นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 613 สถานการณ์บ่งบอก เสด็จอาเก้ามิได้ล้มลง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 613 สถานการณ์บ่งบอก เสด็จอาเก้ามิได้ล้มลง

เฟิ่งชิงเฉินเรียกได้ว่ารังแกผู้คนกันเกินเหตุ หัวหน้าราชองครักษ์โมโหเสียจนอยากจะฆ่านาง แต่ว่าในมือของเฟิ่งชิงเฉินมีปิ่นเฟิ่งอยู่ ต่อให้เขาไม่พอใจเพียงไรก็ทำได้เพียงอดทน

หัวหน้าราชองครักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามยิ้มออกมาอย่างแข็งกระด้าง เขาหยิบตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ บิดไปที่ปลายจมูกแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่งหนึ่งร้อยตำลึงพอหรือไม่”

ประตูจวนคาดว่าราคาไม่เกินยี่สิบตำลึง อีกแปดสิบตำลึงที่เหลือนับว่าเป็นค่าทำขวัญของเฟิ่งชิงเฉิน

“หนึ่งร้อยตำลึงหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ หัวหน้าราชองครักษ์ได้ยินดังนั้นก็หยิบตั๋วเงินมาอีกหนึ่งใบอย่างว่าง่าย “สองร้อยตำลึง?”

บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกโกรธเคืองมาก เนื่องจากเป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีผู้ใดใช้เงินมาฟาดหัวนาง อีกอย่างเงินเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านี้ คิดว่านางยากจนมากหรืออย่างไร

เฟิ่งชิงเฉินโมโหเสียจนหัวเราะออกมา แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ ท่านคิดว่าข้าขาดแคลนเงินทองหรือไม่?”

ต่อให้นางสาวยากแค้นจริงๆ เงินจำนวนหนึ่งร้อยสองร้อยตำลึงเหล่านี้นางก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หากจะให้นางเอ่ย แน่นอนว่าต้องไม่ต่ำกว่า ทองจำนวนหนึ่งพันตำลึง

“เอ่อ……” หัวหน้าราชองครักษ์เก็บตั๋วเงินลงไปแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างสุภาพว่า “คุณหนูต้องการให้ข้าน้อยทำอย่างไร?”

“ทำอย่างไร?”

ต้องให้นางสอนหรือ?

เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกทาง “ในเมื่อใต้เท้าเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ชิงเฉินก็จะขอกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ในเมื่อพวกท่าน เตะประตูบานนี้จนพัง แน่นอนว่าพวกท่านจะต้องซ่อมมันด้วยตัวเอง ซ่อมเสร็จเมื่อก็สามารถไปได้เมื่อนั้น”

เฟิ่งชิงเฉินหันไปโบกมือให้กับบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง ทงจือและทงเหยารีบนำเก้าอี้มาวางไว้ตรงด้านหน้า

“ว่าอย่างไรนะ? จะให้พวกเราซ่อมประตูหรือ?” หัวหน้าราชองครักษ์ทำสีหน้าเหมือนกับรับประทานอุจจาระมาอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เฟิ่งชิงเฉินต้องการทำให้พวกเขาต้องอับอาย ทำให้พวกเขาต้องรู้สึกเสียหน้า

แต่พวกเขาถูกใส่ร้ายจริงๆ พวกเขาเพียงแค่เดินทางมาทำตามคำสั่ง จะรู้ได้อย่างไรว่าบังเอิญเตะเข้ากับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นดุจดั่งแผ่นเหล็กขนาดใหญ่เช่นนี้

เฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าเมื่อไหร่ที่พบเขาล้วนไม่มีเรื่องดี เห็นได้ชัดว่าตัวเขาต่างหากไม่เคยมีเรื่องดีทุกครั้งที่พบกับเฟิ่งชิงเฉิน ครั้งก่อนที่จวนเฟิ่งก็เช่นกัน เวลาครึ่งเดือนนับได้ว่าลำบากที่สุดในชีวิต ส่วนในครั้งนี้……

ซวยยิ่งกว่าเดิม จากนี้ดูเหมือนเขาจะจินตนาการได้ถึงความโมโหขององค์จักรพรรดิแล้ว

หัวหน้าราชองครักษ์เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการที่ได้พบกับเฟิ่งชิงเฉินนั้นช่างโชคร้ายยิ่งนัก

“หูของท่านได้ยินไม่ผิดไปหรอก ซ่อมประตู” เฟิ่งชิงเฉินยกเสื้อตัวยาวของนางขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงอย่างสง่า ร่างกายของนางเอนไปทางขวาเล็กน้อย มือขวาจับไปที่คาง รัศมีดุจดังราชินี เมื่อพบว่าหัวหน้าราชองครักษ์ไม่ขยับแม้แต่น้อยเป็นเวลานาน นางจึงได้ยกมือซ้ายขึ้นอย่างไร้ความอดทน “ใต้เท้าเชิญลงมือเถิด”

เห็นได้ชัดว่าท่าทางของนางดังนี้ต้องการจะอยู่เพื่อคุมงาน หากพวกเขาไม่ซ่อมแซมประตูให้นางล่ะก็คงไม่อาจจากไปได้ง่ายๆ

หัวหน้าราชองครักษ์ ทิ้งมารยาทต่างๆ นานาที่เขาได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลาช้านาน เขาพยายามระงับความโมโหไว้ในใจแล้วกัดฟันกล่าวว่า “แม่นางเฟิ่งอย่าได้ทำเหตุ พวกเราจะต้องกลับไปที่พระราชวังเพื่อรายงานเรื่องราวตามคำสั่งที่ได้รับมา หากว่าชักช้า ทั้งเราและท่านล้วนไม่อาจรับผลที่ตามมาได้”

“อ๋อ เช่นนั้นหรือ……ถ้าเช่นนั้น ในเมื่อพวกท่านทุกคนเร่งรีบจะเดินทางกลับ ก็จงรีบเร่งเข้า อย่าได้เสียเวลาปฏิบัติหน้าที่อื่นของท่าน” ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจคำข่มขู่จากประโยคเมื่อครู่ของหัวหน้าราชองครักษ์ นางกล่าวออกมาอย่างใจเย็น

การที่องค์จักรพรรดิทรงส่งราชองค์รักษ์มาอย่างหยิ่งผยองนั่นก็เพราะต้องการจะจัดการเสด็จอาเก้าไม่ใช่หรือ ต้องการที่จะเชือดไก่ให้ลิงดูไม่ใช่หรือ ในเมื่อองค์จักรพรรดิเริ่มก่อน ก็อย่าได้โทษนาง

ผู้ใดตบหน้าคนอื่นไม่เป็น?

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแล้วมองไปยังผู้คนที่ยืนอยู่ด้านนอกจวนของนางมากมาย องค์จักรพรรดิทำเรื่องนี้ให้ยุ่งยากอย่างเปิดเผย ทำเอาเสียผู้คนกว่าครึ่งในเมืองหลวงรู้ว่ามีราชองครักษ์เดินทางมาจับตัวเฟิ่งชิงเฉินไป แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับเป็นนางที่ชนะ

ราชองครักษ์ล้มเหลวต่อหน้าที่ในการพาตัวเฟิ่งชิงเฉินไป อีกทั้งยังต้องนั่งซ่อมประตูให้แก่เฟิ่งชิงเฉินด้วย แล้วองค์จักรพรรดิจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

“แม่นางเฟิ่งจงพอเท่านี้เถิด การไม่เคารพต่อองค์จักรพรรดิมีโทษประหารชีวิต”

“ใต้เท้า การไม่เคารพต่อจักรพรรดิและจักรพรรดินีพระองค์ก่อน จะต้องประหารเก้าชั่วโคตร” ใครบ้างที่จะข่มขู่ไม่เป็น ช่วงการปฏิวัตินั้นเรียกได้ว่ามีขู่ข่มขู่คนอื่นเกิดขึ้นจำนวนมาก

“เจ้า……!” หัวหน้าราชองครักษ์ไม่อาจสงบอารมณ์ได้อีกต่อไป มือขวาของเขากำเอาไว้ที่ด้ามดาบราวกับต้องการจะชักมันออกมา

ไม่รู้ว่าตี๋ตงหมิงลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไร เขานั่งลงไปพร้อมกับเสียงดังตุ๊บ ใบหน้าของเขากล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “อะไรกัน ก็แค่ซ่อมประตูไม่ใช่หรือไง รีบทำเร็วเข้า มัวชักช้าทำไม องค์จักรพรรดิคงจะตำหนิพวกเจ้าเอาได้”

ตี๋ตงหมิงตะโกนออกมาเสียงดัง เสียงที่ตะโกนออกมานั้นไม่เพียงแต่ทำให้ราชองครักษ์ทั้งหลายตกตะลึง แต่พวกที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกและพยายามสอดแนมข่าวคราวก็ได้ยินด้วย

ว่าอย่างไรนะ? ราชองครักษ์ไม่อาจกุมตัวนางไปได้ ทั้งยังต้องมาซ่อมประตูให้นี่มัน……

นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าคนจากฝั่งของเสด็จอาเก้ามีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว และเสด็จอาเก้าจะไม่ล้มลงอย่างง่ายดาย

เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงของเสด็จอาเก้า และเป็นพันธมิตรอันดับหนึ่งของเสด็จอาเก้าด้วย ยามที่เสด็จอาเก้าไม่อยู่ ทุกการกระทำของเฟิ่งชิงเฉินจึงแสดงถึงอิทธิพลและกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังของเขา

การที่เฟิ่งชิงเฉินแสดงท่าทีแข็งแกร่งเช่นนี้ นั่นเป็นสัญญาณให้ทุกคนรับรู้เอาไว้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ล้มลงอย่างแน่นอน

ดูเหมือนมีใครหลายคนรีบชักขาวิ่งกลับไปที่จวนของตนแล้วรายงานให้แก่เจ้านายได้รับรู้ การที่เจ้านายของพวกเขายังอยู่ดี พวกเขาในฐานะบ่าวรับใช้ก็จะได้รับเกียรติและหน้าตา

เขาจะต้องรีบแจ้งข่าวนี้ให้แก่นายท่านรับรู้เพื่อไม่ให้อยู่ผิดฝั่ง

จะต้องรีบบอกข่าวนี้ให้แก่นายท่านรับทราบ มองดูแล้วเฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างจะมั่นใจ เสด็จอาเก้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

……

มีทั้งคนสุขมีทั้งคนเศร้า มีทั้งผู้ที่แอบสืบข่าวและมีผู้ที่แสดงถึงสีหน้าอันเศร้าหมองออกมาไม่น้อย

บรรดาคนรับใช้เหล่านั้นก็ล้วนรู้ดี เจ้านายของพวกเขาและเสด็จอาเก้าเห็นได้ชัดว่าไม่ถูกกัน การที่เสด็จอาเก้าไม่ล้มลง เจ้านายของพวกเขาก็โชคร้าย

แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ขยับเขยื้อนมีมากกว่า เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าเจ้านายของพวกเขาอยู่ฝั่งใด อย่างน้อยเจ้านายของพวกเขาก็ไม่ได้แสดงตนเป็นศัตรูหรือมิตรต่อเสด็จอาเก้า

ไม่ว่าอย่างไรท่าทางแข็งแกร่งของเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นสัญญาณว่าเอื้ออำนวยต่อเสด็จอาเก้า

ตี๋ตงหมิงตะโกนออกมาเสียงดังจากนั้นก็ตบมือลงไปบนโต๊ะ บรรดาราชองครักษ์รู้ดีว่าในวันนี้หากพวกเขาไม่รีบซ่อมแซมประตูให้เฟิ่งชิงเฉินก็อย่าคิดจะเดินทางไปไหน

“จงไปซื้อประตูบานใหม่มาสองบาน” แม้ว่าหัวหน้าราชองครักษ์จะไม่ยินดี แต่ก็จำเป็นที่จะต้องออกคำสั่งกับลูกน้อง

หากจะให้เข้าซ่อมแซมประตูคงเป็นไปไม่ได้ จะขายหน้าองค์จักรพรรดิเกินไป ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีการประนีประนอมและเปลี่ยนประตูบานใหม่ให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน

“หากทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็จบเรื่องไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินยืนพูดโดยไม่รู้สึกปวดหลัง ส่วนหัวหน้าราชองครักษ์โมโหยิ่งนัก เขาแอบสาบานกับตนเองในใจว่า หากในอนาคตมีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉินละก็ เขาจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

เพียงแค่พังประตูจวนของเฟิ่งชิงเฉินยังจำเป็นต้องชดใช้ แล้วหากว่าเผาจวนของนางทิ้งเล่า? จะต้องสร้างจวนใหม่ให้นาง? หรือจะต้องเผาบ้านของตนชดใช้ให้นางด้วย

“……” หัวหน้าราชองครักษ์พบเข้ากับความจริงแล้ว

ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินทางไปซื้อมา แต่ก็ใช่ว่าจะกลับมาในเวลาเร็ววัน หัวหน้าราชองครักษ์ไม่กล้าอยู่ในเรือนเล็กฝั่งตะวันตกนี้นานเกินไปจึงได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “คุณหนูเฟิ่ง ข้าน้อยจะกำชับคนสักสองสามคนถ้าอยู่ที่นี่เพื่อซ่อมแซมประตูให้ท่านได้หรือไม่”

เขาใช้คำว่า “ท่าน” เห็นได้ชัดว่าราชองครักษ์เกรงกลัวเฟิ่งชิงเฉินเพียงใด

“ไม่ได้ หากว่าประตูที่ท่านซื้อมาข้าไม่ชื่นชอบหรือไม่เหมาะสม ข้าจะไปบอกกับผู้ใดเล่า หากว่าใต้เท้ายืนเหนื่อยล่ะก็ ข้าจะให้คนไปนำเก้าอี้มาให้ท่านนั่งพักผ่อน ก่อนหน้านี้เสียเวลาไปตั้งนาน บัดนี้จะเสียเวลาอีกสักเล็กน้อยเป็นไรไป” เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธโดยไม่ครุ่นคิดแม้แต่น้อย

ล้อเล่นหรืออย่างไร นางเย่อหยิ่งถึงขั้นนี้แล้ว จะมากหรือน้อยกว่านี้สักหน่อยก็ไม่ส่งผลเสีย

“คุณหนูเฟิ่ง……”

“ใต้เท้าอย่าได้กังวลใจ หากว่าท่านรีบร้อนจริงละก็ ให้ส่งคนกลับไปในพระราชวัง เพื่อให้คำตอบแก่องค์จักรพรรดิก่อนก็ย่อมได้ ราชวงศ์ตงหลิงของเราสอนให้รู้จักความกตัญญูกตเวที ดังนั้นข้าคิดว่าองค์จักรพรรดิคงจะเข้าใจ” เฟิ่งชิงเฉินแกว่งปิ่นปักผมของนางไปมา และใช้เหตุผลคือจักรพรรดิพระองค์ก่อนมากดทับคนเหล่านี้

หัวหน้าราชองครักษ์จึงได้หดศีรษะลงทันใดแล้วไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก เขายืนอยู่ตรงประตู จับจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน

ก่อนหน้านี้เหตุใดเขาจึงไม่พบว่าเฟิ่งชิงเฉินช่างน่าหงุดหงิดแบบนี้ นี่นางเป็นสตรีหรือเปล่า นางเป็นสตรีจริงหรือไม่?

สตรีที่แข็งแกร่งและหยิ่งผยองเช่นนี้ ผู้ใดที่แต่งงานกับนางคงจะโชคร้ายยิ่งนัก

ขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้ส่งสารได้ส่งจดหมายไปให้ที่คอกม้า หลังจากที่อ้อมค้อมมาเป็นเวลาเนิ่นนานในที่สุดก็เข้าสู่เส้นทางตรงเสียที จากเมืองหลวงวิ่งมาที่นี่ ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะตกใจราวกับสภาพอากาศบางเบาที่เปลี่ยนไป และมีความวิตกของประชาชน……

บทที่ 612 ปิ่นเฟิ่ง ข้าเย่อหยิ่งแล้วอย่างไร

บทที่ 614 ความสัมพันธ์ เห็นเสด็จแม่ของข้าเป็นสิ่งใด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท