่ลู่เก๋อ”

เขาหวังว่านางจะกลับมาได้เร็วขึ้นอีกนิด เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเข้าใจว่าเขาที่ถูกทิ้งอยู่ในเมืองหลวงจะเป็นห่วงเพียงใด จะร้อนใจเพียงใด

ฝุ่นคลุ้งกระจาย หลานจิ่วชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองตามเงาร่างของเฟิ่งชิงเฉินไป ให้นางกักขังเขาอยู่ในกรงรักโดยไม่ยอมจากไปอยู่นาน…

“ขอบใจมาก…” สายลมพัดพาคำขอบคุณของเฟิ่งชิงเฉินดังแว่วมา หลานจิ่วชิงกลับรู้สึกเหมือนถูกเสียดสีอย่างแรง

ผู้หญิงของเขาจากเขาไปต่อหน้าต่อตาเพื่อไปช่วยชายอื่น ส่วนเขาทำได้เพียงแค่มองตาม แม้กระทั่งห้ามก็ทำไม่ได้

ไม่รู้ว่าเมื่อใดเขาจึงจะพบนางได้อย่างเปิดเผยเสียที เมื่อใดเขาจึงจะคว้าตัวนางเข้าสู่อ้อมแขนได้โดยไม่ต้องคิดมากและพูดกับนางว่า “ข้าไม่ชอบให้เจ้าดีต่อหวังจิ่นหลิงเกินไป”

เขาพอแล้วกับความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้ และยิ่งพอแล้วกับการที่เฟิ่งชิงเฉินจะปฏิบัติต่อเขาอย่างแตกต่าง

ยามเมื่อแสงแรกสาดส่องลงบนพื้น หลานจิ่วชิงก็ขยับตัวในที่สุด เขาทะยานมุ่งหน้าไปสู่เมืองหลวง

เฟิ่งชิงเฉินจากไปแล้ว เขาจะต้องจัดการเรื่องในเมืองหลวงแทนนาง แม้ว่าเขาจะไม่พอใจนัก แต่เขาไม่ต้องการให้นางต้องรับโทษจากการออกไปจากเมืองหลวง

หญิงสาวเดินทางตามลำพังง่ายนักที่จะเป็นอันตราย แม้นางจะไม่ก่อเรื่อง แต่เรื่องยุ่งวุ่นวายก็มักจะเข้ามาหานาง อีกทั้งนางไม่ได้เดินทางอยู่บนถนนหลวงตลอด แต่ถนนสายใดสั้น นางก็จะไปทางนั้น เช่นนี้ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้นางเจอกับอันตราย

ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดที่จะสวมชุดบุรุษออกจากบ้าน แต่ด้วยหน้าตาท่าทางของนางแล้ว การสวมชุดผู้ชายยิ่งจะทำให้ดูแปลกประหลาดและยิ่งเป็นจุดสนใจ

เนื่องจากการรีบเร่งเดินทางติดต่อกันเจ็ดวัน ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินจึงโทรมลงอย่างปิดไม่มิด นางเนื้อตัวมอมแมม ทำให้ความงดงามลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจรอดพ้นไปจากผู้มีจิตคิดร้าย

เมื่อนางรู้สึกว่ามีคนตามนางมาประมาณหนึ่งชั่วยามแล้วและยังสามารถตามทันม้าดำชางซานของนาง จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา เฟิ่งชิงเฉินเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนของตระกูลหวัง เพื่อป้องกันไว้ก่อนเฟิ่งชิงเฉินจึงเดินทางอ้อมไปอ้อมมา ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง นางจงใจเลือกไปทางตรงกันข้ามกับที่นางต้องไป อาศัยหนทางในป่าพรางตัวไปกับต้นไม้น้อยใหญ่

“พี่ใหญ่ คนล่ะ? แม่นางผู้นั้นหายไปไหนเสียแล้ว?”

กลุ่มคนสิบสองคนอยู่ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาแต่งกายเหมือนเหล่าจอมยุทธ์ในยุทธภพ เต็มไปด้วยรัศมี

“เสียงฝีเท้ามาถึงตรงนี้แล้วก็หายไป คงจะกำลังซ่อนตัวอยู่ ลงจากม้า ค้นหาให้ทั่ว หาคนไม่เจอไม่เป็นไร แต่ต้องหาม้านั่นให้เจอ ม้าของแม่นางผู้นั้นเป็นของดี หากเอาไปขายอย่างน้อยก็คงได้ถึงหมื่นตำลึงเงิน หากมีเงินก่อนนี้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายในยุทธภพแล้ว”

อะไรนะ?

คนกลุ่มนี้ไม่ได้มาจากตระกูลหวังและไม่ได้หลงในรูปโฉมของนาง แต่เป็นเพราะอยากได้ม้าของนาง

ให้ตายเถอะ! เฟิ่งชิงเฉินเศร้าสร้อย ที่แท้ในสายตาของพวกเขาไม่มีนางเลย นางสู้ไม่ได้แม้แต่ม้าตัวหนึ่ง ช่างน่าเจ็บปวดยิ่งนัก…

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือที่แท้คนในยุทธภพก็ยังโลภ เป็นไปตามคาด… เหล่าจอมยุทธ์ก็เป็นคนเช่นกัน พวกเขายังต้องใช้เงินกินข้าวซื้อของ โทรทัศน์จะทำเกินจริงไปแล้ว…

เอาเถอะ นางจะผดุงธรรมแทนสวรรค์ ใช้พลังแห่งจันทรากำจัดจอมยุทธ์เหล่านี้เอง พวกเขาที่อาศัยการเป็นจอมยุทธ์แต่กลับมาสุมหัวปล้นสะดม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท