หลังจากที่หวังจิ่นหลิงอธิบายเรียบร้อยแล้ว แม้องค์รัชทายาทจะไม่พึงพอใจ แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าอนุญาตให้เย่เย่แบกโลงศพเข้ามาด้านใน “ข้าก็อยากจะเห็นนัก ว่าของขวัญของคุณชายเย่ที่อุตส่าห์จะเตรียมมานั่นคือสิ่งใด”
เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากคำพูดของหวังจิ่นหลิง องค์รัชทายาทโยนความผิดทั้งหมดไปที่เย่เย่โดยไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินกระทำการไม่เหมาะสม เมื่อองค์รัชทายาทกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ จึงไม่กล้าพูดอะไร หวังจิ่นหลิงสั่งให้คนรับใช้เดินทางไปบอกเฟิ่งชิงเฉิน
ผู้คนภายในห้องโถงราวกับนัดกันเอาไว้ พวกเขาแต่ละคนตอบรับพร้อมกับคำขององค์รัชทายาทว่าอยากจะเห็นนักถึงของขวัญที่คุณชายเย่จัดเตรียมมา ดังนั้น…… ทุกคนจึงต่อแถวเรียงลำดับจากตำแหน่งงสูงไปต่ำ โดยมีองค์รัชทายาทอยู่ตรงกลาง แล้วเรียงลำดับไปเรื่อยๆ
แม้จะไม่มีคนก้าวออกมาจัดแจง แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้เฉลียวฉลาด ลำดับของพวกเขาไม่มีใครยืนผิดที่เลย องค์รัชทายาท ซีหลิงเทียนเหล่ยยืนอยู่ข้างหน้าสุด หนานหลิงจิ่นฝาน ซีหลิงเทียนอวี่ หวังจิ่นหลิง ชุยห้าวถิง และตี๋ตงหมิงถอยออกไปครึ่งเก้า คนอื่นๆ ก็ถอยหลังออกไปอีก……
เฟิ่งชิงเฉินและเย่เย่เดินนำมาข้างหน้า โดยมีชายรูปร่างกำยำแปดคนแบกโลงศพสีดำสองโลงเข้ามา พวกเขายังไม่ทันเดินมาใกล้ องค์รัชทายาทก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเย่ช่างให้เกียรติยิ่งนัก ของขวัญชิ้นนี้ทำให้พวกเราต้องรอที่นี่อยู่เนิ่นนาน”
ประโยคที่กล่าวออกมาโดยไม่มีบริบทอื่น เพียงพอที่จะชี้ให้เห็นว่าองค์รัชทายาทไม่พึงพอใจ
เขาไม่ไว้หน้าเท่าไรนัก เพราะเขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ส่วนเย่เย่คือบุตรชายของเจ้าเมืองเย่ แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเขาอยู่ในจวนเฟิ่ง แต่กลับกล้าแบกโลงศพเข้ามาทำความไม่สงบ
เฟิ่งชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้ได้ว่าหวังจิ่นหลิงได้เกลี้ยกล่อมองค์รัชทายาทเป็นผลแล้ว องค์รัชทายาทจึงจดจำความแค้นนี้ไว้ที่เย่เย่ จึงหันไปทางหวังจิ่นหลิงพยักหน้าเบาๆ เป็นความหมายว่าขอบคุณ
แค่กๆ…… ฝีเท้าของเย่เย่หยุดลง “องค์รัชทายาทกล่าวเกินไปแล้ว เย่เย่ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความไม่พึงพอใจแก่ฝ่าบาท ของขวัญชิ้นนี้เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้แบกเข้ามา” เย่เย่กำมือแน่นแล้วเหลือบมองไปทางหวังจิ่นหลิง
เจ้าคนเจ้าเล่ห์!
หวังจิ่นหลิงยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจสิ่งใด หากมีความสามารถพอก็เปิดโปงเขาสิ
“เหอะ……!” องค์รัชทายาทส่งเสียงอันเยือกเย็นออกมา เนื่องจากคำนั้นของหวังจิ่นหลิง องค์รัชทายาทจึงได้เดินตรงเข้าไปนั่งในตำแหน่งของตน และไม่อยากเชื่อคำพูดของเย่เย่ หากว่าเย่เย่ไม่บีบบังคับล่ะก็เฟิ่งชิงเฉินจะอนุญาตให้แบกโลงศพเข้ามาด้านในจวนได้อย่างไร?
“ในเมื่อแบกเข้ามาแล้ว คุณชายเย่จงเปิดออกเถิดให้ข้าได้เห็นว่าของขวัญอันพิเศษของคุณชายเย่และน่าแปลกประหลาดนี้คือสิ่งใด” ก่อนหน้านี้หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาว่าในโลงไม้ดูเหมือนมีสิ่งของอยู่ ดังนั้นองค์แล้วจะหายากจึงไม่รีรอให้เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากก่อน เขาจึงถามขึ้นทันใด
เย่เย่ชะงักลงเล็กน้อย ต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นดูไม่พึงพอใจเท่าไรนัก สายตาเหลือบไปมองทางหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ย เป็นการเอ่ยถามว่า พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรไป เหตุใดให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นนี้
องค์รัชทายาทเอ่ยถามขึ้นมาก่อนได้ว่าข้างในโลงสนั่นมีอะไร ทำให้เขาพลาดโอกาสระบายอารมณ์กับสิ่งของที่อยู่ในโลงศพนี้ ของที่อยู่ในโลงศพจะนำไปมอบให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้……
หนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยส่ายหน้าบ่งบอกถึงความขอโทษ พวกเขาไร้ความสามารถ ให้เย่เย่คิดหาวิธีเอง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะให้เย่เย่แบกโลงศพเข้ามาข้างใน และคิดไม่ถึงว่าหวังจิ่นหลิงจะช่วยทำลายชื่อเสียงของเย่เย่แท่นเฟิ่งชิงเฉิน
เรื่องราวดำเนินไปเกินกว่าที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้ แม้ว่าผลลัพธ์จะเหมือนกันแต่มองดูก็รู้ว่าเย่เย่กำลังเสียเปรียบ พวกเขาจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ไม่เช่นนั้นคงจะเปรอะเปื้อนไปด้วยตามๆ กัน
ล้อเล่นหรืออย่างไร การที่ให้เย่เย่ออกหน้านั่นหมายความว่าพวกเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะให้โยนฟืนเข้าไปในไฟก็พอได้ แต่ให้พอเขาออกศึกเองน่ะหรือ ฝันไปเถิด
ถูกต้องแล้ว เย่เย่ถูกหนานหลิงจิ่นฝานและซิลิงเทียนเหล่ยใช้งาน แต่เขากลับไม่รู้ตัว
เมื่อไม่มีใครช่วย เย่เย่จึงทำได้เพียงต้องพึ่งพาตนเอง เขามองไปทางองค์รัชทายาทด้วยสายตาอันเยือกเย็น เย่เย่พยายามเผชิญหน้าด้วยแรงกดดันของคนทั่วไปแล้วกล่าวอย่างหน้าด้านๆ ว่า “ฝ่าบาทเข้าใจผิดไปแล้ว สิ่งของที่ข้าจะมอบให้คือโลงศพทั้งสองโลงนี้ แต่ของข้างในนั่นข้าไม่ให้”
ว่าอย่างไรนะ?
ของในโลงศพจะไม่มอบให้แล้ว?
มีใครมอบของขวัญแล้วเอากลับคืนอย่างนี้กัน?
ประโยคนี้ของเย่เย่เมื่อกล่าวออกมาทุกคนก็มองไปทางเขาด้วยสายตาดูถูก
เขาเป็นถึงคุณชายของเมืองเย่ ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน ตี๋ตงหมิงใช้ตัวตนอันพิเศษของตนกล่าวขึ้นว่า “คุณชายเย่ช่างใจกว้างยิ่งนัก นำของขวัญมาให้แต่กลับให้เฉพาะกล่องด้านนอก และเก็บของขวัญกลับไป ใครไม่รู้คงคิดว่าโลงศพของคุณชายเย่นี่ทำมาจากทอง”
“ท่านซื่อจื่อ โลงศพนี้ไม่ได้ทำมาจากทองหรอก เป็นเพียงแค่โลงศพไม้ธรรมดาเท่านั้น อย่างมากก็มีค่าเพียงแค่สิบตำลึง” ทงเหยาก้าวขึ้นไปกล่าวหลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วยแล้วโค้งคารวะ
“สิบตำลึงหรือ? ของขวัญเพียงแค่นี้กล้าที่จะนำออกมาได้อย่างไร…… อ๋อข้าลืมไป คุณชายเย่มีอะไรไม่กล้าทำอีก แม้แต่ค่ารักษาของเฟิ่งชิงเฉินก็ยังติดเอาไว้ ยังไม่จ่ายเลย ดังนั้นการที่จะให้ของขวัญเพียงแค่ราคาสิบตำลึงก็พอจะเข้าใจได้ คุณชายเย่เมืองเย่ของท่านยากจนมากใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็จงบอกกับพวกเรามา เงินจำนวนมากพวกเราอาจจะไม่กล้ากล่าว แต่สักพันตำลึง จวนเซียวชินอ๋องของข้าก็ยังพอมีหยิบยื่นให้ได้”
ตี๋ตงหมิงอ้าปากกล่าวขึ้นอย่างดุเดือดราวกับปืนใหญ่ที่พุ่งออกไป ยิ่งกล่าวยิ่งไม่รู้จบ เย่เย่ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้างขึ้น หลายต่อหลายครั้งที่ต้องการจะเอ่ยขัดประโยคของตี๋ตงหมิง แต่ตี๋ตงหมิงกล่าวอย่างรวดเร็วเสียงดัง ทำให้เขาไม่อาจแทรกแซงคำพูดไปได้เลย
“ที่แท้คุณชายเย่ท่านมีความทุกข์ใจเรื่องนี้นี่เอง คุณชายเย่เหตุใดจึงไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า หากท่านไม่พูดพวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมืองเย่นั้นยากจน หากว่าเงินจำนวนมากพวกเราอาจไม่กล้ารับปาก แต่หากคุณชายเอ่ยปากขอก็เงินจำนวนหนึ่งหมื่นสองหมื่นตำลึง ตระกูลหวังของเราก็ยังพอช่วยเหลือได้” ในเมื่อตี๋ตงหมิงเอ่ยขึ้นก่อนแล้วหวังจิ่นหลิงเองก็ไม่เกรงใจและรีบเหยียบซ้ำทันที
หากเป็นตามปกติทั่วไปแล้วเขาจะไม่ทำเรื่องซ้ำเติมใครเช่นนี้ แต่ใครกันเล่าสั่งให้เย่เย่มาหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉินในวันที่สำคัญเช่นนี้ก่อน
“ขอขอบคุณความหวังดีของท่านทั้งสอง เมืองเย่ของเราขาดแคลนสิ่งใดก็ไม่มีวันขาดแคลนเงินทองอย่างแน่นอน” เย่เย่รู้สึกโมโหเมื่อเห็นตี๋ตงหมิงและหวังจิ่นหลิงพากันเอ่ยดังนั้น เขากัดฟันกรอดและตะโกนออกมา
“ไม่ขาดแคลนก็ไม่ขาดแคลนสิ คุณชายเย่จะพูดจาเสียงดังเช่นนั้นทำไม กลัวพวกเราไม่ได้ยินงั้นหรือ? ในเมื่อคุณชายเย่ไม่ขาดแคลนเงินทอง เช่นนั้นก็เชิญจ่ายค่ารักษามาเถิด ไม่มาก…… เพียงแค่หนึ่งพันตำลึงทอง ข้าคิดว่าคุณชายเย่คงจะไม่ขาดแคลนเงินทองเล็กน้อยเพียงเท่านี้” เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้ว่าของที่อยู่ในโลงศพนั้นสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นเย่เย่คงไม่กล้ากล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา
“ก็แค่ทองสองพันตำลึงไม่ใช่หรือ อืมไว้วันหลังข้าจะให้คนนำมาให้” เย่เย่พูดขึ้นอย่างใจกว้าง แม้เขาจะรู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากร้องขอเกินเหตุไปและกำลังนำมีดชี้จ่อมาที่คอของเขา แต่ในเมื่อเขากล่าวไปแล้วจึงไม่กล้าที่จะกลับคำ
“ไว้ให้ในคราหลัง?”
หากข้าต้องการเงินจริงๆ จะรอจนถึงบัดนี้หรือ
“เหอะๆ……” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มด้วยความเยือกเย็น “คุณชายเย่ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่านแต่ว่า…… ค่ารักษานั้นท่านติดเงินมาเนิ่นนานแล้ว ไว้ให้ในคราวหลัง คราวหลังคือเมื่อไหร่กัน?”
“คุณชายเย่อย่าได้โมโหชิงเฉินไป ชิงเฉินไม่ได้มีเงินทองมากมายเช่นคุณชายเย่ แต่ในเมื่อคุณชายเย่ไม่อาจรักษาค่าพยาบาลเหล่านั้นได้ ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ คุณชายเย่เพียงนำของขวัญที่หอบมาเอาไว้ให้ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว ชิงเฉินจะถือว่านี่คือค่ารักษา”
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นด้วยประโยคอันโหดเหี้ยมว่า ไม่ใช่ไม่จ่ายค่ารักษา แต่เพราะไม่มีปัญญาจะจ่าย นั่นก็หมายความว่าเมืองเย่ยากจนเหลือเกิน
แต่ตี๋ตงหมิงกลับพูดขึ้นเอ่ยชมจากใจจริงว่า “ชิงเฉินช่างเก่งกาจยิ่งนัก เมื่อทำเช่นนี้ก็สามารถช่วยคุณชายเย่จัดการกับปัญหาใหญ่ได้ คุณชายเย่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณหรอก เพียงแค่ทองสักหนึ่งพันตำลึง พวกเราไม่เห็นในสายตา”
“ข้าบอกแล้วว่าข้ามีเงินอยู่ที่เมืองเย่ เมื่อกลับไปแล้วจะสั่งให้คนนำมาให้ อย่าว่าแต่หนึ่งพันตำลึงเลย ต่อให้เป็นหนึ่งหมื่นตำลึงข้าก็มี!” เย่เย่พยายามถกเถียง น่าเสียดายที่ทุกคนในที่นั่นดูเหมือนจะไม่ได้ยิน
อย่าลืมไปว่าที่นี่คือจวนเฟิ่ง เป็นถิ่นฐานของเฟิ่งชิงเฉิน เย่เย่ทำเลวแล้วยังแสร้งทำเป็นคนดี ฝันไปเถอะ!