นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 625 ความใสซื่อ นั่นมันก็แค่ผู้หญิงเพียงคนเดียว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

คราวนี้ เฟิ่งชิงเฉินได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นางไม่ถูกทิ้งให้ไปอยู่กับฝู่หลินที่ซุ่นเทียนฝู่ และไม่ถูกพาไปทรมานด้วยน้ำมือองครักษ์เสื้อโลหิต แต่ถูกนำตัวไปคุมขังในสถานที่ที่เสด็จอาเก้าถูกขังเป็นครั้งแรก

ใช่แล้ว นั่นก็คือคุกฟ้าในวังหลวง นางได้รับการปฏิบัติที่ดีมาก แต่นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีใครได้พบเจอนางอีก และนางก็จะไม่มีทางรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอก นี่เป็นเจตนาของฮ่องเต้ที่ต้องการให้นางถูกขังอยู่ในนี้

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินถูกราชองครักษ์นำตัวมายังคุกฟ้าแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจไยดีนาง ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการลงทัณฑ์ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา นางมีปิ่นเฟิ่งในครอบครอง ใครหน้าไหนจะกล้าลงทัณฑ์นาง ตอนนี้ทุกอย่างต้องรอพระราชวินิจฉัยเท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว คุกขององครักษ์เสื้อโลหิตเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แถมยังมีเสียงกรีดร้องไม่ขาดช่วง ส่วนคุกฟ้าไม่เหมือนคุกเท่าไรนัก เป็นเพียงห้องอับๆที่แสนเงียบสงบ เงียบสงบเสียจนวังเวง ราวกับว่านอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ในนี้

“การถูกคุมขังก็เท่ากับถูกลงทัณฑ์มิใช่หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเหลือกตามองบนพร้อมกับเอามือขึ้นมาเท้าคาง

นางไม่ได้คาดหวังว่าตนเองต้องโชคดี คนพวกนี้แค่พานางมาอยู่ในห้องที่อับทึบ เพื่อให้นางตัดขาดจากโลกภายนอก วิธีที่นำมาเล่นงานนาง หากเปลี่ยนเป็นการผลัดเปลี่ยนเวรยามกันมารบกวนนางจนไม่ได้นอนแล้วล่ะก็ นั่นต่างหากที่จะทำให้คนเราหมดความอดทนได้

หากมีเพียงความหนาวเย็น ความมืด และความเงียบมาทรมานนาง ฝ่ายตรงข้ามอาจจะต้องผิดหวัง คนอย่างเฟิ่งชิงเฉินเคยปีนขึ้นมาจากกองศพคนตายมาแล้ว จะให้กลัวความมืดมิดได้อย่างไร คิดว่านางเป็นคุณหนูที่อ่อนปวกเปียกอย่างนั้นหรือ

ส่วนความเงียบสงัดก็ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีเสียงคุยก็ไม่ถึงตายหรอก นางฝึกจิตมาเป็นอย่างดี เอาล่ะ เรื่องความหนาวเหน็บ การที่บนเตียงไม่มีผ้าห่มให้ในช่วงฤดูหนาว นี่ถือว่าเป็นความทรมานระดับหนึ่ง นี่คือการทารุณกรรมผู้ต้องขัง!

ที่นี่ไม่มีใครคุยกับนางเลย ตอนเที่ยงมีคนมาส่งอาหารให้นาง นั่นก็คือข้าวต้มที่เหลวจนแทบจะเป็นน้ำ คนส่งอาหารคนนี้ก็ไม่ยอมพูดกับนางแม้แต่คำเดียว

“นี่จะให้ข้าหิวจนไม่มีเรี่ยวมีแรงวิ่งหนีเลยงั้นหรือ รอบๆตัวข้าก็มีแต่ผนังห้องสี่เหลี่ยม และประตูเหล็กที่สูงเพียงครึ่งเดียวของตัวคน ส่วนช่องระบายอากาศก็ถูกปิดสนิท เมื่อถูกเปิดออกก็มีเพียงชามข้าวชามหนึ่งลอดเข้ามาได้ สถานที่เช่นนี้จะให้ข้าวิ่งหนีได้อย่างไรกันล่ะ” เฟิ่งชิงเฉินทานข้าวต้มที่แทบจะนับจำนวนเม็ดข้าวในชามได้ เมื่อทานเสร็จแล้ว ก็ยื่นถ้วยกลับคืนไปช่องเดิม นางรู้ว่าคนส่งอาหารคนนั้นยังรออยู่ด้านนอก

แล้วก็มีคนมาหยิบถ้วยออกไป แล้วปิดช่องระบายอากาศจนสนิท เมื่อมีเสียงคนเดินจากไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็นั่งอิงผนังพร้อมกับถอนหายใจและเหม่อลอย

“ข้าจะหนีดีหรือว่าไม่หนีนะ? นี่ข้าว่างจะตายอยู่แล้ว มาหาทางออกให้ตัวเองหรือคนต่อไปที่ได้มาอยู่ห้องนี้ดีกว่า” เฟิ่งชิงเฉินเหม่อมองดูผนัง หลังจากนั้นสักพักนางก็ตัดสินใจว่าจะหาอะไรทำ มิฉะนั้นนางคงเบื่อแย่เลย

เฟิ่งชิงเฉินเปิดใช้งานกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ นางเลือกไปเลือกมาก็ค้นหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการหลบหนีได้สำเร็จ เมื่อนางแน่ใจว่าไม่มีใครแอบมองนางอยู่ ก็เริ่มสวมถุงมือ หยิบอุปกรณ์ขึ้นมา แล้วทำการทุบผนังให้แตก

นางจะไม่ขอแก่ตายในคุกฟ้าแห่งนี้เป็นอันขาด จะได้ผลหรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ลองดูสักตั้งเพื่ออนาคตก็แล้วกัน!

เมื่อทราบข่าวที่เฟิ่งชิงเฉินถูกนำตัวไปคุมขัง ตงหลิงจื่อลั่วก็รู้สึกโล่งใจ ตอนแรกเขาก็อุตส่าห์คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีทางหนีทีไล่ โชคดีที่คราวนี้เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

ตงหลิงจื่อลั่วจัดแจงระเบียบของเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปข้างนอก “ไปเตรียมเกี้ยว ข้าจะไปคุกใหญ่ที่ศาลราชวงศ์” มีข่าวดีเช่นนี้ หลานที่แสนดีคนนี้ก็ต้องไปรายงานให้เสด็จอาเก้าได้ทรงทราบก่อนใคร

ในขณะเดียวกัน ก็มีคนที่ไม่อยากให้เสด็จอาเก้าทราบข่าวนี้ นั่นก็คือรัชทายาท

รัชทายาทกลัวว่าเสด็จอาเก้าจะทราบว่าเฟิ่งชิงเฉินโดนคุมขัง เมื่อเขาทราบข่าวว่าตงหลิงจื่อลั่วกำลังมุ่งหน้าไปแจ้งข่าวกับเสด็จอาเก้าที่คุกใหญ่ ก็รีบไปที่คุกใหญ่ในทันที โดยหวังว่าจะไปหยุดตงหลิงจื่อลั่วไว้ได้ทัน

ช่างน่าเสียดายนัก……รัชทายาทมาช้าไปก้าวเดียว เมื่อรัชทายาทมาถึง ก็เห็นตงหลิงจื่อลั่วกำลังสั่งให้เจ้าหน้าที่เปิดประตูห้องขัง

“น้องเจ็ด” รัชทายาทร้องทัก ตงหลิงจื่อลั่วจึงหันหลังไปมอง แล้วทำความเคารพรัชทายาท “ถวายบังคมองค์รัชทายาท ท่านเองก็มาเยี่ยมเสด็จอาเก้าเช่นกันอย่างนั้นหรือ ช่างบังเอิญจริงๆเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินตรงไปยังห้องขัง โดยไม่รอรัชทายาทตอบกลับ

รัชทายาทยังยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่ตงหลิงจื่อลั่วกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย ไม่ให้เกียรติเขาเลยแม้แต่น้อย

รัชทายาทมีแววตาที่ฉุนเฉียว เขาอยากจะเอ่ยปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา ฮ่องเต้โปรดปรานตงหลิงจื่อลั่วเสียยิ่งกว่าอะไร ส่วนตัวเขากลับถูกปฏิบัติอย่างไม่ไยดี

รัชทายาทควบคุมอารมณ์ไว้ แล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน

อยู่ในคุกเช่นเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมของเสด็จอาเก้ากลับดูดีกว่าของเฟิ่งชิงเฉิน ห้องขังของเสด็จอาเก้ามีลมโกรกปลอดโปร่ง แสงสว่างเพียงพอ บนเตียงก็มีผ้าห่มให้ แถมยังมีโต๊ะเก้าอี้พร้อมน้ำชาอย่างครบครัน

เสด็จอาเก้าไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้ามาหลายวันแล้ว แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ก็ยังดูดีมีระเบียบ ไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย แถมเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เสด็จอาเก้ากำลังอ่านหนังสือกองโต ไม่สนใจการมาเยือนของรัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วแม้แต่น้อย

“เสด็จอาพ่ะย่ะค่ะ”

“เสด็จอาเก้า”

ประโยคหน้าเป็นคำเรียกที่นอบน้อม ประโยคหลังเป็นคำชี้แจง

“อืม นั่งสิ” แม้จะอยู่ในสถานะนักโทษ แต่เสด็จอาเก้าก็ยังมีบุคลิกงามสง่า เมื่อรัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วมาเยือน เขาเพียงแต่รับรู้ แต่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

“ขอบพระทัย เสด็จอา(เก้า)” พี่น้องก็คือพี่น้อง รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็มองหน้ากัน แล้วนั่งลงพร้อมๆกัน รัชทายาทแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา

เสด็จอาเก้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นภาพสถานการณ์ตรงหน้าแล้วก็แอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ

ฮ่องเต้มิได้ให้การอบรมสั่งสอนรัชทายาทมาอย่างเหมาะสม ผู้ที่เป็นถึงรัชทายาท กลับมาคิดเล็กคิดน้อยกับน้องชายที่ไม่เอาไหนของตัวเอง

เมื่อทั้งสองนั่งลงแล้ว เสด็จอาเก้าก็ยังคงนิ่งเงียบ แถมยังไม่มองหน้าผู้ใดอีก ใครมองมาก็คงคิดว่านี่คือห้องหนังสือของจวนอ๋องเก้า เหอะๆ……จวนอ๋องเก้าถูกปิดให้เป็นเขตหวงห้าม ห้องหนังสือก็ถูกรื้อค้นจนเละเทะ จะว่าไปแล้วที่นี่ยังดูเป็นระเบียบยิ่งกว่าห้องหนังสือในจวนอ๋องเก้าเสียอีก

“……” เสด็จอาเก้าพลิกหนังสืออ่านหน้าถัดไป ไม่ได้สนใจหลานชายแต่อย่างใด

“จื่อลั่ว ในเมื่อเสด็จอาไม่ได้สนใจที่จะรับฟังข่าว ก็อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมารบกวนเสด็จอาเลยนะ” รัชทายาทเอ่ยกับตงหลิงจื่อลั่ว ก่อนจะหันไปบอกเสด็จอาเก้า “เสด็จอา ท่านอยู่ที่นี่ขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หลานจะไปหามาให้”

“รัชทายาทน้ำใจงามเหลือเกิน” เสด็จอาเก้าตอบกลับสั้นๆ โดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา เป็นการแสดงออกว่าไม่ยินดีต้อนรับพวกเขาเลย

“เป็นสิ่งที่หลานควรทำพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทที่ได้ยินน้ำเสียงอันทระนงแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเสด็จอาเก้าจะก้าวผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายครั้งนี้ได้แน่นอน

ข่าวด่วนที่มาจากทางไกลในระยะ 800 ลี้สามารถปิดบังได้ แต่ข่าวเด็ดบางอย่างกลับมิอาจปิดบังชายผู้นี้ได้เลย รัชทายาทส่งคนไปตามสืบ เรื่องเหตุการณ์ภูเขา 5 ลูกเกิดระเบิด อาศัยการคาดเดาของเขา เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมใน เพราะว่า……เวลามันช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน

ตงหลิงจื่อลั่วได้ยินน้ำเสียงของเสด็จอาเก้าแล้วก็มิได้ขุ่นเคือง แถมยังหาโอกาสชวนคุยด้วยว่า “เสด็จอาเก้า หลานมิได้เอาอกเอาใจเก่งเหมือนรัชทายาทหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นห่วงเป็นใยท่านไปเสียทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่หลานเหมือนกับรัชทายาท ก็คือพวกเราระลึกถึงเสด็จอาเก้าอยู่เสมอ เมื่อได้ทราบข่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินสังหารท่านกั๋วกง จนตอนนี้ถูกคุมขังแล้วเรียบร้อย ก็รีบมารายงานให้เสด็จอาเก้าทรงทราบในทันที”

ตงหลิงจื่อลั่วมั่นใจว่า เมื่อรายงานข่าวนี้ออกไปแล้ว เสด็จอาเก้าต้องเปลี่ยนสีหน้าแน่ ผู้คนในเมืองหลวงของตงหลิงต่างก็รับทราบโดยทั่วกันว่าเสด็จอาเก้าใส่ใจเฟิ่งชิงเฉินเพียงใด

แต่ทว่า……

ตรงกันข้ามกับที่ตงหลิงจื่อลั่วคาดคิด เสด็จอาเก้ายังคงมีท่าทีเย็นชา คำพูดที่พูดไปเมื่อครู่นี้ ไม่ได้แตกต่างจากตอนกล่าวคำทักทายในตอนต้นเลย

รัชทายาทถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ตงหลิงจื่อลั่วกลับไม่ยอม เขากล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินสังหารท่านกั๋วกง เสด็จพ่อทรงมีรับสั่งว่าให้จัดการขั้นเด็ดขาด ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินถูกคุมตัวอยู่ที่คุกฟ้าแล้ว”

“ข้าได้ยินแล้ว จื่อลั่วไม่ต้องพูดซ้ำหรอก” เสด็จอาเก้ายังคงอ่านหนังสือต่อไป ราวกับว่าเนื้อหาในหนังสือน่าสนใจกว่าความเคลื่อนไหวจากโลกภายนอก

เมื่อต้องเผชิญกับท่าทีที่เย็นชาของเสด็จอาเก้า ตงหลิงจื่อลั่วก็หงุดหงิดยิ่งนัก เสด็จอาเก้าที่แสนจะเย็นชาไม่มีจุดอ่อนเลย แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังทรงเหลืออด มีหรือที่เขาจะไม่หงุดหงิดบ้าง

“เสด็จอาเก้า ท่านไม่ทรงห่วงเฟิ่งชิงเฉินเลยหรือ? การสังหารกั๋วกง มีโทษหนักถึงขั้นตัดหัวเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” ไม่ว่าเขาจะพยายามเช่นไร เสด็จอาเก้าก็ไม่หือไม่อือ

“โทษของการฆ่าคนก็ต้องหนักอยู่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินฆ่าคนตาย นางก็สมควรได้รับโทษตามนั้นอยู่แล้วนี่ ทำไมข้าต้องกังวลด้วยล่ะ?” เฟิ่งชิงเฉินฆ่าคนมาแล้วมากมาย ให้ได้รับโทษประหารเป็นร้อยรอบก็ยังไม่สาสม แค่ฆ่ากั๋วกงเพิ่มขึ้นมาอีกคนเดียวจะเป็นไรไปล่ะ ก็คนเหมือนกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน

“แต่ว่าหากเสด็จอาเก้าทรงออกหน้า เฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ” ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวเสริม

“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร จื่อลั่วอย่าลืมสิว่าข้ามีสถานะเป็นนักโทษ อีกอย่างนั่นก็เป็นกฎหมายของบ้านเมือง ต่อให้ข้าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ไม่อาจใช้อำนาจไปฝ่าฝืนกฎหมายได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้คนตายต้องตายไปโดยไร้ซึ่งความยุติธรรม” เสด็จอาเก้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาตงหลิงจื่อลั่ว ดูเหมือนว่าเขากำลังค้นหาข้อมูลบางอย่างในแววตาของตงหลิงจื่อลั่ว

ทำเอาตงหลิงจื่อลั่วหวาดหวั่น เขาพยายามวางตัวให้หนักแน่น เขาหันหน้าไปมองทางอื่นแล้วฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เสด็จอาเก้าแสยะยิ้ม ในแววตาของตงหลิงจื่อลั่ว มีแต่ความเยือกเย็นและไร้ความปรานี

ผู้หญิงตัวคนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง จะทอดทิ้งนางง่ายๆเช่นนี้หรือ? นี่หรือคือผู้ชายที่เป็นสมาชิกราชวงศ์ เสด็จพ่อของเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน อภิเษกแล้วนึกอยากทิ้งผู้เป็นภรรยาก็ทิ้งขว้างไปอย่างง่ายดาย

“เสด็จอาเก้า นี่ท่านจะไม่ทรงช่วยเฟิ่งชิงเฉินจริงๆหรือ จะปล่อยให้นางตายอยู่ในคุกฟ้างั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? เสด็จอาเก้า ขอเพียงท่านยอมเอ่ยปาก เสด็จพ่อจะต้องทรงผ่อนปรนให้เฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน ท่านจะทำเพื่อคนที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยแลกมาซึ่งความตายของเฟิ่งชิงเฉิน มันคุ้มแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ตงหลิงจื่อลั่วไม่เข้าใจเลยจริงๆ นี่ตัวเองมาขอร้องเสด็จอาเก้าเพื่อเสด็จพ่อหรือเพื่อเฟิ่งชิงเฉินกันแน่

เป็นดังที่เสด็จแม่เคยตรัสไว้ไม่มีผิด ผู้หญิง ต่อให้เก่งกาจหรือฉลาดสักแค่ไหน ในสายตาของฮ่องเต้และเสด็จอาเก้าก็เป็นเพียงของเล่นเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางที่จะจริงจังด้วย

เขาเองก็ควรจะเจริญรอยตามเสด็จพ่อและเสด็จอาเก้าไปอีกคน

“จื่อลั่ว เจ้ายังใสซื่อนัก นั่นก็แค่ผู้หญิงเพียงคนเดียว ไม่คู่ควรกับการที่ข้าต้องไปออกหน้าขอความช่วยเหลือ” เมื่อเสด็จอาเก้าพูดจบ สายตาของเขาก็ก้มไปจับจ้องที่หนังสืออีกครั้ง ท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อน……

แต่ผู้หญิงคนนั้นคือเฟิ่งชิงเฉินเชียวนะ……

เฟิ่งชิงเฉินแล้วอย่างไรล่ะ!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท