ผู้ที่หลบซ่อนรอชมเรื่องสนุกภายในโรงน้ำชา หาได้มีเพียงหนานหลิงจิ่นฝานและซูโหยวไม่ ผู้ที่มีชื่อเสียงภายในเมืองหลวงส่วนใหญ่ ล้วนแต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการกลับมาของเสด็จอาเก้ากันทั้งนั้น
ในเมืองหลวงนั้น เสด็จอาเก้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถพลิกแผ่นฟ้าได้ด้วยเพียงมือเดียวเท่านั้น การมีอยู่ของเสด็จอาเก้านั้น ทำให้ผู้คนภายในเมืองหลวงล้วนแต่รู้สึกไม่เป็นอิสระ ไม่ว่าผู้ใด พวกเขาล้วนแต่ภาวนาให้เสด็จอาเก้าต้องไปตายอยู่ที่นอกเมืองหรือว่าใช้เวลาปราบโจรนานกว่าครึ่งปี เพียงเท่านี้พวกเขาก็สามารถจัดวางหมากในกระดานของตนได้ใหม่แล้ว น่าเสียดายนักที่มันหาได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไส้ไม่
โดยเฉพาะเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินจะกลับมาหรือไม่นั้น หาใช่เรื่องสำคัญ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินตายลงไป พวกเขาก็เพียงทำได้แค่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากเฟิ่งชิงเฉินรอดกลับมา พวกเขาก็แค่มีที่ระบายอารมณ์เพิ่มเท่านั้น
แม้ว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้นนัก ยามที่เสด็จอาเก้าเดินทางออกนอกเมืองนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไปเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะคอยสอดส่องความเป็นไปภายในเมืองหลวงจากที่ไกล ๆ ถึงกระนั้น ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้อยู่ดี
ตงหลิงจื่อลั่วและซีหลิงเทียนเหล่ยกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมทั้งเหยาหวาและซีหลิงเทียนอวี่ที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากนั้น ก็ยังมีเย่เย่ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ โดยพักอาศัยอยู่ที่จวนของตงหลิงจื่อลั่ว ยามที่ทั้งสามคนกลับมารวมตัวกันเช่นนี้ นั่นย่อมเป็นเพราะว่าพวกเขากำลังมีแผนการที่ต้องร่วมมือกัน
ทั้งตงหลิงจื่อลั่วและซีหลิงเทียนเหล่ยต่างก็รู้กันดี ว่าต่างฝ่ายต่างก็มีความต้องการกันเช่นไร แม้ในอนาคตข้างหน้าพวกเขาจะต้องกลายเป็นศัตรูกัน แต่ทว่า ในยามนี้พวกเขาก็นับว่าเป็นพันธมิตรกัน พวกเขายังคงสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งของตนพร้อมทั้งอำนาจมากมายได้ เพียงแค่รั้งรอการก้าวเดินในก้าวต่อไปของตนเองเท่านั้น
ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันหันกลับมา พร้อมทั้งครุ่นคิดกล่าวออกมาว่า “เสด็จอาเก้าผู้นี้กำลังร้องเพลง ไม่รักยุทธจักรแต่หลงรักหญิงงามงั้นหรือ?”
ภายในแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำถึงเจ็ดส่วน พลันถูกนิ้วของซีหลิงเทียนเหล่ยกวนวนไปมา ทว่า หาได้มีน้ำกระเด็นหกออกมาด้านนอกไม่
“เสด็จอาของเปิ่นหวาง แต่เดิมหาใช่คนเช่นนี้ไม่” หากกล่าวว่าพระองค์เอาองค์รัชทยาทมาเป็นโล่กำบังนั้น เฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ในอาภรณ์สีชาดย่อมเป็นโล่กำบังที่เหมาะกว่ามากนัก แต่ทว่า ผู้ที่อยู่ข้างกายของนางคือเสด็จอาเก้า ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ ทำสิ่งใดต่อหน้าของเสด็จอาเก้าอยู่แล้ว
คิดจริง ๆ หรือว่าข้างกายของเสด็จอาเก้าจะมีเพียงองครักษ์ในที่แจ้งเท่านั้น สิ่งที่เสด็จอาเก้าจำเป็นต้องพึ่งพาจริง ๆ ย่อมต้องเป็นองครักษ์เงาอยู่แล้ว หากมิมีองครักษ์เงา เสด็จอาเก้าคงตายไปได้นับร้อยครั้งแล้วกระมัง
ตั้งแต่ที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินลงมาจากรถม้าด้วยกันนั้น ระยะทางจากรถม้าจนมาถึงเกี้ยว พวกเขาก็เห็นผู้คนมากมายที่โดนลากออกไปอย่างไร้เสียงเช่นกัน
กำลังพลที่อยู่ภายใต้เสด็จอาเก้า นับว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก ตงหลิงจื่อลั่วยังเคยนึกสงสัยเช่นกัน เสด็จอาเก้าที่อายุอานามไม่มากนัก แต่เหตุใดถึงอบรมเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
เสด็จอาเก้าที่มีอายุมากกว่าเขาเพียงแค่สองปี อีกทั้งยังไม่มีตระกูลของมารดาคอยเกื้อหนุนเช่นนี้ หากว่ากันตามจริงแล้ว อำนาจที่อยู่ในมือของเสด็จอาเก้าย่อมมีไม่มากนัก หากเอาตั้งแต่ที่เขาจำความได้ แม้นว่าจะมีการซื้อขายเพื่อฝึกอบรมกองกำลังของตนเอง ก็ย่อมไม่สามารถฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมและใช้เวลาแสนสั้นได้เช่นนี้
“ภายใต้สีหน้าที่เยือกเย็น กลับลงมือด้วยความเฉียบขาดยิ่งนัก เสด็จอาของเจ้าผู้นี้หาใช่คนธรรมดาไม่ เส้นทางที่ชุกชุมไปด้วยหนูโสโครกมากมายเช่นนี้ หาได้มีตัวใดกล้ากระโดดออกมาสักตัวไม่ เมื่อเทียบกับข่าวคราวที่คุณชายตระกูลหวังกลับมาก่อนหน้านั้น เรื่องนี้นับว่าดูมีชีวิตชีวากว่ามากนัก” เรื่องนี้นับว่าซีหลิงเทียนเหล่ยไม่อาจหาทางโต้ตอบได้เลยแม้แต่น้อย เสด็จอาเก้าลงมือทำสิ่งใดล้วนไร้ที่ติ ทั้งยังเต็มไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“น่าเสียดายยิ่งนัก ที่ระเบิดเทียนเหล่ยมิอาจใช้การได้ มิเช่นนั้นคงมีเรื่องสนุกมากมายให้ได้ชม” ตงหลิงจื่อลั่วพลันยิ้มเย้ยหยันออกมา
เขายอมรับว่าที่นี่ก็มีคนของเขามากมายเช่นกัน ทั้งในผู้บัญชาการทหารราบเก้าประตูก็มีคนของเขาอยู่ด้วย หากมิใช่เพราะว่าเขาพยักหน้าเพียงเล็กน้อย คนพวกนี้จะลอบเข้ามาได้อย่างไร แต่เดิมเขาตั้งใจจะสร้างความลำบากให้กับเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเพียงเล็กน้อย เพื่อให้พวกเขาไม่มีเวลาไปจัดการปัญหาอย่างอื่น แต่มิคาดคิดเลยว่า
คนพวกนี้ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ยังมิทันได้ลงมืออันใด ก็โดนคนของเสด็จอาเก้าปัดกวาดไปหมดแล้ว อีกทั้งยามที่คนอื่นได้เห็นภาพเช่นนั้น หาได้มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวไม่
“องค์จักรพรรดิก็เหลือเกิน เสด็จอาเก้าทำตัวเหิมเกริมเช่นนี้ เขายังต้องอดทนอันใดอีก หากว่าองคจักรพรรดินำระเบิดเทียนเหล่ยออกมาใช้ละก็ ร่างของเสด็จอาเก้าคงได้หายไปนานแล้ว พวกเราก็คงไม่ต้องมาถูกกระทำเช่นนี้” เย่เย่ได้แต่นั่งจิบชาด้วยท่าทีหม่นหมอง ภายในใจรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
หากมิได้เป็นเพราะเรื่องโรงเลี้ยงสัตว์หลวงละก็ คนของเย่เฉิงย่อมจับเฟิ่งชิงเฉินฝังดินไปได้แน่ เมื่อหน้าตาของบุรุษไม่เหลือเช่นนี้ ท้ายที่สุด พวกเขายังมิได้ทำอันใด เฟิ่งชิงเฉินก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งยังสร้างปัญหาทิ้งไว้มากมายอีกด้วย
แต่สิ่งที่น่าเกลียดมากที่สุดก็คือ เฟิ่งชิงเฉินรักษาเขาไปได้ไม่นานก็หายตัวไป พวกเขาคนจากเย่เฉิงหาได้ทำสิ่งใดไม่ แต่กลับต้องมาตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน กลายเป็นแพะรับบาปไปอย่างไม่รู้ตัว บุญคุณที่คิดจะตอบแทน กลับกลายเป็นความแค้นที่ต้องตามจองเวรจองกรรมไปอีกนาน
เพียงชั่วพริบตาเดียว พันธมิตรที่เคยร่วมมือกับเมืองเย่เฉิงก็ลดลงไปถึงหนึ่งในห้าส่วนในทันที ยามที่จักรพรรดิแห่งตงหลิงทำความสะอาดเหล่าสายสืบนั้น พวกเขาคนจากเมืองเย่เฉิงย่อมได้รับผลกระทำอย่างแสนสาหัส สายลับที่แฝงตัวอยู่ในตงหลิงมานานนับสิบปี กลับถูกถอนรากถอนโคนออกมาจนหมด
แม้ว่าจะเป็นการกระทำเพียงเล็กน้อย ทว่า ความแข็งแกร่งของเมืองเย่เฉิงที่เคยขึ้นเป็นอันดับต้นของทั่วทั้งเก้าแคว้นกลับตกมาเป็นอันดับสุดท้ายในทันที
ด้วยอารมณ์หม่นหมองเช่นนี้ เขาพูดสิ่งใดก็ไม่อาจกลืนมันลงคอไปได้ โดยเฉพาะการที่เฟิ่งชิงเฉินมารักษาแขนให้เขานั้น หากมิได้เป็นเพราะนาง เขาก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้ อีกทั้งจะกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินรักษาเขาหายดีได้อย่างไร ในเมื่อมือข้างซ้ายของเขา ไม่ต่างกับการของไร้ประโยชน์ที่ใช้งานไม่ได้ มีเพียงแค่สภาพภายนอกที่ดูดีเท่านั้น
ตงหลิงจื่อลั่วค่อย ๆ หลับตาลง มิได้ตอบอันใดออกมา หากเสด็จอาเก้าถูกระเบิดเทียนเหล่ยทำให้บาดเจ็บนั้น นั่นมิใช่เป็นการบอกกล่าวผู้คนในใต้หล้าหรือ ว่าการที่เสด็จอาเก้าของเขาตายเป็นฝีมือของเสด็จพ่อของเขา เช่นนี้เสด็จพ่อของเขายังต้องมีชื่อเสียงของตนอยู่หรือไม่
โดยเฉพาะการกระทำของเสด็จอาเก้าที่ดูจะเหิมเกริมมากเกินไปนั้น พวกเขาล้วนแต่รู้ดี มิจำเป็นต้องให้เย่เย่พูดออกมา ทั้งท่านตาและท่านอาของเขาล้วนแต่ถูกตัดสินโทษประหารไปหมดแล้ว เสด็จแม่ของเขาเองยังต้องถูกส่งไปที่ตำหนักอู๋ถง ไม่อาจออกไปที่ใดได้อีก แม้แต่อันผิงที่กำลังเตรียมงานมงคลสมรส ยังต้องตกไปอยู่ในมือของเต๋อเฟยได้
องค์รัชทายาทที่ถูกเสด็จอาเก้าปกป้องมานานแสนนาน หลายปีที่ผ่านมาล้วนแต่อยู่เหนือน้ำเหนือลมมาโดยตลอดเช่นนี้ ทว่า ยามที่เสด็จอาเก้าบอกจะยอมแพ้ในตัวเขา ทั้งยังใช้สายตาที่เย็นชามองดูองค์รัชทายาทโดนกดขี่เช่นนั้น เสด็จอาเก้าที่มิได้อยู่ภายในเมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งเดือน องค์รัชทายาทที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองหลวง คล้ายว่าจะไม่มีที่ให้ยืนอยู่ไปในทันที
มิเช่นนั้น องค์รัชทายาทจะเมินเฉยต่อสุขภาพร่างกายของตนเอง พร้อมทั้งมายืนตากลมหนาวหน้าประตูเมืองเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเช่นนั้นหรือ น่าเสียดายนัก ตั้งแต่ต้นจนจบเสด็จอาเก้าหาได้ชายตามองเขาไม่
เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ เสด็จอาของเปิ่นหวางทำตัวเช่นไร ยามที่เขาเชิดชูคนหนึ่งขึ้นมา เขาก็สามารถกระชากคนผู้นั้นลงมาได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน ยามที่เขาละทิ้งคนผู้หนึ่งนั้น เขาก็จะทิ้งให้คนผู้นั้นโดนเหยียบย่ำฝังดิน บางทีเสด็จอาเก้ายังใช้สองเท้าของตนเองกลบดินทับด้วยซ้ำ
เฟิ่งชิงเฉิน เปิ่นหวางจะรอ รอจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าโดนเสด็จอาเก้าเตะเจ้าทิ้งเข้าสักวันหนึ่ง!
ซีหลิงเทียนเหล่ยที่ตกอยู่ภวังค์แห่งความคิดของตนเองนั้น ยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ก็พลันสบสายตาเข้ากับตงหลิงจื่อลั่วในทันที พร้อมทั้งลอบยิ้มให้กันอย่างขมขื่น
พวกเขาทั้งสามคน มีผู้ใดบ้างที่ไม่เสียเปรียบอยู่ในมือของเสด็จอาเก้า แต่ทว่า การบ่นโอดครวญออกมานั้น พวกเขาหาได้คิดจะทำมันไม่ มีแต่เพียงผู้แพ้เท่านั้น ถึงจะทำเช่นนั้นออกมา พวกเขาที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ รอโอกาสที่จะตอบโต้กลับต่างหาก
เมื่อเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินทางออกไปไกลแล้วนั้น ซีหลิงเทียนเหล่ยจึงวางแก้วชาลงไว้ที่โต๊ะ พร้อมทั้งหันไปยังทิศทางที่ตั้งจวนเฟิ่ง ด้วยสายตาที่มีเลศนัย
“จวนเฟิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่เสร็จแล้ว หากตามนิสัยของเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น นางย่อมไม่สนใจสิ่งใด พร้อมทั้งสามารถทำลายทุกอย่างได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นการนั่งโอดครวญอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด ไม่สู้พวกเราไปคิดหาของขวัญขึ้นบ้านใหม่ให้กับเฟิ่งชิงเฉินไม่ดีกว่าหรือ”
หากพวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดต่อเสด็จอาเก้าได้ นั่นมิได้หมายความว่าพวกเขาจะมิทำสิ่งใดกับเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาหาได้คิดว่า ความสนใจของเสด็จอาเก้าจะเป็นจริงหรือเท็จ อย่างน้อยการที่เฟิ่งชิงเฉินถูกเสด็จอาเก้าคอยตามปกป้องเช่นนั้น หากพวกเขาทำสิ่งใดกับเฟิ่งชิงเฉิน นั่นยอมเป็นการกระทำที่ตบหน้าเสด็จอาเก้าด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไร หากเป็นเรื่องที่ทำให้เสด็จอาเก้าไม่มีความสุขนั้น พวกเขาล้วนแต่เต็มใจที่จะทำมัน
“การต่อสู้ของบุรุษ เหตุใดต้องไปลงกับสตรีด้วย” เพียงแค่ตงหลิงจื่อลั่วหลุดปากพูดออกมานั้น เขาก็พลันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง การต่อสู้ของบุรุษนั้น ล้วนแต่มิเคยขาดสตรี เสด็จอาเก้าของเขามิใช่ว่าลงดาบต่อเสด็จแม่ของเขางั้นหรือ
“ลั่วอ๋อง ท่านอย่าได้หลงลืมเหยาหวา หากเสด็จอาเก้ามีได้มีเมตตาต่อพวกเรา แล้วเหตุใดพวกเราจะต้องทำเช่นนั้นด้วย” เรื่องของเหยาหวานั้น ยังเป็นสิ่งที่ตงหลิงจื่อลัวรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ซีหลิงเทียนเหล่ยเข้าใจความรู้สึกเขาเป็นอย่างดี
ตงหลิงจื่อลั่วจึงมิคิดคัดค้านอีกต่อไป พร้อมทั้งยังเลิกสนใจความรู้สึกประหลาด ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจของเขาด้วยเช่นกัน พลันพยักหน้าลงเล็กน้อย “ทำตามที่เจ้าต้องการ หากมิมีเรื่องอันใดแล้ว เปิ่นหวางขอตัวลา”
บรรยากาศภายในโรงน้ำชาแห่งนี้ดูหม่นหมองยิ่งนัก เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
ภายในพระราชวังแห่งตงหลิงก็ดูน่าอึดอัดใจเช่นเดียวกัน แต่เขาจะต้องยืนหยัดมันต่อไปให้ได้!
การเป็นบุตรขององค์จักรพรรดิหาได้เป็นเรื่องง่ายดายไม่!
ฝากถึงนักอ่านทุกท่าน : เมื่อฉันเขียนนิยายมาถึงกลางดึก ในคืนตีสองแล้วนั้น ฉันรู้สึกเหนื่อยจนแทบจะขาดใจตาย ! เห็นมีคนบอกว่าจิ่วจิ่วกำลังวางแผนคิดบัญชีกับเฟิ่งชิงเฉิน ฉันอยากจะบอกว่า ฉันไม่ได้เขียนนิยายรักใสใสนะ จิ่วจิ่วกับเซวี่ยเทียนเอ้าไม่เหมือนกัน เซวี่ยเทียนเอ้ามีพี่ชาย แม้ว่าเขาจะละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว ก็ยังพี่ชายกับน้องชายคอยอยู่เคียงข้าง
แต่จิ่วจิ่วมีเพียงคนเดียว เขาไม่สามารถทำเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน โดยไม่สนใจหน้าที่ที่ตนเองต้องแบกรับเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าจิ่วจิ่วจะกลับมาคิดบัญชีเฟิ่งชิงเฉิน หรือใช้ประโยชน์จากเฟิ่งชิงเฉิน แต่ทว่า หากมองมุมมองในคู่รักนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นมาทีละนิดนะ ว่ากันตามจริงแล้ว หากต้องการเป็นผู้หญิงของจิ่วจิ่ว ชิงเฉินมีแต่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!