ไข่มุกเม็ดงามเช่นนี้ มิใช่เขาผู้เดียวที่มองเห็น เสด็จอาเก้ามิคิดเลยว่า ในใต้หล้าจะมีผู้ใดสายตาเฉียบคมเช่นเขาอีก ถึงได้มองเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นไข่มุกเม็ดงามเช่นนี้ได้
ตระกูลหยุนที่เมินเฉินต่อคำตัดสินคนจากภายนอก ทั้งยังคิดมาสู่ขอเฟิ่งชิงเฉิน แม้นางจะมีชื่อเสียงเสื่อมเสียเช่นนี้ ไม่อาจพูดได้เลยว่า หัวหน้าตระกูลหยุนร้ายกาจยิ่งนัก
เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก ที่ลงมือไว มิเช่นนั้น หากเฟิ่งชิงเฉินที่มีใจมุ่งมั่นชอบชีวิตที่เรียบง่ายนั้น ไม่แน่นางอาจจะคิดพิจารณาที่จะแต่งเจ้าตระกูลหยุนก็เป็นได้ อีกทั้งข้อเสนอของตระกูลหยุนที่ให้มานั้น ก็เป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการตำแหน่งฮูหยินเอกอีกด้วย และยังเป็นตำแหน่งนายหญิงของตระกูลหยุนอีกเช่นกัน
การไร้ข้อสงสัยเช่นนี้ นับได้ว่ามีผลต่อความใสบริสุทธิ์ต่อเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก ขอเพียงแค่นางแต่งเข้าตระกูลหยุนไป ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลหยุนนั้น นางย่อมมิต้องถูกข่าวลือที่ไร้สาระรบกวนนางไปชั่วชีวิต ชั่วชีวิตนี้ของนางย่อมใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นสุข ด้วยความสามารถของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว นางนับว่าเอาตัวรอดจากจวนหลังบ้านได้อย่างสบาย
ทว่า แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่า ชีวิตเช่นนี้นับว่าเป็นชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับสตรีที่ต้องการจะออกเรือน แต่ทว่าเสด็จอาเก้ากลับไม่อาจยอมรับได้
ความสุขของเฟิ่งชิงเฉินนั้น มีเพียงเขาที่ให้ได้เท่านั้น ผู้ใดก็ไม่อาจให้ได้ อีกทั้งเขาก็จะมิยินยอมให้เฟิ่งชิงเฉินรับด้วยเช่นกัน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอยากแต่งเข้าตระกูลหยุนงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้ากอดเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้แน่น สายตาพลันวาวโรจน์ เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมิตอบอันใดนั้น เขาก็ถามย้ำอีกครั้งในทันที
เขากลัว เขากลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเสียใจ ที่ต้องมาตามติดเขาที่ไร้ชื่อและไร้ตำแหน่งเช่นนี้
แต่งเข้าตระกูลหยุน? แน่นอนว่านางไม่คิด อีกทั้งนางย่อมไม่ตอบคำถามที่ไร้สาระของเสด็จอาเก้าเช่นนี้ด้วย มันไม่ค่าที่ควรตอบ หากนางต้องการแต่งกับใครสักคน ในคราแรก นางย่อมไม่ปีนขึ้นไปบนเตียงของเสด็จอาเก้าหรอก
ทว่า เมื่อเห็นท่าทีที่จริงและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของเสด็จอาเก้านั้น ก็อดที่จะทำให้นางตอบไปตามตรงไม่ได้ โอกาสดีๆ เช่นนี้ นางย่อมทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกตื่นตระหนกเสียหน่อย
เฟิ่งชิงเฉินพลันเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังออกมาว่า “ตระกูลหยุนนับว่าไม่แย่ อีกทั้งยังจริงใจอีกด้วย พวกเขาไม่คิดสนใจชื่อเสียงของหม่อมฉันเสียด้วยซ้ำ การที่หม่อมฉันจะเข้าไปเป็นนายหญิงของตระกูลหยุน นับว่าไม่ยากเกินไป”
“เจ้าต้องการเป็นนายหญิงตระกูลหยุน?” เสด็จอาเก้าพลันเพิ่มเสียงพูดขึ้น พร้อมกับกล่าวเป็นพลันวันออกมา
“หม่อมฉันไม่เหมาะหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันเอ่ยถามกลับด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม สายตาพลันปรากฏไออันตรายออกมา
หากเสด็จอาเก้ากล้าพูดว่าไม่เหมาะ นางจะเตะเสด็จอาเก้าอีกสักที หากว่าเสด็จอาเก้าบอกเหมาะ แล้วนางควรจะตอบกลับเช่นไรดี
น่าเสียดาย เสด็จอาเก้าหาใช่คนโง่ไม่ ที่จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา พร้อมทั้งกล่าวออกมาเป็นเชิงคำขู่ด้วยว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอยากจะเป็นนายหญิงของตระกูลหยุนงั้นหรือ? เปิ่นหวางจะบอกอะไรกับเจ้าสักอย่าง เจ้าฝันไปเถอะ เปิ่นหวางไม่ยอม หากเจ้ากล้าตอบรับเทียบสมรสของตระกูลหยุนละก็ เปิ่นหวางก็กล้าส่งทัพเคลื่นไปที่เมืองหยุน พร้อมทั้งถล่มเมืองหยุนให้ราบเป็นหน้ากลองเลยทีเดียว เปิ่นหวางอยากจะรู้นัก ว่าเจ้าจะแต่งให้ผู้ใดได้อีก”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เสด็จอาเก้าจึงพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดว่าเปิ่นหวางมีดีแค่พูด หากเจ้ามิเชื่อก็ลองดู หากเจ้ากล้าตอบรับเทียบเชิญสมรสของตระกูลหยุนเมื่อใด เปิ่นหวางก็กล้าทำลายตระกูลหยุนเช่นกัน เปิ่นหวางจะทำให้คนในตระกูลเกลียดเจ้าไปชั่วชีวิตเลย”
หากกล่าวว่าประโยคแรกเป็นคำขู่ เช่นนั้นประโยคหลังก็เป็นประโยคเอาชีวิต เสด็จอาเก้าค่อย ๆ เพิ่มแรงขึ้นมาเรื่อย ๆ ราวกับว่าจะบีบให้เฟิ่งชิงเฉินแหลกสลายคามือไปในทันที
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหายใจไม่ออกยิ่งนัก ไอสังหารที่เสด็จอาเก้าแผ่กระจายออกมารุนแรงยิ่งนัก ทำเอานางรู้สึกมึนงงไปครู่หนึ่ง นางมิคิดเลยว่าคำพูดที่เลื่อนลอยของนาง จะทำเอาเสด็จอาเก้าโมโหได้ถึงเพียงนี้ รวมไปถึงคิดที่เคลื่อนทัพของตนเพื่อนางอีกด้วย
นาง เฟิ่งชิงเฉินมีคุณธรรมและความสามารถเพียงใดกัน ถึงได้รับความรักมากมายจากบุรุษผู้นี้ แม้ว่าตนเองจะมีชื่อเสียงที่โหดร้ายก็ตามแต่
เฟิ่งชิงเฉินมิกล้าร้องโอดครวญออกมา อีกทั้งยังมิกล้าดิ้นไปมาอีกด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็ต้องใช้แรงต่อกรกับเสด็จอาเก้า พร้อมกับพูดออกมาด้วยความมั่นใจและแน่วแน่ว่า “ไม่มีทาง หม่อมฉันย่อมไม่ยินยอมแต่งกับผู้ใด ทั้งยังไม่ตอบรับคำขอของตระกูลหยุนอีกด้วย ไม่ว่าตระกูลหยุนจะดีมากเพียงใด ไม่ว่าการจะเป็นนายหญิงของตระกูลหยุนจะดีเพียงใดนั้น ก็หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับหม่อมฉันไม่ ข้า เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ จะไม่”
เฟิ่งชิงเฉินกลัวจริง ๆ ว่าเสด็จอาเก้าจะยกทัพไปที่เมืองหยุน นางกลัวบุรุษผู้นี้ยิ่งนัก เพื่อนางแล้ว เสด็จอาเก้าสามารถฆ่าล้างตระกูลหยุนได้ นางเชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะทำได้ แต่นางไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น นางมิต้องการเป็นตัวโชคร้ายของผู้ใด
หากเสด็จอาเก้าต้องการยกทัพไปที่เมืองหยุนจริง ๆ สิ่งที่เขาวางแผนมานานจะไร้ประโยชน์ไปในทันที และจะไม่มีที่ยืนในตงหลิงให้กับเสด็จอาเก้าอีกต่อไป เขาก็จะกลายเป็นโจรที่ทุกคนตามจับไปทั่วกัน
หากรู้ว่า เสด็จอาเก้ามิได้มีตำแหน่งเป็นชินอ๋องนั้น อีกทั้งเสด็จอาเก้าหาได้มีอำนาจทางการทหารไม่ หากเขาต้องการเคลื่อนพลไปที่เมืองหยุนนั้น นั่นหมายถึงการก่อกบฏ และนี่ก็จะเป็นหอกที่อยู่ในมือชั้นดีของฝ่าบาทเลยทีเดียว
ไม่ได้ นางไม่อาจให้เสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ได้
เฟิ่งชิงเฉินกอดเสด็จอาเก้าเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับจะเป็นการบอกเสด็จอาเก้าอย่างไรเสียงว่า นอกจากพระองค์แล้ว นางก็ไม่ต้องการใครอีก ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชั้นดีมากเพียงใด นางเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เอา นางต้องการเพียงตงหลิงจิ่วเท่านั้น
นี่ก็เพียงพอแล้ว!
เสด็จอาเก้าพลันโล่งอกออกมาในทันที ขอเพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินมิยินยอมแต่งออกไป เขาก็มิจำเป็นต้องกังวลสิ่งใดอีก หยุนเซียวนับว่ามิได้อันตรายมากนัก เสด็จอาเก้าค่อย ๆ ปล่อยเฟิ่งชิงเฉินออกมา เพื่อให้นางหายใจได้สะดวก เขาไม่อาจทำให้เฟิ่งชิงเฉินถูกรัดจนตายได้
หากต้องหาเพิ่มอีกคน ให้เหมือนเฟิ่งชิงเฉินนั้น ย่อมไม่มีทางเจอแน่!
ก่อนหน้านั้นเขาได้ยินข่าวมาแล้วว่า ตระกูลหยุนมาทำการสู่ขอเฟิ่งชิงเฉิน ทว่าเขาหาได้สนใจไม่ เขาไม่เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินนางจะแต่งให้กับหยุนเซียว ถ้าหากเฟิ่งชิงเฉินยินยอมแต่งให้หยุนเซียวนั้น ในคราแรกนางย่อมมิปฏิเสธหวังจิ่นหลิงไปแล้ว
หากเทียบกับหยุนเซียวแล้วนั้น หวังจิ่นหลิงนับว่าเป็นตัวอันตรายมากกว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีการป้องกันตัวจากหวงจิ่นหลิงเลยไม่ แม้แต่การป้องกันระหว่างชายหญิงก็ไม่มี
เพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เสด็จอาเก้าพลันรู้สึกว่าตนเองควรจะต้องบอกอะไรกับเฟิ่งชิงเฉินเสียหน่อยแล้ว ความอดทนของเขานั้น เสด็จอาเก้าพลันจับตัวเฟิ่งชิงเฉินให้ยืนตรง พร้อมกับหันมาประจันหน้ากัน ดวงตาทั้งสี่ดวงพลันสบตากันในทันที
เสด็จอาเก้าพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจังว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจำคำพูดของเปิ่นหวางเอาไว้ นอกจากเปิ่นหวางแล้ว ไม่ว่าผู้ใดเจ้าก็ไม่อาจแต่งออกไปได้ หากเจ้ากล้ารับคำละ เปิ่นหวางจะฆ่ามันผู้นั้นเสีย ดูเสียว่าเจ้าจะแต่งให้ผูัใดกัน”
“ต้องโหดร้ายเช่นนี้เลยหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินที่ได้ยินเช่นนั้น ทั่วร่างพลันรู้สึกชาวาบไปทั่วตัว เหตุใดนางถึงรู้สึกกลายเป็นคนบ้าเล่า?
“โหดร้ายหรือ? หากคำพูดของเปิ่นหวางโหดร้ายละก็ เปิ่นหวางคงฆ่าทุกคนที่มีใจต่อเจ้าแล้ว หวังจิ่นหลิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น” เสด็จอาเก้าพลันหรี่ตาลง สายตาพลันฉายแววอันตรายออกมา ราวกับว่ากำลังจ้องเหยื่อของตน เฟิ่งชิงเฉินคล้ายว่าจะเห็นไฟสีเขียวในดวงตาของเขาในทันที
“หวังจิ่นหลิงเป็นสหายของข้า เป็นเพียงแค่สหาย ท่านอย่าได้คิดมากไป” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจจริง ๆ แต่เดิมเป็นเสด็จอาเก้าที่ปลอบนาง เหตุใดถึงกลับกลายมาเป็น เสด็จอาเก้ากำลังข่มขู่นางได้เล่า
มันไปผิดพลาดที่ใดกัน?
“เป็นเพียงสหายงั้นหรือ? หากเป็นเพียงสหายละก็ เจ้าจะตื่นตระหนกไปไย เจ้ากังวลแทนเขา?” เสด็จอาเก้าพลันหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา แสงเทียนคล้ายว่าจะริบหรี่ไปตามแรงลมในทันที สีหน้าของเสด็จอาเก้าแลดูมืดมนและเย็นชายิ่งนักคล้ายกับปีศาจก็ไม่ปาน
เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่า การเปลี่ยนหัวข้อเรื่องในคราวนี้ช่างโง่งมยิ่งนัก วนไปวนมา กลับกลายเป็นการรัดนางให้ตายแทน นางช่างโง่เง่าเสียจริง เหตุใดถึงไม่เรียกหัวข้อที่ดูปลอดภัยมากกว่านี้
“อะไรกัน? หาเหตุผลมามิได้หรือ?” เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ตอบนั้น ความโกรธก็กำลังจะปะทุออกมาพอดี ในคราวก่อนเขามิได้พูด เนื่องจากว่าเขามิได้โดนเหยียดหยาม เขาไม่อาจหยิ่งผยองเช่นนั้นได้ ทว่าในยามนี้ เขาถูกกุมขังอยู่ในคุกของศาลราชวงศ์ ย่อมไม่มีเวลามาดูแลระแวดระวังเช่นนี้ เขาจึงต้องพูดออกมาให้เข้าใจโดยทั่วกัน เพื่อมิให้สตรีผู้นี้เกิดความสับสน
เขายังไม่ลืมเรื่องของหุบเขาไท่ลู่เก๋อ และเขาก็เชื่อว่าหวังจิ่นหลิงเองก็จะไม่ลืมเช่นกัน มิเช่นนั้น หวังจิ่นหลิงคงไม่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมและฉับไวกับเหล่าผู้นำอาวุโสภายในตระกูลเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ลังเลที่จะเขย่ารากฐานของตระกูลหวัง เพื่อควบคุมอำนาจของภายในตระกูลหวังอีกด้วย
“เรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอันใดกัน หม่อมฉันกับจิ่นหลิงความสัมพันธ์ของพวกเราล้วนขาวสะอาด พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน และก็เป็นได้แค่สหายเท่านั้น” ถึงแม้ว่านางจะรู้จักหวังจิ่นหลิงในระยะเวลาไม่นาน แต่สำหรับนางแล้วนั้น หวังจิ่นหลิงคล้ายกับสหายเก่าของนางยิ่งนัก ทั้งความเข้าใจ ความเข้าขากัน ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจลงมือกับสหายของนางได้
ความคุ้นเคยเช่นนี้ นางไม่อาจลงมือได้
หากลงมือได้ นางคงลงมือไปแล้ว นางจะมาเปิดโอกาสให้เสด็จอาเก้าได้อย่างไรกัน นางย่อมไม่ลืม ในคราแรกเสด็จอาเก้าทำตัวร้ายกาจเพียงใด ทั้งยังหยอกล้อนางราวกับลิง
“เจ้าคิดกับเขาเพียงสหาย แต่เขาหาได้คิดเช่นนั้นไม่” เสด็จอาเก้าเชื่อใจเฟิ่งชิงเฉิน แ่เขามิเชื่อใจหวังจิ่นหลิง หากแต่เขาก็รู้ดีว่า สถานการณ์ของหวังจิ่นหลิงนั้น ไม่อาจสื่อสารกับเฟิ่งชิงเฉินได้ เพราะว่าสมองของเฟิ่งชิงเฉินตายด้านยิ่งนัก
“ท่านคิดมากไปแล้ว หวังจิ่นหลิงหาใช่คนเช่นนั้นไม่” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากปกป้องหวังจิ่นหลิง
“หึ” เสด็จอาเก้าพลันส่งเสียงฮัดฮัดออกมาด้วยความเย็นชา พร้อมทั้งรอดูว่ากลยุทธ์การเกลี้ยกล่อมของเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นเช่นไร เขามิจำเป็นต้องพูดอันใดออกไปอีก เนื่องจากว่าถึงพูดไปเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เชื่อ
เฟิ่งชิงเฉินจำได้ว่า นางเคยบอกกับหวังจิ่นหลิงแล้ว ว่าทั้งนางและเขาเป็นได้เพียงสหาย ชั่วชีวิตนี้ก็เป็นได้แค่สหายเท่านั้น มันจะไม่เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นอีก
เฟิ่งชิงเฉินย่อมไม่รู้จักธรรมชาติของบุรุษ ถึงแม้ว่าจะเป้ฯสหายคนสนิทก็จริง หากแต่เมื่อได้ใกล้ชิดกัน หวังจิ่นหลิงถึงได้เข้าใจว่า หากเขาไม่ตกปากรับคำ แม้แต่คำว่าสหายเขาก็ไม่อาจเป็นกับเฟิ่งชิงเฉินได้
เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ ยามที่จะเถรตรงนั้นก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก ทว่า แม้ความรู้สึกจะลดน้อยลงไปเพียงเล็กน้อยนั้น ในเมื่อนางขีดเส้นความสัมพันธ์เอาไว้แล้ว ถึงตายก้ไม่อาจเปลี่ยนไปได้
เช่นเดียวกันกับเฟิ่งชิงเฉินที่ได้พบเขาในคราแรกนั้น ไม่ว่าเขาจะร้ายกาจเช่นไร ไม่ว่าจะเมินเฉยนางแค่ไหน นางก็ยังคงวิ่งเข้ามาหาโดยไม่สนสิ่งใดอยู่ดี
ภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ทุกคนมีจุดยืนในความสัมพันธ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นญาติ คนรัก เพื่อนที่สานสัมพันธ์ สหายคนสนิท นางล้วนแต่ขีดเส้นเอาไว้ชัดเจน อีกทั้งยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายอีกด้วย
เสด็จอาเก้ามิรู้ว่าความรักความแค้นที่เฟิ่งชิงเฉินขีดเส้นเอาไว้มันดีหรือไม่ดีกันแน่
พอเถอะ ในยามนี้หาใช่เวลามาพูดคุยเรื่องนี้ไม่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและรอยน้ำตาที่เปรอะเปื้อนอยู่นั้น เสด็จอาเก้าก็รู้สึกดียิ่งนัก
หลังฝนตกท้องฟ้ามักจะโปร่งใสเสมอ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินออกตากความแค้นและความเศร้าเสียใจได้แล้วนั้น การที่เขาหลบหนีออกมาจากคุกนั้น เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินใจเย็นลง ก็นับว่าไม่ไร้ประโยชน์มากไปนัก ฉะนั้นแล้ว ในยามนี้พวกเขาควรจะมาคุยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นเสียที
เรื่องของฮูหยินเฟิ่งนั้น เขาไม่อาจพูดสิ่งใดได้ ในฐานะฮองเฮาของแผ่นดินนั้น การปลิดชีพฮูหยินนายพลหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ แต่ทว่า ฮองเฮากลับเก็บกวาดการกระทำของตนเองไม่สะอาด ความลับถึงได้หลุดออกมาเช่นนี้
จึงได้แต่บอกว่าฮองเฮาดวงซวยยิ่งนัก ที่มายั่วยุดาวแห่งความโชคร้ายเช่นเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ หากเป็นคนปกติแล้วนั้น เพียงแค่ล่วงรู้ความจริงก็ได้แต่อดทนเอาไว้ เนื่องจากเป็นเกียรติที่ได้สละชีวิตเพื่อราชวงศ์
โดยเฉพาะการตายของแม่ทัพเฟิ่ง เขาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าใจได้ ว่าเรื่องนี้หาได้ง่ายดายไม่ แม้ว่าฉากหน้าจะเป็นการกล่าวว่าฝ่าบาทหลงใหลในอิสตรี จึงทำให้สะสางงานกองทัพได้ล่าช้า แต่ความจริงมันเป็นเช่นนั้นหรือ?
เสด็จอาเก้าไม่เชื่อ!
สาวงามผู้นั้นปรากฏตัวได้เหมาะเจาะเกินไป เสด็จพี่ของเขาหาได้เป็นคนที่หลงใหลในอิสตรีจนลืมงานบ้านงานเมืองเช่นนี้ และยังมีซานตงตระกลูหลูอีก อีกทั้งพอท่านแม่ทัพเฟิ่งตายไปแล้วนั้น พวกเขาก็หายไปจากตงหลิงในทันที
เขาหาได้คิดที่จะแก้ตัวแทนเสด็จพี่ของเขาไม่ เขาเพียงแต่หวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมิได้ไปแก้แค้นผิดคน!