เมื่อนาทีก่อนตี๋ตงหมิงยังเตะทหารอย่างเย่อหยิ่ง แต่วินาทีนี้เขากลับยืนอยู่ที่นั่นอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ชาวบ้านกล่าวหาและตำหนิ……
เมื่อต้องเผชิญกับการตำหนิของชาวบ้านเช่นนี้ ตี๋ตงหมิงกลับไม่สามารถพูดอะไรได้ เนื่องจากข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้าเขา ทหารเหล่านี้ต่างหากที่ทำร้ายชาวบ้าน โดยไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา
ความตั้งใจของเขาในชีวิตนี้คือการปกป้องประเทศชาติ เช่นเดียวกันกับทหารทั่วไป ใช้มือจับอาวุธ ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยชีวิตของเขา ปกป้องประเทศด้วยชีวิตของเขา แต่ตอนนี้เล่า?
เขาไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องประชาชนเหล่านี้ได้ แล้วเขามีคุณสมบัติอะไรในการไปปกป้องประเทศชาติ
ตี๋ตงหมิงก้มศีรษะลงอย่างเงียบๆ ด้วยความรู้สึกผิดบนใบหน้า
เขามาช้า หากเขามาเร็วกว่านี้ โศกนาฏกรรมที่นี่ก็จะไม่เกิดขึ้น และคนเหล่านี้จะไม่ถูกทุบตีด้วยชามโจ๊กและหมั่นโถวเช่นนี้
อนิจจา……เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา เรื่องนี้ไม่สามารถตำหนิตี๋ตงหมิงได้ ตี๋ตงหมิงเป็นคนดี บุตรชายของตระกูลขุนนางคนหนึ่งมีจิตใจนึกถึงคนธรรมดาเช่นนี้ เขาไม่โกรธด้วยซ้ำเมื่อถูกชาวบ้านด่าทอ
หากเป็นคนอื่นละก็ เขาเดินทางมาช่วย แต่กลับถูกชาวบ้านตำหนิ คาดว่าคงจะรำคาญและถูกจับกุมไปอย่างแน่นอน แต่ตี๋ตงหมิงไม่ได้ทำแบบนั้น เขายืนอยู่ที่นั่นเพื่อให้ผู้ประสบภัยตำหนิดุด่า
นิสัยแบบนี้ไม่รู้ว่าดีหรือไม่กันแน่ บรรดาขุนนางที่ไม่ชื่นชอบความรุนแรงเป็นเรื่องดีสำหรับประชาชน แต่สำหรับตัวขุนนางเองนั้นเรียกได้ว่าถึงขั้นอันตรายชีวิต พวกเขาไม่ชื่นชอบความไม่ถูกต้อง เช่นนี้จะพัฒนาตนในวงการขุนนางอันมืดมิดนี้ได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินมองไปแล้วกังวลเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตของตี๋ตงหมิง เมื่อพบว่าบรรยากาศดูน่าเศร้ามากยิ่งขึ้น เฟิ่งชิงเฉินจึงจำเป็นต้องก้าวออกมา “หยุด ทุกคนอย่าได้เศร้าโศกไปเลย วันนี้ท่านซื่อจื่อเดินทางมาช้าไปหน่อย ดังนั้นจงให้เขาชดใช้ โจ๊กและหมั่นโถวให้พวกเรากลับคืนมา”
หากให้ตี๋ตงหมิงทำเรื่องราวบางอย่างเป็นการชดเชยอาจจะทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง และทำให้ผู้ประสบภัยเหล่านั้นรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ เนื่องจากว่าหากไม่มีตี๋ตงหมิง พวกเขาส่วนมากอาจจะไม่รอดพ้นจากอันตรายในครั้งนี้ ตี๋ตงหมิงจึงนับได้ว่าเป็นผู้กอบกู้ชีวิตพวกเขาเอาไว้
“เอาล่ะ ได้ ในวันนี้อาหารที่ถูกคนพวกนั้นทำลายทิ้งไป ข้าตี๋ตงหมิงจะชดเชยให้พวกท่านเอง พี่น้องทั้งหลาย…… จงไปตามพวกทหารเฝ้าเมืองมา ทหารราบเก้าประตูพวกนั้นกล้าดีอย่างไรที่ออกมาทำร้ายชาวบ้านแบบนี้ ข้าเองก็จะนำทหารเคลื่อนไหวเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน ก็แค่การต่อสู้ไม่ใช่หรือ ใครจะกลัวใครกันเล่า อีกประเดี๋ยวข้าจะทำการจัดการพวกมันอย่างดุเดือด ทุกคนก็เช่นกัน หากมีผู้เสียชีวิต จวนเซียวชินอ๋องของข้าจะรับผิดชอบเอง”
ตี๋ตงหมิงพูดออกมาด้วยความเย่อหยิ่ง ท่าทางของเขาไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับตกใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ ทหารราบเก้าประตูส่งทหารมางั้นหรือ?”
เรื่องนี้ จับปล่อยไปง่ายๆ ไม่ได้
“ใช่แล้ว ลูกน้องของข้ามารายงานว่าทหารราบเก้าประตูส่งกำลังพลออกมานับพันคน กล่าวว่าจะมาจับกุมกบฏ” และนี่คือเหตุผลที่ตี๋ตงหมิงรู้สึกโมโหเป็นยิ่งนัก เดิมทีเขาไม่เชื่อว่าทหารราบเก้าประตูจะใช้วิธีการต่ำช้าแบบนี้ บัดนี้คิดไม่ถึงว่าพวกทหารราบเก้าประตูจะทำมันจริงๆ
“ทำร้ายผู้ประสบภัย ช่างน่าอายจริงๆ!”
การซ้ำเติมผู้ประสบภัยนั่นหมายความว่าต้องการให้พวกเขาถึงแก่ชีวิต เมื่อถึงเวลานั้นคนจากทหารราบเก้าประตูคงจะทำลายผู้ประสบภัยทั้งหมดจนสิ้น และคงไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าผู้คนเหล่านั้นเป็นผู้ก่อความวุ่นวาย
“พวกเราไม่ใช่ผู้ก่อความไม่สงบ พวกเราไม่ใช่กบฏ!” คนที่อยู่ใกล้ตี๋ตงหมิงมากที่สุดได้ยินดังนั้นก็ตกใจเสียจนตัวสั่น
“นายท่าน พวกเราไม่ใช่กบฏ เราเพียงแค่อยากมีอาหารกินให้ครบมื้อ พวกเราผิดด้วยหรือ?”
“พวกเราเพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราไม่ใช่กบฏ ……”
บางทีความรู้สึกนี้อาจจะถูกส่งต่อออกไปได้ จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาลเพื่อประชาชนต่างพากันตกใจกลัวและหดตัว พวกเขากลัวว่าเมื่อมองออกไปข้างนอกแล้วจะพบกับเจ้าหน้าที่ทหารตรงเข้ามาปลิดชีพพวกเขา
กบฏ จะต้องถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะประจานเก้าโคตร!
“พวกเจ้าวางใจเถิด หากมีข้าอยู่ที่นี่จะไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเจ้า” ตี๋ตงหมิงยกกระบี่ยาวออกมาแล้วหันกลับไปใช้ดาบชี้ไปที่ด้านนอก พูดว่า “ข้ามิเชื่อว่าในโลกนี้จะไม่มีกฎมีเกณฑ์ ใต้การดูแลขององค์จักรพรรดิ พวกเขาจะกล้าทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ทหาร …… จงลุกขึ้นยืนปกป้องพวกเขา ผู้ใดที่ฝ่าฝืนการปฏิบัติงานของเราให้ฆ่าทิ้ง!”
“รับทราบ!” ตี๋ตงหมิงพาทหารมาไม่มากนัก แต่ยังดีที่พวกเขาเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง ประกอบกับตอนนี้เมื่อเห็นสภาพ อันน่าสลดใจของผู้ประสบภัย ทำให้พวกเขารู้สึกปวดใจ
ตี๋ตงหมิงไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา เพื่อประโยชน์ของผู้ประสบภัยเหล่านี้แล้ว เขายินดีที่จะต่อสู้กับคนของทหารราบเก้าประตู แต่การกระทำเช่นนี้ ผลที่ตามมาอาจสูญเสียทั้งสองฝ่าย เนื่องจากองค์จักรพรรดิจะไม่ยอมให้มีผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ก่อกบฏ
“ตงหมิง อย่าได้หุนหันพลันแล่นไป” เฟิ่งชิงเฉินรีบวิ่งตามออกไป นางยืนอยู่ข้างหลังตี๋ตงหมิงแล้วเอ่ยกระซิบเตือน
“ชิงเฉิน ข้าหาได้หุนหันพลันแล่น คนจากทหารราบเก้าประตูเหล่านี้รังแกคนอื่นก่อน พวกเขาต้องการจับกบฏอะไรนั่น ข้าไม่สน แต่จะมาลงไม้ลงมือกับชาวบ้านธรรมดาไม่ได้” ตี๋ตงหมิงมองมาทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยความไม่พอใจ เฟิ่งชิงเฉินเรียกเขามาเองไม่ใช่หรือ เหตุใดบัดนี้จึงห้ามไม่ให้เขาทำสิ่งใด?
หากไม่ลงไม้ลงมือแล้ว เขาจะระบายความโกรธนี้อย่างไร?
เฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางอันขาดสติของตี๋ตงหมิง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเสียหายขึ้น เฟิ่งชิงเฉินจึงเข้าไปดึงแขนของตี๋ตงหมิงเอาไว้พูดว่า “ตงหมิง เจ้าใจเย็นๆ สงบสติอารมณ์ก่อน การที่ทหารราบเก้าประตูจะลงไม้ลงมือเช่นนี้ คาดว่าคงจะมีที่พึ่ง เจ้าอย่าลืมไปล่ะ ทหารราบเก้าประตูเรียกได้ว่าเป็นคนสนิทของฝ่าบาท หากเจ้าเผชิญหน้ากับคนสนิทของฝ่าบาทเช่นนี้อย่างเปิดเผยแล้วฝ่าบาทจะมองเจ้าอย่างไร?”
“ต่อให้คนจากทหารราบเก้าประตูทำผิด พวกเราก็จำเป็นต้องไว้หน้าเขา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นหากพวกเขาไปฟ้องเราต่อหน้าองค์จักรพรรดิ คนที่โชคร้ายก็คงจะเป็นเจ้า อีกอย่าง เรื่องของกบฏนั้น เพียงแค่ดึงตัวผู้ประสบภัยบางคนออกมา แล้วชี้ว่าเป็นกบฏ ก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
“โลกนี้ไม่มีกฎมีเกณฑ์แล้วหรือไรกัน ทหารราบเก้าประตูว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้นอย่างงั้นหรือ แม้แต่ผู้ไม่ผิดก็ต้องกลายเป็นผู้ผิด?” เมื่อได้ยินคำอธิบายจากเฟิ่งชิงเฉิน ตี๋ตงหมิงก็รู้สึกว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับความโชคร้าย
เรื่องราวภายในบ้าน หากน่าอับอายก็จะไม่เผยแพร่ออกไปข้างนอก ตี๋ตงหมิงที่ดูแลทหารคุ้มกันเมือง และเจ้าหน้าที่ทหารของทหารราบเก้าประตูล้วนเป็นดุจดั่งจระเข้ยักษ์ที่คอยดูแลความปลอดภัย และหากจระเข้ยักษ์ใหญ่สองตัวนี้ทะเลาะกันเอง ผู้ที่เสียหน้าก็คงจะเป็นองค์จักรพรรดิ เมื่อองค์จักรพรรดิโมโหพวกเขาทั้งสองฝ่ายล้วนต้องเป็นผู้โชคร้าย ส่วนใครผิดใครถูกฝ่าบาทคงไม่สนใจ
“หากเจ้าต้องการจะมีความผิดเพิ่มก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก การใส่ร้ายป้ายสีผู้ประสบภัยสักสองสามคนเป็นเรื่องง่ายที่จะทำ” เรื่องในความมืดมนเหล่านี้เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีกว่าตี๋ตงหมิง
“แล้วเราจะทำอย่างไรดี จะให้มองดูคนจากทหารราบเก้าประตูทำร้ายพวกเขาอย่างงั้นหรือ? ข้าทำไม่ได้” ตี๋ตงหมิงเป็นผู้อารมณ์ร้ายไม่ยอมใครเช่นกัน เมื่อสักครู่เขาประกาศออกไปแล้วว่าตนจะเป็นคนปกป้องชาวบ้านเหล่านี้ แล้วจะให้ล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร
คนคนนี้ ……
เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ส่ายหน้าแล้วพบว่าตี๋ตงหมิงไม่เหมาะสมที่จะเป็นขุนนาง และไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำกองทัพทหาร หากไม่ใช่เพราะมีเซียวชินอ๋องอยู่ โดยนิสัยของตี๋ตงหมิงนี้ไม่รู้ว่าจะทำให้ใครหลายคนขุ่นเคืองมากน้อยเพียงใด
คนที่อยู่ในวงการขุนนางจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครได้อย่างไร แม้แต่องค์จักรพรรดิเองบางครั้งก็ต้องยอมประนีประนอมกับเหล่าขุนนาง
“ตี๋ตงหมิงเจ้าอย่าลืมไปว่าหน้าที่ของเจ้าคือการจับกบฏ คนจากทหารราบเก้าประตูประกาศว่าพวกเขามาจับกบฏอย่างเป็นทางการ หากพวกเจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา นั่นเท่ากับว่ามีการแย่งชิงกัน” ในบางครั้งหากเรียนแนวคิดบางเรื่องก็อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ตี๋ตงหมิงก้มศีรษะลงด้วยความไม่พึงพอใจ เขาไม่ได้โง่ เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินดังนั้นก็เข้าใจได้ในทันที “ชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าบัดนี้ข้าไม่ได้เดินทางมาเพื่อปกป้องผู้ประสบภัย แต่เดินทางมาเพื่อจับกุมพวกกบฏหรือ?”
หากเป็นเช่นนี้ เขาก็มีเหตุผลเพียงพอในการส่งทหารออกมา และเผชิญหน้ากับคนของทหารราบเก้าประตู
องค์จักรพรรดิคงจะชื่นชอบขุนนางที่จับกบฏได้ และไม่ชื่นชอบขุนนางที่เข้าไปปกป้องประชาชนและเพื่อนร่วมงาน
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว จงจำไว้เถิด บัดนี้เจ้าไม่ได้มาเพื่อปกป้องผู้ประสบภัย แต่เจ้ามาเพื่อจับกบฏ ให้คนของเจ้าเปลี่ยนทิศทางชี้ปืนไปทางโรงพยาบาล”
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถโยนความผิดไปที่ทหารราบได้ อีกทั้งยังรักษาหน้าของฝ่าบาทเอาไว้ด้วย ทหารขององค์จักรพรรดิไม่ได้กดขี่ประชาชน แต่มาเพื่อจับกุมคนผิด เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้
“ความคิดที่ดีทีเดียว ว่าแต่ตอนนี้ข้าจะไปหากบฏที่ใดกัน จะให้จับกบฏจากพวกเขามาสองสามคนแล้วจัดการอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้มัน……” เขาไม่เคยทำมาก่อน และเขาก็ไม่เคยคิดจะจับชาวบ้านธรรมดามารับผิด เขาเคยแต่จับพวกที่ไม่เห็นด้วยแล้วตั้งข้อหาทรยศเป็นกบฏ
“จะบอกว่าเจ้าโง่แท้จริง ก็โง่เสียจริง ด้วยเหตุใดจึงต้องมาจับกบฏจริงๆ เล่า ข่าวนี้คนจากทหารราบเก้าประตูเป็นคนบอกเจ้า หลังจากที่เจ้าเดินทางมาที่นี่แล้วพบว่าไม่มีกบฏ มีเพียงแค่ผู้ประสบภัย เมื่อถึงเวลานั้นเพียงแค่บอกว่าทหารราบเก้าประตูให้ข่าวสารผิดก็พอแล้ว การให้ข้อมูลผิดก็เป็นความผิดพลาดของทหารราบเก้าประตู ดังนั้น……”
ท่านทหารราบ จงรอรับโทษเถิด แม้ว่านี่จะไม่ใช่ความผิดก็ตาม
