นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 687 โจ๊กหนึ่งชามแลกชีวิตข้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“ท่านอาจารย์……”

ซุนซือสิงดวงตาแดงเรื่อ แววตาแห่งความยุติธรรมและเมตตาส่องประกาย ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินสามารถเห็นแสงส่องออกมาจากร่างกายของเขา แสงนั้นห่อหุ้มซุนซือสิงเอาไว้เป็นประกายจางๆ

เป็นจริงดังนั้น เขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอและมีจิตใจอันโอบอ้อมอารีดังที่คนอื่นไม่มี ซุนซือสิงดูบริสุทธิ์กว่านางมากเหลือเกิน แต่คนที่บริสุทธิ์ขาวผ่องเช่นนี้จะใช้ชีวิตต่อไปในโลกกว้างได้อย่างไร

ช่างปวดหัวยิ่งนัก!

เดิมทีนางก็เคยเป็นคนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา น่าเสียดายเหลือเกินที่สภาพความเป็นจริงของชีวิตนี้ทำให้นางต้องกลายเป็นดั่งแก้วที่ถูกทุบจนแตกร้าว

เห้อ……เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา นางตบลงไปที่บ่าของซุนซือสิงเบาๆ “อย่าได้รู้สึกเสียใจไปเลย พวกเขาโชคดียิ่งนักที่ได้พบเข้ากับผู้ใจบุญมาบริจาคอาหาร ลองนึกถึงคนที่อดอยากจนแทบตายเหล่านั้นดูสิ เจ้าจะพบว่า…… ในโลกนี้ไม่มีคำว่าน่าสงสารที่สุด เมื่อเปรียบเทียบได้เพียงว่าใครน่าสงสารกว่ากัน ดังนั้นเจ้าจงเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้เถิด เพราะสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้หลั่งน้ำตาไปก็ไร้ผล”

ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาปกป้องความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนาง ดังนั้นบัดนี้นางจึงต้องการจะเข้าปกป้องซุนซือสิงอย่างเต็มที่ และให้ผู้คนชื่นชอบในความบริสุทธิ์ของเขาเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง……ถึงวันที่นางไม่อาจปกป้องซุนซือสิงได้ และหากว่ากว่าจะถึงวันนั้น นางจะต้องให้ซุนซือสิงมีความเติบโตแข็งแกร่งขึ้น เพราะไม่ฉะนั้นก็จะต้องถูกทำลายลง

ซุนซือสิงไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดเรื่องใดอยู่ เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวดังนั้นก็รีบพยักหน้า ดวงตาดำขลับนั้นใสประกายดุจดั่งลูกแก้ว ราวกับสามารถสะท้อนความ อยุติธรรมทั้งหลายในโลกนี้ออกมาได้ ชั่ววินาทีนั้น เฟิ่งชิงเฉินเห็นตัวของนางเองในดวงตาของเขา และพบใครคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยจิตใจโหดเหี้ยม

ซุนซือสิงพลิกมือกลับแล้วกุมมือของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปอย่างใจร้อน “ท่านอาจารย์ พวกเราไปที่ห้องตรวจเถิด ที่นั่นคงจะมีคนไข้รออยู่มากมายทีเดียว อากาศอันหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเขา…… คาดว่าคงจะทนได้ไม่นาน เรารีบไปกันเถิด จะได้ช่วยคนได้มากขึ้นกว่าเดิมสักสองสามคน”

ซุนซือสิงท่าทางดูสง่างามและสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้รับผลกระทบด้านใดๆ

“อืม” เฟิ่งชิงเฉินรีบดึงสติกลับคืนมา แล้วเดินตามซุนซือสิงเข้าไปด้านใน

ครั้งก่อน การบริจาคอาหารให้แก่ประชาชนทำให้เสด็จอาเก้าถูกผู้คนชื่นชมยกย่อง ในครั้งนี้เป็นการบริการรักษาโรคเพื่อประชาชน นางต้องการจะผลักดันซุนซือสิงด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้…… ต่อให้ไม่มีนางในอนาคตซุนซือสิงก็จะมีคนคอยคุ้มกันปกป้อง

เฟิ่งชิงเฉินวางแผนไว้เช่นนั้น ส่วนเรื่องความคิดเห็นของซุนซือสิงน่ะหรือ หากเจ้าหมอนี่รู้ว่านางเปิดโรงพยาบาลเพื่อประชาชนโดยมีจุดประสงค์อื่นล่ะก็ คงจะรู้สึกคัดค้านและบอกว่าอย่าจัดตั้งขึ้นเสียดีกว่า

น่าเสียดาย ความคิดนั้นมักจะงดงามเสมอ แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย เฟิ่งชิงเฉินและคนอื่นๆ ยังไม่ทันเดินไปได้กี่ก้าว ก็ได้ถูกน้ำเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นขัดจังหวะ

พวกเขาพบว่าบริเวณแจกอาหารนั้นเกิดเรื่องขึ้น

เมื่อชายคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่กำยำไม่รู้ว่าพุ่งมาจากที่ใด เข้าแทรกตัวเข้ามาทำให้ ผู้คนที่เข้าแถวรอรับโจ๊กต้องวุ่นวาย ผู้ประสบภัยทั้งหลายพากันตกอกตกใจ ดูเหมือนสถานการณ์กำลังจะย่ำแย่ขึ้น

คนจากจวนซูที่ถูกส่งมาให้แจกจ่ายอาหารและโจ๊กมีปฏิกิริยาอันว่องไว รีบส่งคนออกมาจากการสยบสถานการณ์ให้สงบลง และให้ทุกคนเข้าแถวรอรับโจ๊กต่อไป ทั้งยังให้การรับประกันว่าอาหารที่พวกเขาเตรียมมานั้นเพียงพอต่อทุกคน แน่นอนว่าทุกคนจะต้องได้โจ๊กคนละหนึ่งชามโดยไม่ต้องกังวลใดๆ

หลังจากทำการปลอบใจเกลี้ยกล่อมชาวบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จำแนกแจกจ่ายอาหารก็ตั้งใจจะสอบถามถึงจุดประสงค์ที่ชายคนเมื่อครู่กระทำ แต่กลับได้ยินเสียงดัง “พลั่ก” คนผู้นั้น คุกเข่าลงตรงหน้าที่แจกอาหาร หลังของเขาแบกชายชราวัยคนหนึ่งไว้

“โปรดให้อาหารแก่ข้าสักชามเถิด แล้วชีวิตของข้าจะเป็นของท่าน” ชายหนุ่มและชายชราทั้งสองคนสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางๆ เผยผิวหนังออกมาด้านนอก ซึ่งมันเย็นเสียจนแดงเรื่อ พวกเขาทั้งสองดูน่าสมเพชเวทนากว่าทุกคนที่ต่อแถวรออยู่

ผู้แจกอาหารมองไปทางอีกฝ่ายหนึ่งและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา จากนั้นทำการแจกจ่ายอาหารให้แก่คนอื่นต่อไป “พวกเจ้าเดินไปข้างหน้า อย่าได้มาขัดขวางคนอื่นๆ ที่รอรับอาหาร”

“ได้โปรดขอร้องเถิด ให้อาหารขาสักชาม เพียงแค่พวกท่านให้อาหารข้าสักชาม ชีวิตของข้าก็จะมอบให้พวกท่าน ได้โปรดขอร้องเถิด” เมื่อชายผู้คุกเข่าบนพื้นเห็นดังนั้นก็ได้ก้มหัวลงคารวะกระแทกพื้นดังปังๆๆ……เสียงนั้นดุจดั่งเสียง ฟ้าผ่าอึมครึม ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกเจ็บปวดเข้าไปในหัวใจ

ชายหนุ่มจะไม่คุกเข่าให้ผู้ใดง่ายๆ ประโยคนี้มีไว้สำหรับบรรดาผู้สูงส่ง แต่กับคนธรรมดาเช่นนี้แล้วเพียงแค่โจ๊กหนึ่งชามก็คุ้มค่าที่เขาจะคุกเข่าร้องขอโดยไม่ต้องสงสัย

ศักดิ์ศรีไม่มีค่าเท่ากับชีวิต อีกอย่าง หากจะเอาชีวิตเข้าไปแลกกับศักดิ์ศรีอันน่าขันนั้นก็พอจะเข้าใจได้ แต่หากจะต้องเอาชีวิตของคนในครอบครัวไปแลกกับศักดิ์ศรีอันไร้ค่านั้น ช่างไม่คุ้มค่าเลย……

“ได้โปรดขอร้องเถิด ให้โจ๊กแก่ข้าสักชาม ช่วยเหลือพ่อของข้าด้วย ขอร้องพวกท่านโปรดช่วยเราด้วยเถิด” เมื่อชายหนุ่มพบว่าไม่มีผู้ใดให้โจ๊กแก่เขา ก็ได้ใช้ศีรษะโขกลงไปบนพื้นอย่างไม่หยุดหย่อนจนมีเลือดไหลซึมออกมา แต่ผู้ที่แจกจ่ายอาหารกลับไม่มีท่าทางใดๆ

“ท่านอาจารย์” ซุนซือสิงดึงชายเสื้อของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ต้องการจะให้เฟิ่งชิงเฉินออกหน้า แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย

นางไม่รู้หรอกว่าฉากที่เห็นตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นสิ่งที่ซูเหวินชิงตั้งใจให้กระทำ เพราะหากจะให้พูดตามความจริงแล้วนั้นคงไม่น่าฟังเท่าไรนัก ต่อให้รู้ซาบซึ้งเพียงไรก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยความตั้งใจ

“นายท่าน ได้โปรดให้โจ๊กแก้เขาสักชามเถิด……”

“นั่นสินั่นสิ น่าสงสารยิ่งนัก เขาแบกชายชราไว้บนหลังเช่นนั้นคงจะใช้แรงมากน่าดู”

“หากไม่กินอาหารเข้าไปเสียบ้าง ชายหนุ่มคนนั้นอาจจะทนไหว แต่ชายชราจะทนอยู่ได้อย่างไร”

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าประชาชนที่นี่ช่างน่ารักเหลือเกินและยังใจดีมีเมตตา แม้ว่าพวกเขาจะถูกคนหลอกลวงบังตา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่มีความเมตตายิ่งนัก เป็นคนที่มีจิตใจดี เมื่อเห็นคนอื่นกำลังตกที่นั่งลำบากว่าตนเองก็อดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจ เพียงแต่ว่า……

ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกนี้จะมีไม่ได้

ทุกคนล้วนทำตามกฎที่ตั้งเอาไว้ มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้ที่รู้สึกรีบร้อนกว่าคนอื่นและแทรกตัวเข้ามาด้านในทำลายแถวที่คนอื่นตั้งไว้รอ หากมีสักคนสองคนยังไม่เท่าไหร่ ทว่าหากทุกคนเป็นเช่นนี้ก็คงจะเอาแต่บอกว่าตนน่าสงสารแล้วทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมด แล้วการเข้าแถวรับโจ๊กนี้จะมีไว้เพื่ออะไรอีกเล่า

ทุกคนที่ยืนรอรับโจ๊กกับหมั่นโถวมีคนไหนบ้างที่ไม่น่าสงสาร มีคนไหนบางที่ไม่ได้หิวโหย มีคนไหนบ้างไม่น่าเวทนา

ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งดูท่าทางเป็นธรรมก้าวขาออกมากล่าวว่า “นายท่านของพวกเราตั้งโรงอาหารเพื่อการกุศลนี้ขึ้นมาไม่ได้หวังสิ่งอื่นใด หวังเพียงแค่ว่าทุกคนจะสามารถข้ามผ่านภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้ เจ้าพาชายชราผู้นี้มาเพื่อร้องขออาหารก็ไม่ผิด แต่จะต้องทำดังเช่นทุกคนที่ทำกัน นั่นก็คือเข้าแถวเพื่อรอรับ ไม่เช่นนั้นหากทุกคนเป็นดั่งเช่นชายผู้นี้ที่เข้ามาแทรกแถว โรงอาหารเพื่อการกุศลของเหล่านี้ก็คงไม่อาจจะทำต่อไปได้”

“พ่อของข้า พ่อของข้า ได้โปรดช่วยพ่อของข้าเถิด แล้วชีวิตของข้าจะเป็นของท่าน” ชายหนุ่มผู้นั้นเข้ามากอดขาเขาเอาไว้ และร้องขอไม่หยุดเสียง

การที่หญิงสาวใช้น้ำตาและน้ำเสียงออดอ้อนให้คนอื่นเห็นใจ ทุกคนล้วนเคยเห็น แต่ใครก็ตามที่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงจะเข้าใจว่า สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกปวดใจไม่ใช่น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของชายหนุ่ม แต่มันคือเลือด……

วินาทีนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความพยายาม

“ท่านอาจารย์” ซุนซือสิงดึงชายเสื้อของเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้งเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้าไปช่วยเหลือ นางทำได้เพียงถอนหายใจออกมา

เอาเถิด การที่นางมีลูกศิษย์ ที่เมตตาอารีเช่นนี้นับว่าเป็นบุญ เฟิ่งชิงเฉินมองดูจากสถานการณ์แล้วก็ได้กระซิบข้างหูซุนซือสิงสองสามประโยค ซุนซือสิงรู้สึกสงสัย แต่จากนั้นเขาก็พยักหน้าตอบรับ เขาวางกล่องยาในมือลงแล้วเดินไปยังโรงทาน ตามคำสนับสนุนของเฟิ่งชิงเฉิน

ซุนซือสิงสนทนากับผู้ดูแลโรงทานแจกจ่ายจำหน่ายแจกจ่ายอาหาร หลังจากที่ผู้ดูแลได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วก็พยักหน้าติดกันด้วยท่าทางดูนอบน้อม เมื่อซุนซือสิงกล่าวจบก็ไปยืนอยู่ด้านข้าง เอามือไขว้หลังทำท่าทางดุจดั่งผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรู้

ผู้ดูแลโรงทานก้าวไปข้าง แล้วกล่าวกับชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “คุณชายของข้าก่อตั้งโรงทานนี้ขึ้นถ้าหาได้หวังผลตอบแทนใด อย่ากล่าวว่าเพียงให้โจ๊กชามหนึ่งแล้วชีวิตเจ้าก็จะเป็นของเรา หากเจ้านายของข้าต้องการชีวิตของพวกเจ้าก็คงไม่มาเปิดโรงทานเช่นนี้หรอก นายท่านหวังเพียงแค่ให้ประชาชนทุกคนมีอาหารกินและเสื้อผ้านุ่งห่ม เพียงแค่ประชาชนทุกคนมีความสุขเจ้านายของข้าก็ดีใจมากแล้ว”

“ดูท่าทางพ่อของเจ้าไม่ค่อยดีนัก พวกเราจะให้คนพาเขาไปทำการตรวจร่างกายก่อนที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชน เจ้านายของข้าได้ส่งหมอมาที่นี่แล้ว หากพวกเจ้าทุกคนมีใครรู้สึกไม่สบายล่ะก็สามารถไปหาหมอได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษา วินิจฉัยอาการหรือค่ายาล้วนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เจ้านายของข้าได้บอกเอาไว้แล้วว่า เขาจะพยายามทำทุกทางให้ทุกคนได้มีกลิ่นมีเครื่องนุ่งห่ม และไม่เจ็บไม่ป่วย หรือหนาวตาย”

“โอ้ ท่านเทพบุตร ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน พวกเราขอเพียงแค่มีอาหารกินและมีเครื่องนุ่งห่มไม่อดตายไม่หนาวตาย พวกเราไม่อยากตายเช่นนั้น”

ไม่รู้ว่าใครกันที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา ทำให้ทุกคนที่ยืนต่อแถวรับอาหารอยู่ ณ ที่นั่นพากันรู้สึกซาบซึ้ง แต่ละคนก้มหน้าน้ำตานองแล้วพึมพำว่า “พวกเราไม่อยากหิวตาย”

“พวกเราไม่อยากหนาวตาย”

……

“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบเถิด วางใจเถิด ในอนาคตพวกเราอาจไม่รู้ชะตากรรม แต่ในที่นี้ ข้าขอกล่าวแทนเจ้านายข้าว่าทุกคนจะไม่หิวตายและหนาวตายอย่างแน่นอน”

เมื่อประโยคสุดท้ายนี้เขากล่าวอย่างก้องกังวาน ทำให้ทุกคนพากันตื้นตัน

“พวกเราวางใจ พวกเราวางใจแน่นอน หากมีโจ๊กและหมั่นโถวก้อนโตเช่นนี้ พวกเราจะหิวตายได้อย่างไร”

“อีกทั้งยังมีหมอ หากมีหมออยู่ที่นี่ด้วย พวกเราจะไม่กลัวสิ่งใด”

“ฮือๆๆ……นายท่าน บุตรชายของข้าเมื่อปีก่อนหกล้มขาหัก จะรักษาเขาได้หรือไม่?”

“นายท่าน สามีข้านอนป่วยอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานาน รักษาได้หรือไม่?”

“นายท่าน บุตรสาวข้าถูกไฟลวกใบหน้า รักษานางให้หายได้หรือไม่?”

ไม่ว่าคนที่รับอาหารไปแล้วหรือยังไม่ได้รับอาหารล้วนพากันเอ่ยออกมา อากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ และสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าบอกว่าในบ้านของตนไม่มีคนป่วย

อาการเจ็บป่วยนั้นหากรักษา อาจทำให้เงินทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ทั้งชีวิตต้องหมดไป หรืออาจต้องชายบุตรชายหญิง บัดนี้มีโอกาสอันดี แน่นอนว่าทุกคนต้องรีบคว้าเอาไว้

“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ หากมีคนไข้จงนำพวกเขามาที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชน นายท่านของเราได้เชิญหมอจากร้านยาตระกูลหยุนมาด้วย และยังมีศิษย์จากสำนักหมอหลวง หากมีพวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเจ้าอย่าได้กลัวไป”

ประโยคที่ว่า “พวกเจ้าอย่าได้กลัวไป” ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจ “ผู้ช่วยชีวิตของเรา ช่างมีจิตใจสูงส่งยิ่งนัก”

“รอดแล้ว พวกเรารอดแล้ว”

“พวกเรารอดแล้ว”

“ฝ่าบาททรงพระเจริญ”

ตุ้บ……ผู้คนทั้งหลายพากันคุกเข่าลง แล้วหันหน้าไปทางพระราชวังก่อนจะทำความเคารพ เนื่องจากคนที่นี่กล่าวว่านายท่านของพวกเขาอยู่ทางนั้น

ฝ่าบาท? องค์จักรพรรดิ?

มิใช่สิ……หากเป็นองค์จักรพรรดิ เหตุใดจึงต้องปิดบังชื่อเช่นนี้ หึๆ ชาวบ้านเหล่านี้คิดว่าผู้ที่มาช่วยพวกเขาให้รอดพ้นคือจักรพรรดิหรือ?

เสด็จอาเก้า เจ้าช่างไม่ลืมจัดการองค์จักรพรรดิเหลือเกิน แม้แต่ในเวลาเช่นนี้

บรรยากาศในแถวอบอุ่นขึ้นมาทันใด เฟิ่งชิงเฉินเองที่อยู่ ณ ที่นั้นด้วยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นเช่นกัน นางมองไปด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความสุข เฟิ่งชิงเฉินพบว่าตัวนางมีหยดน้ำตาออกมาจากหางตา

เพียงแค่ช่วยเหลือคน ต่อให้มีจุดประสงค์อื่นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยการกระทำของพวกเขานี้ก็สามารถช่วยผู้คนได้……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท