นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 604 เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเคยโกรธเคืองเปิ่นหวางหรือไม่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เสด็จอาเก้าหาได้สนใจคำคัดค้านจากเหล่าขุนนางพวกนั้นไม่ พร้อมทั้งดึงดันที่จะไปส่งเฟิ่งชิงเฉินที่เรือนเล็กซีซวีให้ได้ จากนั้นค่อยกลับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่พระราชวัง

เขาหวังแต่เพียงว่า การกระทำของเขาในวันนี้ จะทำให้คนพวกนั้นเห็นได้ว่า น้ำหนักของเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ภายในใจของเขา หาได้เหมือนการก่อนไม่ หากคิดจะทำอันใดกับนาง ก็ควรจะประเมินตัวเองเสียก่อนว่า ยินยอมรับผลตอบแทนที่จะตามมาได้หรือไม่

ขุนนางบางรายเห็นเช่นนี้ ก็พลันหันไปขยิบตาใส่องค์รัชทายาท เพื่อให้องค์รัชทายาทเอ่ยห้ามเสด็จอาเก้า ถึงความเหมาะสมไม่เหมาะสม อย่าได้พูดเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นถึงพระชายาเก้า ถึงแม้ว่านางจะได้เป็นก็หาได้มีเกียรติไม่

องค์รัชทายาทแสร้งทำเป็นมิเห็นสายตาเหล่านั้น เสด็จพ่อแท้ ๆ ยังไม่ชอบเขา ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรก็ไม่สนใจเขา เช่นนั้น ไม่สู้ทำตัวให้เสด็จอาเก้าเอ็นดูไม่ดีกว่าหรือ

ไม่ว่าฟ้าจะถล่มลงมาเช่นไร ก็ยังมีเสด็จอาเก้าอยู่ ขอเพียงแค่เขาไม่ทำการก่อกบฏ มีเสด็จอาเก้าอยู่ข้างเขาเช่นนี้ เสด็จพ่อย่อมไม่อาจไล่เขาลงจากตำแหน่งองค์รัชทายาทไปได้

หลังจากที่ทงจือทงเหยารอเสด็จอาเก้ากลับไปแล้วนั้น ก็พากันเข้ามาล้อมรอบตัวเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นก็รีบดึงเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ชุดอาภรณ์สีชาด โดดเด่นยิ่งกว่าดวงดาวบนฟากฟ้า รีบพานางเข้าไปในห้องโถงในทันที

ทั้งชุยห้าวถิง หยุนเซียว เซี่ยซาน ซูเหวินชิงและซุนซือสิง ล้วนแต่นั่งรอนางอยู่ภายในห้องโถง เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเข้ามานั้น ทั้งซูเหวินชิงและซุนซือสิงต่างก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับนางในทันที

ซูเหวินชิงที่เห็นปิ่นปักผมรูปหงส์เพลิงบนหัวของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาเรื่องอื่นขึ้นมาหยอกล้อนางในทันที ทั้งชุยห้าวถิงและหยุนเซียวที่เห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาเหนื่อย ๆ นั้น จึงได้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเสียสองสามคำ แล้วจึงจากไป

เซี่ยซานกับซูเหวินชิงเองหาได้ต้องการอยู่นานไม่ เมื่อเห็นสีหน้าเลือดฝาดที่สุขภาพดีของเฟิ่งชิงเฉิน และท่าทีที่ไร้อารมณ์ทุกข์ร้อนของนางนั้น ทั้งสองคนก็จากไปด้วยความสบายใจ ทว่า ก่อนที่ออกไปนั้น เซี่ยซานพลันหันกลับมาถามเฟิ่งชิงเฉินว่า ท่าอาสะใภ้รองของเขาอาการไม่ค่อยสู้ดีนัก ต้องการเชิญเฟิ่งชิงเฉินไปดูอาการให้นางสักครู่หนึ่ง

เฟิ่งชิงเฉินจึงตอบกลับไปด้วยท่าทีสบายอารมณ์ว่า “ได้ หากอาสะใภ้รองของเจ้ารู้สึกดีขึ้นมาเมื่อใด ให้มาหาข้า” ความหมายของนางก็คือ นางจะไม่ไปที่ตระกูลเซี่ยอย่างแน่นอน

เซี่ยซานได้แต่พยักหน้าลง โดยมิได้พูดอันใดออกมาอีก

แต่เดิม ตระกูลเซี่ยต้องการที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินมาที่ประตูจวน พร้อมทั้งจะได้ร่วมพูดคุย เพื่อร่วมมือกับนาง

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเป็นบุคคลที่รับความโปรดปรานจากเสด็จอาเก้าเช่นนี้ ย่อมต้องมีคนที่ต้องการกำจัดนางด้วยเช่นกัน แต่ทว่า ก็มีคนที่เหมือนตระกูลเซี่ยอยู่มาก ที่ต้องการประจบสอพลอนาง

หลังจากที่ฮองเฮาไร้อำนาจแล้วนั้น เซี่ยกุ้ยเฟยก็กำลังจะคลอดองค์ชายน้อยออกมาเร็ว ๆ นี้ พวกเขาตระกูลเซี่ยจึงต้องรับทำอันใดเสียหน่อยแล้ว บุตรที่คลานออกมาจากท้องของฮองเฮา กับบุตรที่เกิดออกมาจากหวังกุ้ยเฟยย่อมไม่มีทางเหมือนกันได้

ถึงแม้ว่าภายในวังหลังจะมีมารดาที่ฐานะสูงส่งอยู่มาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบุตรนำมารดาขึ้นสู่อำนาจเสียมากกว่า หากว่ามารดาของตนมีฐานะสูงส่งแล้ว ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอีก บุตรที่คลอดออกมา ย่อมได้รับความสนใจจากองค์จักรพรรดิมากขึ้นไปอีก

น่าเสียดาย เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธได้อย่างไร้เยื่อใยยิ่งนัก ตระกูลเซี่ยที่เพิ่งได้รับผลกระทบมา ย่อมมิกล้าสู้เฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน โดยเฉพาะเฟิ่งชิงเฉินที่มีเสด็จอาเก้าคอยปกป้องคุ้มครองอยู่เช่นนี้

การเปิดตัวที่ดูอลังการ หากจะกล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นฮองเฮาก็ดูจะไม่ผิดไปนัก อีกทั้งผู้ที่สามารถเดินเคียงข้างเสด็จอาเก้าเช่นนั้นได้ มีเพียงแค่องค์จักรพรรดิเท่านั้น เสด็จอาเก้าที่ให้เกียรติเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ ตระกูลเซี่ยจะกล้าที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่พอใจงั้นหรือ

หลังจากที่เซี่ยซานและซูเหวินชิงจากไปนั้น ซุนซือสิงก็ไม่กล้าอยู่รบกวนเฟิ่งชิงเฉินต่อไป เฟิ่งชิงเฉินกลับมาในยามนี้ ยังมีเวลาเหลือเฟือ เขามิได้มีเรื่องรีบร้อนอันใด

ชุนเซี่ยชิวตงทั้งสี่นางที่รู้ความนั้น ต่างก็ได้เตรียมน้ำร้อนไว้นานแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงได้มีโอกาสอาบน้ำชำระล้างกายเสียที

หลังจากที่ชำระล้างกายเสร็จแล้วนั้น มิต้องรอให้เฟิ่งชิงเฉินสั่งการ ทงจือและทงเหยาที่อยู่ภายในห้องนั้น ก็ได้เอ่ยรายงานเรื่องราวภายในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ให้กับเฟิ่งชิงเฉินในทันที

“คุณหนูเพคะ ครึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ซีหลิงเทียนอวี่มาส่งองค์หญิงเหยาหวาที่ตงหลิงพร้อมทั้งสั่งให้มีการพยากรณ์ดูฤกษ์งามยามดี งานมงคลสมรสจะถูกจัดเดือนสิบสองวันที่สิบสองเพคะ นับว่าเป็นวันมงคล โดยผู้เป็นแม่งานในครานี้คือซูเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”

“ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิง องค์รัชทายาทซีหลิงและลั่วอ๋องกับโจวอ๋องกลับมาสมานฉันท์กันอีกแล้วเพคะ พร้อมทั้งกำลังร่วมมือกันกระทำอะไรบางอย่าง”

“หนึ่งเดือนที่ผ่านมา คุณชายหยวนซีมาหาท่านห้าครั้ง ทว่าเขามาหาเพียงคุณชายชุย จากการคาดคะเนของหม่อมฉันแล้วพวกเขาน่าจะรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นแล้วเพคะ”

“จวนเฟิ่งได้มีการจัดการเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างยังคงตกแต่งเป็นเหมือนเดิมเพคะ หากคุณหนูมีเวลาละก็ เชิญท่านไปเดินดูด้วยตาของตนเองเถิดเพคะ จะได้ดูว่ามีที่ใดที่สมควรต้องปรับแก้อีกบ้าง”

“ตระกูลซูส่งสตรีมานางหนึ่งเพคะ นามว่าซูโหยว เพื่อมาประลองแทนที่คุณหนูซูหว่าน อีกทั้งตระกูลซูเองก็ได้ส่งคนมารับคุณหนูซูหว่านกลับไปแล้วด้วย แต่ถูกท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงไล่กลับไป ท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงเชิญท่านหมอมามากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาใบหน้าของคุณหนูซูหว่านได้ ในยามนี้กำลังส่งคนไปเชิญปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมาเพคะ”

“ภายในพระราชวังได้มีการคัดกรองนู๋ไฉ อีกทั้งทางฝั่งบ่อนพนันและโรงน้ำชาบางแห่งก็ได้ถูกสั่งให้ปิดลงเช่นกันเพคะ พวกเราจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการลอบส่งคนเข้าไปในวัง พร้อมทั้งใช้เงินซื้อบ่อนพนันไปสามแห่ง รวมไปถึงโรงน้ำชาอีกหนึ่งแห่ง เพื่อสร้างไว้เป็นของตนเอง ขอให้คุณหนูโปรดลงโทษ ที่พวกเราทำลงไปโดยพลการด้วยเพคะ” ทงจือและทงเหยาต่างก็เลือกเหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ นำมารายงานให้นางฟังเท่านั้น

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าตั้งใจจะอยู่ด้วยกันนั้น นางก็ตั้งใจที่จะเพิ่มพูนอำนาจของตนเอง ถ้าหากนางเอาแต่พึ่งพาเสด็จอาเก้าละก็ ไม่เพียงแต่เสด็จอาเก้าที่รู้สึกเหนื่อย นางก็จะรู้สึกเหนื่อยเช่นเดียวกัน

หลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันเพียงครึ่งเดือนนั้น เฟิ่งชิงเฉินถึงได้เข้าใจว่า นางจะต้องมีจุดยืนของตนเองที่มั่นคงเสียก่อน นางในยามนี้ยังไม่มีอำนาจมากพอ นางไม่อาจรักเสด็จอาเก้าเสมือนกับบุรุษทั่วไปได้ เสด็จอาเก้ามีใจสูงส่งเทียมฟ้าเช่นนั้น หากนางมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่อาจเข้ากันได้

ถึงแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะสามารถไม่เคารพต่อองค์จักรพรรดิ ถึงกระนั้นลักษณะของเสด็จอาเก้าก็เหมาะสมเป็นอย่างมากที่จะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์นั้น หากนางจะต้องเป็นสตรีของจักรพรรดิละก็ แม้จะมีเพียงความรักขององค์จักรพรรดิแล้วอย่างไรก็ไม่เพียงพอ นางจะต้องมีอำนาจที่อยู่ในมือมากพอที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ด้วยเช่นกัน

“พวกเจ้าทำได้ดีแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ดูว่าพวกเจ้าเห็นว่าควรจะทำเช่นไร ข้ามิได้ต้องการถามเรื่องราวทั้งหมด ข้าต้องการเห็นผลลัพธ์ สายลับที่ลอบส่งเข้าไปในพระราชวังนั้น ต้องกระทำการอย่างระมัดระวังตัวให้มาก ภายในสองหรือสามปีนี้ ยังมิจำเป็นให้พวกเขาต้องเคลื่อนไหวทำสิ่งใดมากนัก ขอเพียงแค่พวกเขารักษาตัวให้ดีก็พอ พร้อมทั้ง พยายามเป็นที่โปรดปรานให้มาก เพื่อสร้างความไว้วางใจ ยิ่งทำให้ฝ่าบาทรู้สึกโปรดปรานได้มากเท่าใดยิ่งดี” เฟิ่งชิงเฉินเชื่อใจในทงจือและทงเหยา นางให้อำนาจในมือของพวกนางสองคนมากพอ

ทงจือดูแลงานในที่แจ้ง ทงเหยาจัดการงานในที่ลับเช่นนี้ ระบบการทำงานเหล่านั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้ต้องถามไม่ นางเพียงต้องการรู้ตัวคนที่คอยคุมงานต่องานพวกนางก็พอแล้ว เนื่องจากว่าภารกิจประจำวันของพวกนางนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้มานั่งสนใจไม่

ผู้คนนับพันที่อยู่ในที่โล่งและในที่มืดเช่นนี้ นางจะไปเคลื่อนย้ายพวกเขาทีละคนได้อย่างไร นางไม่ต้องการบอกพวกเขาว่าควรทำเช่นไร นางเพียงต้องการรู้ว่า ทุก ๆ ขั้นตอนที่พวกเขาทำงานนั้น เพื่อนางก็พอแล้ว

คนของนางจะเป็นจำพวกหุ่นเชิดไม่ได้ หากไม่ว่าเรื่องอันใดต้องมาขอคำแนะนำจากนางละก็ คนของนางจึงจำเป็นต้องเฉลียวฉลาด ต้องรู้ว่าควรจะพลิกแพลงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร พร้อมทั้งควรจะใช้วิธีการเช่นไรเพื่อที่จะได้ผลประโยชน์นั้นมา หากทุก ๆ เรื่องต้องให้นางมาบอกสอนละก็ นางจะต้องเลี้ยงคนพวกนี้ไว้ทำไมกัน

เสมือนกับการที่เสด็จอาเก้าปฏิบัติต่อนางเช่นกัน เนื่องจากความเชื่อใจในกระดานหมากของเสด็จอาเก้านั้น หาได้ให้นางต้องมารับรู้เรื่องราวไม่ เพราะเสด็จอาเก้ารู้ดีว่า หากนางเข้าใจแล้วนั้น นางจะต้องร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน หากนางมิเข้าใจนั้น เช่นนั้นเสด็จอาเก้าก็จะเป็นคนจูงนางเดินออกไปแทน

หลังจากที่ทงจือและทงเหยารายงานเสร็จแล้วนั้น เมื่อได้เห็นสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินที่ดูเหนื่อยล้า ทั้งสองก็มิเอ่ยอันใดให้มากความ หลังจากที่จัดแจงที่หลับที่นอนให้เฟิ่งชิงเฉินเรียบร้อยแล้วนั้น พวกนางก็จากไป

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเตรียมตัวนอนนั้น ก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างผ่านเข้ามาในอากาศ จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงองครักษ์เงาที่หายไป พร้อมกับเสียงการต่อสู้ที่แผ่วเบา สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันเปลี่ยนไปในทันที พร้อมทั้งหยิบเสื้อคลุมกันลมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เมื่อกำลังจะหันไปหยิบปืนจากใต้หมอนขึ้นมานั้น ก็พลันได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามาเสียก่อน “ไม่มีอะไรแล้ว มิต้องตกใจไป เป็นเปิ่นหวางเอง”

ทั่วร่างของเสด็จอาเก้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหิมะค่อย ๆ เดินเข้ามา บนหัวของเขาและบนเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างก็มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ แม้แต่หัวคิ้วก็มีเช่นกัน

“เสด็จอาเก้า เหตุใดในยามนี้ท่านถึงอยู่ที่นี่เพคะ? เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรีบเดินเข้าไปในทันที พร้อมทั้งช่วยเสด็จอาเก้าจัดการกับเสื้อคลุมกันลม แล้วจึงนำผ้าขนหนูมาให้เขาเช็ดไม้เช็ดมือตนเอง

จะมิให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจได้อย่างไร เสด็จอาเก้าที่เพิ่งกลับถึงเมืองหลวงในวันนี้ ภายในวังของเสด็จอาเก้า ย่อมต้องมีเรื่องมากมายที่รอให้เสด็จอาเก้าจัดการเป็นแน่ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องของบัวหิมะพันปีพร้อมกับเผ่าเสวียยเซียวกงอีก เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เสด็จอาเก้าย่อมไม่อาจหลีกหนีพ้น

แต่เดิมเสด็จอาเก้าอยากจะเอ่ยปฏิเสธนาง ทว่า เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลนั้น เสด็จอาเก้าก็รับผ้าขนหนูเอาไว้ จากนั้นก็ส่งให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยเขาเช็ดทำความสะอาดร่างกายแทน

มีเพียงที่นี่เท่านั้น ที่เขาจะสามารถลดเกราะป้องกันตนเองทุกอย่างลงได้ และก็มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น ที่มองเขาราวกับบุรุษธรรมดาทั่วไป เสด็จอาเก้ารู้สึกผ่อนคลายเสียจนหลับตาลงเบา ๆ เมื่อร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นมานั้น เขาจึงค่อย ๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา

“มีคนทรยศอยู่รอบกายเปิ่นหวางมากนัก ยามที่กำลังจะออกจากวัง บนถนนมีกองหิมะที่ไม่อาจจัดการออกได้ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางกลับเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกมือสังหารลอบซุ่มโจมตีในทันที มือสังหารพวกนั้นหาใช่คนธรรมดาไม่ เกรงว่าจะเป็นมือสังหารที่ชนเผ่าเสวียนเซียวกงและคนของยุทธจักรส่งมากระมัง เปิ่นหวางกลัวว่าพวกเขาจะลงมือทำอันใดกับเจ้า จึงได้แอบมาดูเจ้าเช่นนี้ ยามที่คนของเปิ่นหวางมาถึง พวกเขาก็กำลังจะเตรียมลงมือแล้ว” นั่นเป็นเหตุผลที่มีเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นที่ด้านนอก

“คนของชนเผ่าเสวียนเซียวกง นับว่าลงมือได้รวดเร็วยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่าผู้คนที่นางสามารถใช้การได้ยังมีน้อยจนเกินไป ในยามนี้เพิ่งลอบส่งพวกเขาเข้าวังไปได้ไม่นาน อีกทั้งยังมีคนยุทธจักรที่ตามนางมาอีก

หรือบางที นางอาจจะต้องไปถามกับหลานจิ่วชิงดี ว่ามีหนทางใดบ้าง ที่จะสามารถลอบส่งคนเข้าไปในยุทธจักรได้ นางมิอาจรั้งรอให้เสด็จอาเก้ามาช่วยนางแก้ปัญหาได้หรอก

สายตาที่เย็นชาของเสด็จอาเก้าพลันทอประกายออกมาวูบหนึ่งในทันที “ไม่เพียงแต่คนของชนเผ่าเสวียนเซียวกงเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่เปิ่นหวางสามารถออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น นั่นเป็นเพราะเปิ่นหวางได้ทำข้อตกลงกับเสด็จพี่เอาไว้ ว่าจะช่วยเขาจัดการหนอนบ่อนไส้ที่อยู่ภายในจวนขุนนางต่าง ๆ ในยามนี้ เมื่อเปิ่นหวางทำสำเร็จแล้ว เปิ่นหวางจึงถูกผลักออกมาเป็นโล่ให้กับเสด็จพี่เช่นเดียวกัน”

เมื่อใช้ประโยชน์เสร็จก็ละทิ้ง นับว่าเป็นวิธีที่คุ้นชินสำหรับพวกเขายิ่งนัก เขาเคยชินแล้ว กับการที่เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เฟิ่งชิงเฉินฟัง ว่าแท้จริงแล้วความสัมพันธ์พี่น้องที่ดูรักกัน บางทีต่างคนอาจจะคอยถือมีดลอบแทงกันด้านหลังก็เป็นได้

จักรพรรดิที่รู้ว่าเขาเพิ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวงนั้น ทั้งยังมีเรื่องราวมากมายที่ยังมิได้จัดการอีกมากมายก่ายกอง ก็ยังคิดที่จะส่งมือสังหารมาจัดการเขาและเฟิ่งชิงเฉินอีก นับว่าเป็นโอกาสที่ดี แต่พระองค์หาได้รู้ไม่ว่า องครักษ์เงาในยามนี้ของเขาและเฟิ่งชิงเฉินมีมากกว่าปกตินัก นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้องค์จักรพรรดิคาดการณ์ผิดไป

เช่นนั้น ผลลัพธ์คงไม่น่าดูอย่างแน่นอน

“จะว่าอย่างไรดี ข้าเองก็มิได้ปลอดภัยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเหล่าจวนขุนนางเหล่านั้นจะไม่กล้ามาวุ่นวายกับข้า แต่พวกเขาจะต้องมุ่งหาเรื่องมาที่เจ้าอย่างแน่นอนใช่หรือไม่? ” ในเมื่อเสด็จอาเก้าพูดออกมาหมดเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็จะไม่หลีกหนี

หากวันนี้มิได้พบกับมือสังหาร เกรงว่าเสด็จอาเก้าคงไม่บอกเรื่องนี้กับนางหรอกกระมัง แต่ทว่า จะบอกหรือไม่บอกหาได้สำคัญไม่ นางล้วนแต่รู้ตัวดีว่า การที่ได้รับการปกป้องจากเสด็จอาเก้านั้น ในขณะเดียวกันนางก็ต้องยอมรับอันตรายที่ตามมาให้ดี

ในสายตาของคนภายนอกนั้น หากฆ่านางได้ ก็เสมือนว่าเป็นการหักหน้าของเสด็จอาเก้าได้

ช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่มีสิ่งที่ใดที่ได้รับโดยมิต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างกลับไป ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะต้องจ่ายไปมากเหมือนกัน ถึงจะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการกลับมา

“ไม่ผิด การที่เปิ่นหวางมีท่าทีโปรดปรานเจ้าเช่นนี้ คนพวกนั้นย่อมมิใช่ไม่รู้ว่า ในสายตาของพวกเขา เจ้าเป็นอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับข้าเช่นไร เฟิ่งชิงเฉิน เปิ่นหวางผลักเจ้าออกมาเช่นนี้ เจ้ารู้สึกโกรธเคืองเปิ่นหวางหรือไม่?”

การผลักเฟิ่งชิงเฉินออกมาเช่นนี้เป็นเรื่องจริง แต่ทว่า การที่เขาโปรดปรานนางหาใช่เรื่องเท็จไม่ เขามิอาจเก็บซ่อนเฟิ่งชิงเฉินไปชั่วชีวิตได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ดี

เขาไม่เสียใจที่ทำเช่นนี้ลงไปอย่างแน่นอน เขาวางหมากในทั่วแคว้นแดนทั้งเก้าค่อย ๆ ลึกขึ้นมากเรื่อย ๆ แล้ว มีเรื่องราวมากมายท่เขาไม่อาจก้าวถอยหลังไปได้อีก อีกทั้งเขามั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากว่า เขามีความสามารถในการปกป้องเฟิ่งชิงเฉินมากพอ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท