วัวแม้ไม่ดื่มน้ำ แต่มันก็ยังพยายามยืนหยัดขึ้นมาได้ เสด็จอาเก้าวางท่าเย็นชาไร้ใจ มิสนใจเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหรือตายเช่นนี้ แม้ว่าตงหลิงจื่อลั่วจะโมโห กรุ่นโกรธ ร้อนใจเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเสด็จอาเก้าไปได้
จากคำพูดเยาะเย้ยขององค์รัชทายาทนั้น ตงหลิงจื่อลั่วจึงได้แต่สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป เป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้องค์รัชทายาทเดินนำหน้าไปหนึ่งก้าว พร้อมกับทิ้งองค์รัชทายาทเอาไว้ที่นั่นในทันที
ตงหลิงจื่อลั่วหาได้กลับไปที่วังตนเองไม่ ทว่า เขากลับมุ่งหน้าไปที่วังหลวงแทน การที่เขาไปดูลาดเลาเสด็จอาเก้านั้น เป็นเพราะคำสั่งของเสด็จพ่อนั่นเอง เขาจึงต้องเข้าไปรายงานให้เสด็จพ่อฟัง
แต่เดิมเขาคิดว่า หากเสด็จพ่อได้ยินว่าเสด็จอาเก้าปฏิเสธนั้น พระองค์ย่อมพิโรธแน่นอน ผู้ใดจะไปรู้ว่าเสด็จพ่อกลับแย้มยิ้มพร้อมทั้งเอ่ยคำชื่นชมออกมาแทน “น้องเก้าของเจิ้นผู้นี้ ช่างโมโหง่ายเสียจริง มิผิดเลยที่เป็นสายเลือดของจักรพรรดิองค์ก่อน เชื้อไม่ทิ้งแถวเสียจริง ” ทั้งเลือดเย็น เย็นชาและมีเหตุผลของตนเอง
“เสด็จพ่อ เสด็จอาเก้าไม่ยอมออกหน้าแทนเฟิ่งชิงเฉินเป็นแน่ เช่นนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นหมากที่เสด็จอาเก้าเขี่ยทิ้งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ยังต้องเก็บนางเอาไว้อีกหรือ?” ตงหลิงจื่อลั่วเอ่ยถามด้วยท่าทีระมัดระวัง ถึงแม้ว่าเสด็จพ่อจะโปรดปรานเขา แต่ทว่า
หลังจากเกิดเรื่องคราวก่อนขึ้นนั้น ตงหลิงจื่อลั่วจึงได้เข้าใจแล้วว่า ในราชสำนักหาได้มีคำว่าบิดากับบุตรชายไม่ เสด็จพ่อโปรดปรานเขาเช่นนี้ อีกไม่นานความโปรดปรานนั้นก็ย่อมไม่เหลือ เขาไม่อาจหลงระเริงความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมอบให้จนหลงลืมตนเองไปได้
“ผู้ใดว่ากันว่านางเป็นหมากที่ถูกทิ้ง เจ้าเก้าเอาปิ่นเฟิ่งของเซิ่งหมิ่นฮองเฮาให้นางเช่นนี้ นั่นหมายความว่าตำแหน่งของนางที่อยู่ภายในใจของเจ้าเก้าไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่าได้ถูกใบหน้าที่เย็นชาของเจ้าเก้าหลอกเอาได้ ในเมื่อไม่อาจนำสิ่งของที่จักรพรรดิองค์ก่อนมาให้เจิ้นได้ เช่นนั้นก็ให้เขานำสิ่งของอย่างอื่นมาแลกกับชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่าท่านกั๋วกงจะตายไปแล้ว เรื่องของระเบิดเทียนเหล่ยก็ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน มันจึงทำให้จิตใจขององค์จักรพรรดิรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก แต่เป็นเพราะว่าเขาต้องการทำให้เฟิ่งชิงเฉินมีข้อหาของการฆ่าคนติดตัว เช่นนี้มันจึงทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก ถือว่าเหล่าข้าราชบริพารชั้นล่างจัดการได้ถูกใจเขายิ่งนัก
หลังจากผ่านการลองเชิงมามากมายนับครั้งไม่ถ้วนนั้น ทำให้ฝ่าบาทพอจะมั่นใจได้ว่า ถึงแม้เสด็จอาเก้าจะมิได้สนใจเฟิ่งชิงเฉินถึงสิบส่วน แต่ก็มีความเป็นไปได้ห้าถึงหกส่วนเลยทีเดียว
จื่อลั่วเล่าว่าตงหลิงจิ่วมิได้มีท่าทีสนใจนั้น ย่อมเป็นการเสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน ถ้าหากเขาไม่สนใจละก็ ย่อมต้องทำตัวเป็นว่าสนใจนางเสียเต็มประดา เพื่อให้เขารู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง ย่อมต้องทำให้เขารู้สึกว่า สามารถนำเฟิ่งชิงเฉินมาต่อกรกับเขาได้ เช่นนี้เขาย่อมไม่ปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปแน่
หากจะให้ตงหลิงจิ่วนำสิ่งของที่จักรพรรดิองค์ก่อนมาให้เขา เช่นกองกำลังพร้อมกับอำนาจนั้น การแลกเปลี่ยนกับชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินย่อมเป็นเพียงการลองเชิงเท่านั้น เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าตงหลิงจิ่วจักต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน หากตงหลิงจิ่วตอบตกลงจริง ๆ นั้น เขาย่อมรู้สึกสงสัยว่าตงหลิงจิ่วมีเล่ห์กลอันใดหรือไม่
ตงหลิงในยามนี้ ตำแหน่งของตงหลิงจิ่วนั้นมีอำนาจมากเกินไป นั่นมิใช่เพราะสิ่งของที่จักรพรรดิองค์ก่อนหลงเหลือไว้ให้กับเขาหรือ หากไม่มีสิ่งของพวกนั้น อย่าได้เอ่ยถึงการช่วยเฟิ่งชิงเฉินเลย แม้ว่าตัวของเขาเอง ก็อาจเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน
เขาเองก็ได้คิดที่จะเอาเฟิ่งชิงเฉินมาแลกกับขอพวกนั้นไม่ ที่เขานำตัวเฟิ่งชิงเฉินออกมานั้น ก็เพื่อต้องการนำนางเพื่อมาบีบบังคับให้ตงหลิงจิ่วระงับข่าวลือพวกนั้น เขาเชื่อว่าตงหลิงจิ่วจะเข้าใจในการกระทำของเขา
“เสด็จพ่อ? เสด็จอาเก้าจะยอมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ตงหลิงจื่อลั่วนับได้ว่าเป็นคนที่ฝ่าบาทสนิทสนมด้วย ข่าวลือของเรื่องการระเบิดภูเขาทั้งห้านั้น เขาย่อมรู้เรื่องอยู่แล้ว เพียงแค่ฝ่าบาทพูดขึ้นมา เขาก็เข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
“หากเจิ้นถอยให้เขาหนึ่งก้าว เขาย่อมตกลง สิ่งที่เจิ้นต้องการหาได้มากมายไม่ พอเถอะ เรื่องของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ไม่ต้องรับร้อน รอจนกว่าเจ้าเก้าจะร้อนใจไปเอง เช่นนี้เรื่องทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน” องค์จักรพรรดิพูดขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจ สองวันที่ผ่านมานั้น มีเรื่องราวชวนให้น่าปวดหัวมากมายเกินไป จนทำให้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิไม่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก ทว่า ในยามนี้มันกลับฟื้นฟูขึ้นมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว
ไม่อาจไม่พูดได้เลยว่า คนในราชสำนักเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านความงามยิ่งนัก เมื่อเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาทที่ดูเปล่งปลั่งขึ้นมานั้น ราวกับไม่เหมือนสภาพทรุดโทรมและชราภาพในวันก่อนเลยแม้แต่น้อย
“เสด็จพ่อทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก”ตงหลิงจื่อลั่วมิใคร่ยอมรับนัก เขาที่เห็นกับตาว่า เสด็จอาเก้าหาได้มีท่าที เป็นเดือดเป็นร้อนอันใดเมื่อได้ยินข่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องเข้าคุกเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่เชื่อว่า เสด็จอาเก้าจะยอมทิ้งหมากที่ตนเองวางไว้ทั้งหมดไปอีกด้วย
ยิ่งข่าวลือถูกแพร่กระจายไปมากเท่าใด การจัดการเรื่องราวของฝ่าบาท ก็จะยิ่งตึงมือมากเท่านั้น เช่นนี้เสด็จอาเก้าก็จะยิ่งปลอดภัยมากกว่าเดิม เสด็จอาเก้าจะนำความปลอดภัยของตนเองมาเปลี่ยนให้เฟิ่งชิงเฉินออกจากคุกงั้นหรือ
ทว่า คำพูดนี้เขาไม่กล้านำไปทูลกับองค์จักรพรรดิ ตงหลิงจื่อลั่วจึงได้แต่ค่อย ๆ ขอตัวลาออกมาแทน หลังจากที่ได้รับคำอนุญาตขององค์จักรพรรดิแล้วนั้น เขาจึงได้ไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่ตำหนัก หลังจากผ่านเรื่องราวในคราก่อนมาแล้วนั้น สุขภาพของฮองเฮาก็มิสู้ดีเหมือนการก่อนนัก เกรงว่า แม้ว่าจะได้รับความโปรดปรานขององค์จักรพรรดิกลับมา ความรุ่งโรจน์ก็ไม่อาจฟื้นคืนเหมื่อนกาลก่อนได้
เมื่อไม่มีตระกูลฝั่งมารดาคอยเป็นกำลังให้แล้วนั้น จึงได้แต่รอคอยอำนาจที่องค์จักรพรรดิมอบให้ รวมไปถึงความเมตตาที่ฝ่าบาทมอบให้เท่านั้น หากฝ่าบาทต้องการให้พระนางเดินไปทางทิศตะวันออก พระนางย่อมมิกล้าเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก หากฝ่าบาทต้องการให้นางทำสิ่งใด นางย่อมไม่อาจอิดออดไม่ทำได้ เช่นนี้ การเป็นฮองเฮายังจะมีความหมายอันใดอีกงั้นหรือ
เมื่อเข้าสู่ยามราตรี ยามที่ลมหนาวพัดผ่านเข้ามานั้น หิมะก็พลันปลิวไสวไปมา แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ทั่วทั้งวังหลวงพลันมีแต่หิมะปกคลุมไปในทันที พื้นสีขาวพลันสว่างจ้าไปโดยพลัน ทั่วทั้งท้องถนนไม่เห็นแม้แต่เงาผู้คนที่สัญจรไปมาเลยแม้แต่น้อย
อาภรณ์ชุดดำ พร้อมกับหน้ากากสีเงินครึ่งหน้าของหลานจิ่วชิงก็ปรากฏตัวขึ้น ย่อมทำให้เขาดูเป็นที่โดดเด่นมากขึ้นไปอีก แม้ว่าเขาจะเป็นจุดสนใจมากมาย ผู้อื่นก็เป็นที่สนใจเช่นเดียวกัน หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว รอยเท้าก็ถูกปกปิดไปโดยพลัน ผู้ที่ไล่ตามเขามาย่อมเป็นการยากที่จะตามตัวเขาได้ หลานจิ่วชิงจึงปลอดภัยในยามที่เขาเดินบนหิมะ
หลังจากที่เลี้ยวอ้อมไปมาภายในเมืองหลวงอยู่นาน หลานจิ่วชิงพลันมาที่ห้องลับจวนตระกูลซูในทันที เป็นเวลาเดียวกันกับเมื่อวาน ซูเหวินชิงยังคงทำงานหามรุ่งหามค่ำ พร้อมด้วยอาการป่วยของตนเอง
“แค่กแค่ก แค่กแค่ก” ยังมิทันไร เขาก็ไอติดต่อกันมาสองสามครั้งแล้ว แต่ทว่าซูเหวินชิงหาได้สนใจไม่ ลำคอของเขาในยามนี้แห้งกระหายน้ำยิ่งนัก เขาจึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบไปสองสามที เพื่อให้ปอดของตนรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น
หลานจิ่วชิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เหวินชิง เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้เจ้าพักผ่อนเยอะ ๆ มิใช่หรือ เจ้ามิต้องทำงานหนักมากนัก”
“จิ่วชิงมาแล้วหรือ” ซูเหวินชิงเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองเท่านั้น ในครานี้เขาเริ่มทำตัวดีขึ้นแล้ว ไม่กล้าลุกขึ้นยืนเร็ว ๆ อีก เพียงโบกมือทักทายหลานจิ่วชิงเท่านั้น หลานจิ่วชิงจึงได้เดินเข้าไปหาเขา พร้อมกับกดสิ่งของที่อยู่ในมือของซูเหวินชิงลงไป “พอแล้ว เจ้าไปพักผ่อนหน่อยเถิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของเจ้าจะแย่เอาได้ ร่างกายของเจ้าหาได้เหมือนข้ากับปู้จิงหยุนไม่ พวกข้าล้วนแต่มีกำลังภายใน แม้มิได้หลับไม่ได้นอนหลายวัน ก็มิเป็นอันใดมากนัก”
“เช่นนั้นข้าก็ขอเอาแต่ใจหน่อยก็แล้วกัน ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย” หลังจากที่ซูเหวินชิงลงมือไปหลายครั้ง แต่ก็มิได้ผลลัพธ์อะไรติดไม้ติดมือกลับมา เขาจึงได้วางมือ พลางถอนหายใจออกมา “จิ่วชิง หมากในกระดานตึงเครียดถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่พยายามได้หรือ ในยามนี้เฟิ่งชิงเฉินก็มาถูกจับตัวไปอีก หากพวกเรายังมิคิดทำอะไร เกรงว่าจะเป็นผลเสียมากกว่าดีไปได้”
“มิต้องรีบร้อน เฟิ่งชิงเฉินนับว่าเป็นหมากที่ดีต่อเสด็จอาเก้า ฝ่าบาทจะปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นอันใดไปได้อย่างไรกัน หากเฟิ่งชิงเฉินตายไปในยามนี้ ย่อมไม่มีราคาอันใดแล้ว” นัยน์ตาของหลานจิ่วชิงพลันทอประกายเย็นชาและเลือดเย็นออกมาในทันที
ทว่า เรื่องที่ท่านกั๋วกงตายไปนั้น มิรู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใดเป็นคนทำกันแน่ แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นผลดีต่อฝ่าบาทยิ่งนัก
“แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจยืดเยื้อมันออกไปได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อฝั่งเรา” ซูเหวินชิงก็เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี แต่ทว่า แผนการในครานี้มันตึงเครียดเกินไป เป็นพวกเขาที่โดนกระทำมากไปแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่าบาทย่อมใช้กำลังบีบบังคับ จนเขาได้เปรียบไปอย่างแน่นอน
แต่ในยามนี้ หาใช่โอกาสที่ดีในการแสดงไพ่ในมือของตนเองไม่ หากพวกเขาผลีผลามเปิดไพ่ในมือเมื่อใด พวกเขาก็จักกลายเป็นเป้าโจมตีไปในทันที
“ผู้ใดบอกว่าเราจะยืดเวลาออกไปกัน ระเบิดเทียนเหล่ยในคราก่อน นำมาให้ข้าทั้งหมด” การที่หลานจิ่วชิงมาปรากฏตัวในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะว่าเขามีแผนต่อกรแล้วต่างหาก
แผนลอบกัดเช่นนี้ คิดว่าพวกเขาทำมิได้หรือ
จวนกั๋วกงมิใช่เป็นหนึ่งในสี่ของกั๋วที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นหรือ เป็นหนึ่งในจวนที่เป็นแรงสนับสนุนต่อราชสำนักยิงนัก การที่พวกเขาจ้องจะเอาชีวิตเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่สนใจสืบคดีความให้ละเอียดนั้น เช่นนั้น เขาก็จะทำลายจวนกั๋วกงเอง มาดูกันเสียว่า ผู้ใดยังกล้าที่จะมาเอาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินไปอีก
ถ้าหากว่าเป็นจวนกั๋วกงที่ก่อเหตุขึ้นเองละก็ เช่นนั้นท่านกั๋วกงก็สมควรตายแล้ว เมื่อไม่มีจวนกั๋วกงเช่นนี้ ด้วยความสามารถของหวังจิ่นหลิงกับหยุนเซียว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะพลิกคดีนี้ขึ้นมาใหม่ จนแม้แต่จักรพรรดิก็ไม่อาจบังคับได้
เขาเองก็มิเชื่อว่า การชนเพียงเท่านั้น จะสามารถทำให้คนเป็นกลายเป็นคนตายไปได้
ก่อนหน้านั้น เป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของปู้จิงหยุน เขาจึงมิกล้าลงมือสังหาร มิกล้าทำลายจวนกั๋วกงลงไป เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่าปู้จิงหยุนจะกลับไปก็ไม่มีความหมายอันใดอีกแล้ว แต่ทว่า สถานการณ์ในยามนี้นั้น
ทำให้เขาต้องโหดเหี้ยมขึ้นมาเสียไม่ได้!
นัย์ตาของซูเหวินชิงพลันเปล่งประกายขึ้นมาในทันที “เจ้าต้องการระเบิดจวนกั๋วกงงั้นหรือ ?” ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาจะรีบส่งข่าวไปให้ปู้จิงหยุนดีใจในทันที
“แผนการต่ำ ๆ เช่นนั้น ข้าไม่ทำหรอก” หากระเบิดจวนกั๋วกงเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินย่อมต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อรวมเรื่องระเบิดเทียนเหล่ยเข้าไปนั้น อย่าได้หวังว่านางจะมีชีวิตที่เป็นอิสระไปเลย
“เช่นนั้น เจ้าต้องการระเบิดเทียนเหล่ยไปทำอันใด พวกเราเหลือมันไม่มากแล้ว หากเจ้าจะใช้มันเพื่อลงดาบละก็ นับว่าสิ้นเปลืองยิ่งนัก” ซูเหวินชิงพลันลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งเดินไปนำระเบิดเทียนเหล่ยมาให้ซูเหวินชิง พร้อมทั้งกล่าวกำชับไปพร้อม ๆ กัน
หลานจิ่วชิงมิได้ตอบอันใดกลับไป นั่นเป็นเพราะ
เขาต้องการใช้มันอย่างสิ้นเปลืองอย่างไรละ!