“วิธีนี้ดียิ่งนัก” จะถูกจะผิดไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือแก้ไขอย่างไร วิธีการของเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ แม้จะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นความผิดเรื่องการกดขี่ของคนจากทหารราบเก้าประตู แต่ก็สามารถปกป้องชีวิตของประชากรเอาไว้ได้ มิฉะนั้น……
หากว่าเรื่องเจ้าหน้าที่ทหารเกิดขอปะทะกับประชาชนถูกเปิดเผยไปฝ่าบาทคงจะไม่พอใจ ชาวบ้านเหล่านั้นอย่าคิดจะมีชีวิตอยู่เลย ฝ่าบาทเป็นคนที่รักในศักดิ์ศรีของตน ใครจะกล้าตบหน้าฝ่าบาทเล่า
เมื่อเห็นว่าตี๋ตงหมิงเข้าใจแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “ในตอนนั้นหากเจ้าต้องการรั้งคนของจวนที่ตัวเอาไว้ก็อย่าให้พวกเขาลงไม้ลงมือ ข้าส่งทงจือไปยังจวนเซียวชินอ๋องแล้ว หลังจากที่เซียวชินอ๋องรู้เรื่องนี้คาดว่าคงจะรู้ดีว่าควรจัดการเช่นไรจึงจะดีที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นจงยืนกรานว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อจับกุมกบฏ ไม่รู้เรื่องอื่นใด”
เฟิ่งชิงเฉินปิดกั้นการล่าถอยของทหารราบเก้าประตูไปจนสิ้น ทหารราบเก้าประตูมีองค์จักรพรรดิคอยสนับสนุน ส่วนตี๋ตงหมิงมีเซียวชินอ๋องคอยสนับสนุน อีกอย่างเรื่องนี้ใครถูกใครผิดเพียงมองไปก็รู้ดี หากว่าองค์จักรพรรดิต้องการจะคุ้มกันทหารราบเก้าประตูก็ยาก
ตี๋ตงหมิงช่างชื่นชมนางจริงๆ และยกนิ้วขึ้นให้เฟิ่งชิงเฉินพูดว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างเจ้าเล่ห์……แค่กๆ เก่งกาจเหลือเกิน”
ท่ามกลางสายตาอันเยือกเย็นของเฟิ่งชิงเฉิน ตี๋ตงหมิงรีบเปลี่ยนคำพูดจากเจ้าเล่ห์เป็นเก่งกาจทันที
“จับตาดูที่นี่ให้ดี ไม่แน่อาจจะมีผลงานชิ้นโต” เฟิ่งชิงเฉินกลอกตามองตี๋ตงหมิง จากนั้นเดินตรงเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อประชาชน
เรื่องการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร นางไม่ควรจะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย อีกอย่างภายในนี้ยังมีคนป่วยอยู่นางทำหน้าที่รักษาของตัวเองให้ดีเท่านั้นพอ
“ท่านอาจารย์ จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?” เฟิ่งชิงเฉินตรงเข้าไปข้างใน ชาวบ้านเหล่านั้นพากันมองมาที่นาง เราตั้งตารออย่างกระสับกระส่าย
ไม่มีชาวบ้านคนใดที่ไม่กลัวเจ้าหน้าที่ทหาร หากไม่ใช่เพื่อชีวิตการอยู่รอดของตน พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับทหารเหล่านี้
“วางใจเถิด หากมีซื่อจื่ออยู่จะไม่เกิดเรื่องใดอย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินไม่ลืมที่จะยกความดีให้แก่ตี๋ตงหมิง “ซือสิง คนไข้ด้านในเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่ หากเรียบร้อยแล้วจงมาช่วยข้าพันแผลคนเจ็บที่นี่ด้วย”
“ขอรับ”
อาจารย์และศิษย์ทั้งสองคนพากันยุ่งอยู่กับงานอีกครั้ง ส่วนเรื่องราวภายนอก ซุนซือสิงกล่าวว่ามีอาจารย์อยู่ไม่ต้องกลัว
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่า มีเสด็จอาเก้าอยู่ไม่ต้องกลัว
เซวียนเส้าฉีซึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้องโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่เขาก็ไม่พลาดทุกย่างก้าวของเฟิ่งชิงเฉิน
นางสามารถยืดงอได้ตามสถานการณ์ต่างๆ สมควรแล้วที่เป็นบุตรสาวของแม่ทัพเฟิ่งผู้เฉลียวฉลาดกล้าหาญ