นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 576 หยั่งเชิง ไม่ถูกจิ่วโจวยอมรับ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 576 หยั่งเชิง ไม่ถูกจิ่วโจวยอมรับ

เหยี่ยวล่าสัตว์เป็นราชันแห่งท้องฟ้า เป็นพลลาดตระเวนที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ความช่วยเหลือในยามที่กำลังลำบากงั้นหรือ?

จะบังเอิญเกินไปหรือไม่?

เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยไปที่หุบเขาไท่ลู่เก๋อมาก่อน แต่นางก็พอจะเดาสถานการณ์ที่นั่นได้ ดินแดนทางเหนือที่ไม่ค่อยมีค่อยย่างกรายเข้าไปย่อมต้องเป็นสถานที่รกร้างไร้ถนนหนทางเป็นแน่

หุบเขานั้นใหญ่เพียงใด เกรงว่าผู้ที่อยู่ใกล้ที่นั่นมาหลายชั่วอายุคนก็ยังไม่รู้ จะตามหาคนในหุบเขาต้องอาศัยโชค หากโชคดีก็คงหาพบ หากโชคไม่ดีไม่แน่ว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนก็คงหาไม่พบ

หลานจิ่วชิงนั้น เฟิ่งชิงเฉินเชื่อใจเขา เขาบอกว่าหวังจิ่นหลิงอยู่ที่หุบเขาไท่ลู่เก๋อ เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะอยู่ที่นั่น หากมีเหยี่ยวล่าสัตว์มาช่วยค้นหาย่อมเป็นผลดีมหาศาล

เอาเถอะ เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่านางหวั่นไหวแล้ว แม้จะรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งการปรากฏตัวก็แปลกประหลาด แต่เพื่อตามหาหวังจิ่นหลิงให้เร็วที่สุด นางก็จะลองเสี่ยงดู…

เมื่อเห็นเงาร่างของเขาเดินจากไปอย่างห้าวหาญ เฟิ่งชิงเฉินก็กัดฟันพูดว่า “ก็ได้ ข้าตกลง เจ้าไปกับข้า แต่เจ้าต้องเชื่อฟังข้าไปตลอดทาง”

เฟิ่งชิงเฉินเพียงแต่หวังว่านางจะโชคดีหน่อย ลองเสี่ยงดูว่าชายผู้นี้จะไม่ใช่ผู้ที่จะมาสังหารหวังจิ่นหลิง ส่วนเรื่องอื่นนั้นเจอหวังจิ่นหลิงแล้วค่อยว่ากัน เพียงแค่หวังจิ่นหลิงไม่เป็นไร นางไม่สนใจแม้จะต้องทุ่มเททุกอย่าง

ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเดาได้แต่แรก เขาชะงักฝีเท้าและหมุนตัวกลับมาอย่างสง่างามพลางแตะเหยี่ยวเบาๆ เป็นสัญญาณให้มันบินไป เขาจูงม้าเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางพูดเร็วหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว จะต้องให้ข้าจากไปก่อนทำไมกัน ช่างไม่มีเหตุผลเลย”

ฟังจากเสียงแล้วดูเหมือนจะกล่าวโทษที่นางไม่เด็ดขาดพอ เห็นชัดๆ ว่าได้ประโยชน์แล้วยังทำเป็นลำบากใจ เฟิ่งชิงเฉินอึดอัดมาก นางมีความรู้สึกถูกสับเปลี่ยนบทบาท

ต้องรู้ว่าตลอดมาคนที่ทำเช่นนี้คือนาง แต่วันนี้นางกลับถูกชายต่างเผ่าผู้หนึ่งบีบคั้นจนพูดอะไรไม่ออก

เอาเถอะ นางจะอดทน ใครใช้ให้นางต้องการช่วยคนจนร้อนใจขนาดนี้เล่า

ชายในอาภรณ์สีน้ำเงินก็รู้ความ เมื่อเห็นว่าได้ผลแล้วเขาก็หยุดมือ เขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าและยื่นมือมาหาเฟิ่งชิงเฉิน “ไปเถอะ เจ้าไม่ได้จะรีบไม่ช่วยคนหรือ”

การกระทำเปิดเผย ตรงไปตรงมาราวกับไม่มีความแปลกแยกระหว่างชายหญิง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เป็นคนใจแคบ หลังจากอึ้งงันไปเล็กน้อยก็ยื่นมือไปหาอีกฝ่าย

หลังจากขึ้นม้ามาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินพยายามเว้นระยะห่างระหว่างนางกับเขาให้ไกลที่สุด ชายในอาภรณ์ชุดสีน้ำเงินก็ให้ความร่วมมืออย่างดี เขาไม่ได้ทำอะไรเช่นโอบรอบเอวนาง ทั้งสองคนขี่ม้าตัวเดียวกันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

ชายในอาภรณ์สีน้ำเงินรู้ขอบเขตดี เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปทางไหน เขาก็ไปทางนั้น ทั้งสองพยายามเป็นมิตรต่ออีกฝ่าย เมื่ออยู่ด้วยกันอย่างสงบและพอรู้จักอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงถามนางว่านางต้องการไปที่ใด

ในเมื่อยอมให้อีกฝ่ายตามนางมาด้วยกันแล้ว จะปิดบังไปในตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย เฟิ่งชิงเฉินไม่มีท่าทางปิดบังและกล่าวจุดประสงค์ของนางออกมาโดยตรง

“ข้าต้องการไปช่วยคนที่หุบเขาไท่ลู่เก๋อ”

ชายในอาภรณ์สีน้ำเงินอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมา “บอกข้ามาโดยตรงว่าเจ้าจะทำอะไรเช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนไม่ดีหรือ สองวันมานี้เจ้าเอาแต่ปิดกั้นข้า”

ในสองวันมานี้ พวกเราทั้งปิดกั้นจากอีกฝ่ายทั้งลองเชื่อใจอีกฝ่ายดู

กลัว แน่นอนว่าย่อมกลัว นางกลัวมาก แต่จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา หรือหากแม้ระแวงก็อย่าได้แสดงออกมา มิฉะนั้นจะต้องทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายแน่

เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปยังเหยี่ยวที่อยู่บนไหล่ของชายชุดสีน้ำเงินและมองเขาด้วยสายตาไว้วางใจ “ข้าเชื่อว่าคนที่สามารถทำให้เหยี่ยวยอมจำนนได้จะไม่มีทางคิดร้ายอะไร”

หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทรยศต่อความไว้วางใจ หลายครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่านางเป็นนักพนันที่บ้าไปแล้ว หลังจากวางเดิมพันแล้วก็จะไม่มียอมแพ้จนกว่าจะถึงที่สุด

“เช่นนี้ก็ได้หรือ? บุรุษที่โตแล้วในตระกูลของเราต่างก็มีเหยี่ยวเป็นของตนเอง” ชายในชุดสีน้ำเงินเป่านกหวีดและยกมือขึ้น เหยี่ยวก็บินมาเกาะมือของเขาอย่างเชื่อฟังพลางจ้องมองตรงมายังเฟิ่งชิงเฉินอย่างดุร้ายราวกับจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ แต่โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินไม่กลัว

“เช่นนั้นก็แสดงว่าผู้ชายในตระกูลของเจ้าล้วนจิตใจดี” ทุกคนชอบฟังคำชม ชายชุดน้ำเงินก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังกล่าวเสริมคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินอย่างไร้ความเกรงใจไปอีกว่า “เทียบกับคนจิ่วโจวอย่างพวกเจ้าแล้ว ตระกูลของข้านับว่าจิตใจดีงามกว่ามาก”

“เจ้าเอาแต่พูดว่า “ชาวจิ่วโจวอย่างเจ้า” เจ้าเป็นคนที่ไหน?” ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังสืบประวัติ แต่นางอยากรู้จริงๆ

“ในเมื่อเจ้าเชื่อในตัวข้า ข้าก็เชื่อใจเจ้าเช่นกัน ข้ามาจากต่างเผ่า เจ้าเรียกข้าว่าฝู่หลินก็ได้” นอกจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“ต่างเผ่า? มีชนเผ่าในจิ่วโจวไม่น้อย เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นชาวจิ่วโจวเช่นกัน” เฟิ่งชิงเฉินระลึกถึงประวัติศาสตร์จิ่วโจวที่นางรู้

จิ่วโจวมีชนเผ่าไม่น้อย พวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ หลายเผ่าอาศัยอยู่ในภูเขาหรือในที่ที่มีสภาพอากาศเลวร้ายและไม่ค่อยติดต่อกับคนภายนอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นชาวจิ่วโจวเพียงแต่ไม่ได้ถูกทางการควบคุมมากนักเท่านั้น

“ข้าและชนเผ่าเหล่านั้นไม่เหมือนกัน พวกเราถูกแบ่งออกจากจิ่วโจวมานานแล้ว สถานที่ที่เราอาศัยอยู่ก็ไม่ได้เป็นของจิ่วโจว” ฝู่หลินไม่ชอบให้ใครพูดว่าเขาเป็นชาวจิ่วโจว

ในตอนแรกจักรพรรดิแห่งจิ่วโจวได้ทอดทิ้งพวกเขา ตอนนี้พวกเขาจึงไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นชาวจิ่วโจว

แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่โต้เถียงกับฝู่หลินด้วยเรื่องเล็กน้อยดังกล่าวและยอมรับคำพูดของฝู่หลิน อย่างไรนางก็ไม่ใช่จักรพรรดิแห่งจิ่วโจว นางจะไปสนใจทำไมว่าตระกูลของเขามีใครเป็นผู้ดูแล

อีกอย่างจิ่วโจวถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน พื้นที่หลายแห่งเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาท ไม่นานก็จะมีการสู้รบเพื่อแย่งชิงดินแดน เรื่องเช่นนี้เมื่อมีมากก็ชินไปเอง

ฝู่หลินบอกว่าเขาไม่ใช่ชาวจิ่วโจว ต่อมาเฟิ่งชิงเฉินจึงคุยกับเขาเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีของจิ่วโจว

แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง ส่วนใหญ่นางอ่านจากหนังสือและจากที่หวังจิ่นหลิงเล่าให้นางฟังบ้างในบางเรื่อง

หวังจิ่นหลิงท่องเที่ยวเรียนรู้ในตอนแรก แม้ไม่อาจพูดได้ว่าเขาไปมาทั่วทั้งจิ่วโจวแล้ว แต่สถานที่ส่วนใหญ่ เรื่องต่างๆ ที่เขาเล่ามาย่อมไม่เท็จแน่

รีบเร่งเดินทางทั้งคืน เสียงของเฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างแหบ ทำให้ความอ่อนหวานของสตรียิ่งน้อยลง แต่ก็ไม่ได้เสียงใหญ่เหมือนเสียงผู้ชาย ทำให้คนฟังอยากฟังอีก อย่างน้อยฝู่หลินก็สนใจมาก

เมื่อฝู่หลินสนใจฟัง เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งอยากพูด นี่เป็นการหยั่งเชิงแบบหนึ่ง นับว่าสามารถทำให้สนิทกันยิ่งขึ้น นางพูดอยู่นาน เฟิ่งชิงเฉินก็พบว่าหากไม่ใช่เขากำลังแสดงละครก็เป็นอย่างที่เขาพูดก็คือเขาไม่ค่อยรู้เรื่องของจิ่วโจวนักและอาศัยอยู่นอกเขตของจิ่วโจว

เมื่ออยู่ด้วยกันมาสามวัน ทั้งสองก็นับว่ารู้จักอีกฝ่ายแล้ว เฟิ่งชิงเฉินวางใจขึ้นเล็กน้อย ดูท่าทางของฝู่หลินแล้วคงไม่น่าจะเป็นมือสังหาร อีกทั้งนางยังต้องใช้เหยี่ยวของเขาด้วย ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดว่าเมื่อถึงที่หมายแล้วจะหาโอกาสฆ่าอีกฝ่าย

เมื่อพูดถึงเหยี่ยว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่านางช่างล้มเหลวในฐานะมนุษย์ นางเกือบถูกโจมตีจนยืนไม่ขึ้น

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา นางพยายามที่จะเอาใจเหยี่ยวที่หยิ่งผยอง พยายามทำให้มันมองนางแตกต่างไปจากเดิมหรือแสดงความเป็นมิตรต่อนางเล็กน้อยและอย่ามองนางราวกับอยากจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ ไปเสียทุกครั้ง

แต่เหยี่ยวตัวนี้กลับหยิ่งยิ่งนัก ไม่ว่านางจะเอาใจมันสักเพียงใด ไม่ให้โอกาสนางก็ไม่ให้โอกาสนาง พอทำให้มันใจร้อนเข้า มันก็จิกหน้านางโดยไม่ส่งเสียงร้องเตือนใดๆ

หากไม่ใช่เพราะฝู่หลินขวางเอาไว้ทัน ไม่แน่ว่านางอาจกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่โดนเหยี่ยวข่วนและจิกผมของนางจนหมด

ณ จุดนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะผูกมิตรกับเหยี่ยว ราชาแห่งท้องฟ้าไม่ง่ายเลยที่จะถูกทำให้เชื่อง อีกทั้งนางยังไม่ใช่ผู้ที่ใครเห็นใครก็รักเสียด้วย…

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท