นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 706 แอบกิน ลูกของหลานจิ่วชิง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“องค์รัชทายาทเหล่ย?องค์ชายจิ่งฝาง?”

หลานจิ่วชิงถึงกับหยุดเดินต่อ และเข้าไปไปทักทายสองคนนั้น เฝ้าดูทั้งสองพูดเรื่องเฮฮาสารพัน หลานจิ่วชิงถึงกับขมวดคิ้วโดยมิรู้ตัว ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้ตั้งใจที่จะมาดักรอพบเขาที่นี่ เขาตัดสินใจมาที่พระราชวังอย่างกะทันหัน

แต่โลกใบนี้ช่างแคบเสียจริง ถึงได้มาเจอสองคนนี้อยู่ด้านนอกพระราชวัง ดวงช่วงนี้คงมิค่อยจะธรรมดาเลย หรือว่าสองคนนี้คงจะไปได้ข่าวอะไรมากันแน่

มาตรการรักษาความลับของราชสำนักยังคงมิค่อยจะสู้ดีนัก

หลานจิ่วชิงทำได้เพียงใส่หน้ากากเข้าหา ซีหลิงเทียนเหล่ยกับหนานหลิงจิ่นฝานคงมิได้เห็นท่าทีที่แสดงความรังเกียจของเขา ทั้งสองมีสีหน้ายิ้มแย้มและเห็นได้ชัดว่ากำลังยืนขวางทางอยู่

“อ้าว ท่านหลาน โลกช่างกลมจริงๆ” นี่มันก็ค่ำแล้ว แต่หนานหลิงจิ่นฝานยังคงสวมชุดเต็มยศสีแดงอยู่ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันแปลก สายตาดังพญาอินทรีที่คอยหาเหยื่อ ใครเห็นก็ควรจะต้องป้องกันตัวเองจากสายตาคู่นั้น

“ใช่ โลกช่างกลมเสียจริง ท่านทั้งสองมาเดินเล่นเช่นกันหรือ” หลานจิ่วชิงเอามือกอดอก ยืนด้วยท่าทางที่สง่าแต่ก็เต็มไปด้วยการป้องกันตนเองอย่างดี

เขาไม่ไว้ใจสองคนผู้นี้ และเช่นเดียวกัน ทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยกับหนานหลิงจิ่นฝานก็ไม่ไว้ใจเขาเช่นกัน

“ใช่แล้ว ข้ามาเดินเล่น ท่านหลานก็มาเดินเล่นเช่นกันหรือ เราช่างคิดตรงกันเสียจริง ใช่หรือไหม? ท่านหลานกำลังจะไปเดินเล่นที่พระราชวังตงหลิงงั้นหรือ?” ซีหลิงเทียนเหล่ยพูดโดยไม่อ้อมค้อม

การที่หลานจิ่วชิงมายังพระราชวังตงหลิงในเวลานี้ มันต้องเป็นเรื่องเดียวแน่ๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหลานจิ่วชิงได้ซ่อนสายลับไว้ที่พระราชวังตงหลิง และสายลับผู้นี้คงจะมีฝีมือมาก มิฉะนั้นจะไม่มีทางรู้เรื่องเช่นเดียวกับพวกเขาแน่ๆ

แต่ถ้าไม่ใช่แบบที่คิด……นี่มันก็อยู่ใกล้กับพระราชวังตงหลิง หลานจิ่วชิงจะไปที่ใดกันแน่?

ใช่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องการบูชาฟ้าของพระราชวังตงหลิง พวกเขาก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องการเข้าวังไปเพื่อต้องการจะสอบถามรายละเอียดต่างๆ

เหตุการณ์พายุหิมะครั้งนี้รุนแรงมากสำหรับตงหลิง ซึ่งหนานหลิง ซีหลิง และเป่ยหลิงก็ได้รับผลกระทบ ถ้าหากจักรพรรดิตงหลิงมีพระบรมราชโองการ พวกเขาก็คงจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงการบูชาฟ้าของจักรพรรดิตงหลิง ก็ต้องเตรียมให้พร้อมไว้ก่อน

และยังมีเรื่องอีกมากที่สำคัญ เมื่อยิ่งรู้ข่าวจึงรีบเข้ามาที่พระราชวัง แต่ก็มิได้อยากที่จะพบกับหลานจิ่วชิง และนั่นยิ่งทำให้พวกเขาอดมิได้ที่จะตั้งข้อสงสัยถึงสถานะของหลานจิ่วชิง

การบูชาฟ้าของจักรพรรดิ คนปกติมักไม่มีทางมาสนใจ โดยเฉพาะคนในยุทธจักร การมาของหลานจิ่วชิงจึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าต้องรับมือ

ทั้งสองคนคิดไปแต่ในทางอคติ แทบจะทำให้อาณาเขตของสวนในพระราชวังตงหลิง กลายเป็นสวนของตนเองเพื่อที่คอยจับตาหลานจิ่วชิง ว่าเสือตัวนี้จะเขาไปยังพระราชวังหรือไม่

แต่วันนี้มันก็หาใช่โอกาสอันเหมาะสมมา เพราะคนที่จับตาดูอยู่ในพระราชก็มีอยู่มากโข

“ว่าอย่างไรหล่ะ?หรือท่านหลานมิสะดวกใจที่จะพูด?ระหว่างเราก็ยังมีมิตรสัมพันธ์อันดีต่อกัน หากเรื่องแค่นี้ ท่านหลานยังไม่กล้าที่จะพูดกับพวกเราหรือ?” บทสนทนาของซีหลิงเทียนเหล่ยพยายามที่จะดึงคำตอบจากหลานจิ่วชิง หากหลานจิ่วชิงไม่พูดออกมา เรื่องที่เคยพูดว่าจะร่วมมือก่อนก่อนหน้า มันก็คงจะต้องให้เขากลับพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งว่าควรที่จะทำความร่วมมือกับคนแบบเขาหรือไม่

หลานจิ่วชิงเริ่มโกรธ ซึ่งซีหลิงเทียนเหล่ยก็ไม่แปลกใจ ถ้าหลานจิ่วชิงมิโกรธสิมันจะแปลกนัก แต่อย่างไรเสียซีหลิงเทียนเหล่ยก็ยอมถอยอีกก้าว “ ท่านหลาน ข้ากับองค์ชายจิ่งฝานจะไปที่พระราชวังตงหลิง ท่านจะตามไปพร้อมกับพวกข้าหรือไม่?”

“ข้าเกรงว่าจะมิสะดวกนัก” หลานจิ่วชิงพยายามหักห้ามความโกรธ และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เพื่อไว้หน้าซีหลิงเทียนเหล่ย จึงตอบเขาไปแบบรักษามารยาท

การที่เขาปรากฏตัวอยู่ใกล้กับพระราชวัง ถ้าเขาบอกว่าไม่ไปที่พระราชวังคงจะไม่มีใครเชื่อ ยอมรับไปเสียดีกว่า

“มิสะดวกอันใดกัน? ท่านหลานจะไปที่ใดกันเล่า? ข้าจะขอติดตามไปด้วย” เห็นได้ชัดว่าหนานหลิงจิ่งฝางต้องการจะดูท่าทีของหลานจิ่วชิง

“มีท่านทั้งสองอยู่ ข้าก็มิอาจที่จะเข้าไปจัดการเรื่องเหล่านั้นได้” หลานจิ่วชิงน้ำเสียงเข้ม ตั้งใจพูดประโยคชวนสงสัยนี้ออกไป

“จัดการเรื่องเหล่านั้น? ท่านหลานต้องทำหรือจัดการการเรื่องอันใดกัน?” ซีหลิงเทียนเหล่ยพอจะเดาออก แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อนัก

หลานจิ่วชิงผู้ลือนามในยุทธจักร จะมาด้วยเรื่องอย่างว่า คงจะมิใช่หรอก

แต่ผู้ชายกับเรื่องอย่างว่ามันก็คงเป็นได้ หลานจิ่วชิงมีเงินทองตั้งมากมาย เอามาใช้กับเรื่องผู้หฺญิงมันก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้

“ถ้าไปที่พระราชวังแล้วมิไปจัดการเรื่องราวต่างๆ แล้วจะไปด้วยเหตุใดเล่า? คืนนี้มันก็เป็นโอกาสสำคัญเสียด้วย” ด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ยิ่งนำพาซึ่งความเคลือบแคลงสงสัยของอีกฝ่าย

“ฮ่าๆๆ……ท่านหลานนี่ก็พูดถูกใจข้านัก” ซีหลิงเทียนเหล่ยมองที่สายตาของหลายจิ่วชิง ก็เข้าใจดี ถึงสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องการ

เมื่อบทสนทนาจบลง ก็มิได้มีคำถามอะไรต่อ จริงหรือเท็จก็มิอาจทราบได้ เข้าไปในพระราชวังก็จะเข้าใจเอง “ถ้าจะไปที่พระราชวัง เราก็ไปพร้อมกันเถอะ เดินไปเป็นเพื่อนกัน”

หนานหลิงจิ่งฝางเดินก้าวไปข้างหน้า เอามือจับบ่าของหลานจิ่วชิง หลานจิ่วชิงพยายามจะหลีกออก และหนานหลิงจิ่งฝางใช้แรงกดเพื่อมิให้หลานจิ่วชิงหลีกออก

ชายทั้งสองที่ดูเหมือนจะพูดกันถูกคอ แต่ที่จริงแล้วประหนึ่งได้ประจุดินปืนไว้เพื่อพร้อมจะลั่นไก

“เอ่?หรือว่าท่านหลานมิอยากเดินไปพร้อมกับพวกเรา?” คำพูดนี้มาพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ของหนานหลิงจิ่งฝางที่มองมายังหลานจิ่วชิง

แม้ว่าจะพยายามออกแรงโดยใช้กำลังเข้าใส่ ซูเหวินชิงยังทำอะไรข้ามิได้ คิดว่าเจ้าเป็นถึงองค์ชายซีหนาน แล้วจะกำราบข้าได้หรือ

สีหน้าที่เย็นชามาพร้อมกับสายตาอาฆาต หลานจิ่วชิงกล่าวออกมาว่า “ท่านทั้งสองได้นัดกันมาแล้ว ข้ามิบังอาจ เชิญท่านทั้งสอง……”

หลานจิ่วชิงพึ่งโชคที่มีอยู่ของตัวเอง ใช้แรงที่มีจัดการกับหนานหลิงจิ่งฝาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องการทำร้ายฝ่ายตรงข้าม

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของซีหลิงเทียนเหล่ยที่เห็นสายตาเย็นชาของหนานหลิงจิ่งฝางที่มองไปยังหลานจิ่วชิง สำหรับเขาแล้วไม่ว่าใครจะชนะ ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!” หนานหลิงจิ่งฝางสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก็เป็นรอยยิ้มจอมปลอม เขาพยายามที่จะให้หลานจิ่วชิงก้าวไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่พอหนานหลิงจิ่งฝางเริ่มหมดแรง หลานจิ่วชิงกลับขยับ ……

เห้อ……

หลานจิ่งชิงแค่สะบัดไหล่ หนานหลิงจิ่งฝางก็ถอยออกไปหลายก้าว แต่ก็มิถึงกับล้ม เพราะยังต้องไว้หน้าเขาอยู่ ถึงอย่างอย่างไร ในภายภาคหน้าก็ยังคงต้องพบหน้ากันอีก

“เชิญองค์ชายเหล่ย เชิญองค์ชายจิ่งฝาง……” หลานจิ่งชิงเชิญทั้งสองคน

“เชิญ……” หนานหลิงจิ่งฝางแม้ว่ามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ยังรักษาหน้าตัวเอง ไม่ได้แสดงกิริยาไม่ดีออกมา

ทุกคนต้องรู้จักเคารพคนที่แกร่งกว่า หลานจิ่วชิงชนะเขา แต่เขาไม่จำเป็นต้องเคารพหลานจิ่วชิง เพื่อให้ใครรู้ว่าหลานจิ่วชิงแกร่งกว่าเขา

ทั้งสามมุ่งหน้าไปพระราชตำหนัก เมื่อเข้าไปยังตำหนัก ก็แยกกันเป็นสองทาง หลานจิ่วชิงมุ่งไปทางด้านหลังของตำหนัก “องค์ชายเหล่ย องค์ชายจิ่งฝาง พวกเราน่าจะไปด้วยวัตถุประสงค์ต่างกัน เยี่ยงนั้นก็แยกกันตรงนี้เลย”

พูดจบก็แยกตัวออกไปยังด้านหลังของตำหนัก เดินไปด้วยท่าทีที่รีบร้อน เดินไปสักพักหายไปพร้อมกับเงา

หนานหลิงจิ่งฝางอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองว่า “พวกคลั่งนารี”……

ชายผู้ดูสง่างามอย่างหลานจิ่วชิง ไม่คิดว่าจะเป็นคนคลั่งนารีขนาดนี้? เขาไปที่ด้านหลังตำหนักก็ต้องการเพื่อจะมาลักกินขโมยกินเองหรือนี่?

“ที่แท้เขาก็จะมาที่หลังตำหนักนี่เอง?” หนานหลิงจิ่งฝางแทบไม่อยากจะเชื่อ ดูจากบุคลิกภายนอกไม่ได้เสียแล้ว ไม่เผินๆก็ดูเป็นปกติดี แต่ลึกๆแล้วกลับเป็นคนประเภทนี้หรือนี่?

เจ้าหลานจิ่วชิงทำราวกับมิเคยเห็นสาวๆยังไงยังงั้น

“ตามไปดูก็คงจะรู้” หนานหลิงจิ่งฝางยังคงไม่เชื่อว่าหลานจิ่วชิงจะมาหาสาวๆ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ไม่เชื่อ พวกเขารู้สึกว่าหลานจิ่วชิงมิใช่คนประเภทนี้

มาหาสาวต้องมาหาถึงหลังตำหนัก หลานจิ่วชิงบังอาจนักที่เอาตำหนักของฝ่าบาทมาทำเป็นหอนางโลมแบบนี้……

ช่างกล้านัก!

“ไป”ขณะนั้นเองหนานหลิงจิ่งฝางก็แทบจะทนมิไหวแล้ว รีบเดินตามหลานจิ่วชิงไป ทั้งสองเกรงว่าหลานจิ่วชิงจะพบเข้า จึงมิกล้าที่จะเข้าไปใกล้มาก มองหลานจิ่วชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังตำหนัก

แหม……ที่แท้เจ้าหนุ่มวางมาดคนนี้ก็คลั่งนารี หนานหลิงจิ่งฝางเนื้อตัวเย็นชา รับไม่ได้กับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าแบบนี้

หลานจิ่วชิงยังคงเดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังตำหนัก จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตู สาวงามค่อยๆแง้มประตูออกมา สาวงามผู้นั้นเอามือทั้งสองลูบไล้ไปที่คอของหลานจิ่วชิง ส่วนหลานจิ่วชิงค่อยๆบรรจงจูบปากของสาวผู้นั้น…..

“ไอ้พวกคลั่งนารี!”

ปัง……เสียงปิดประตูดังขึ้น ทั้งสองรีบเข้าไปในห้อง หนานหลิงจิ่งฝางกับซีหลิงเทียนเหล่ยก็ยังเห็นเงาที่รอดมาจากหน้าต่าง ซึ่งทั้งสองกำลังจะปลดเปลื้องอาภรณ์ของกันและกัน

อุจาดนัก……มันต้องขนาดนี้เลยหรือ

หนานหลิงจิ่งฝางกับซีหนานเทียนเหล่ยยืนขึ้นราวกับนัดกันไว้ สายตายังคงจ้องไปที่สองคนนั้น ขณะที่กำลังจะเดินออกไปจากที่นั่น ก็มีเสียงโหยหวนราวกับเสียงของสุนัขป่าตามมาทางด้านหลัง

เดินไปแต่ละก้าวก็รู้สึกว่าขานั้นอ่อนแรง

“มันต้องดุดันขนาดนั้นเชียวหรือ หลานจิ่วชิงก็ช่างกล้านัก ส่วนแม่สาวที่อยู่หลังตำหนักก็คงมิต้องพูดถึง กล้าส่งเสียงดังออกมาขนาดนี้ มิกลัวใครจะมาได้ยินหรือยังไง” หนานหลิงจิ่งฝางสบถออกมาด้วยความมิพอใจนัก

ออกมาที่นี้ก็ด้วยเพราะเรื่องพายุหิมะ แต่ทำไมหลานจิ่วชิงกลับได้ไปพลอดรักกับสาว ส่วนเขากลับต้องมาอยู่นอกตำหนักตากลมหนาว ฟังเสียงที่เล็ดลอดจากกำแพงนี้ด้วย

“คงคิดว่าตำหนักนี้อยู่ไกลออกมา ส่งเสียงดังขนาดไหนก็คงจะไม่มีใครมาพบมาเจอ และก็คงจะมิได้กระทำการแบบนี้ครั้งแรก ที่ตรงนี้เขาก็คงจงใจที่จะเลือกเอง” ซีหลิงเทียนเหล่ยเข้าใจเรื่องราวพวกนี้ที่เกิดขึ้นในวังดี เพราะเขาก็เติบโตมาในพระราชวัง

“อืม ดูมิออกจริงๆว่าหลานจิ่วชิงจะเป็นคนแบบนี้ เอาผู้หญิงมาไว้ที่หลังตำหนัก เขาคงมิธรรมดา หรือที่กล้าก็เพราะจักรพรรดิตงหลิงทรงหนุนหลังอยู่แน่”

ผู้หญิงบริเวณหลังตำหนักล้วนเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าหอนางโลมทุกประการ หากเป็นหญิงในพระราชวังก็แล้วไป เกรงว่านอกจากนี้แล้วยังไปขโมยกินหญิงของจักรพรรดิหรือไม่นะ มิอยากคิดเลยว่าวันนึงหากโผล่เข้ามาเจอจักรพรรดิ แล้วเป็นคนประเภทเดียวกับหลานจิ่วชิง”หนานหลิงจิ่งฝางนึกภาพที่ตนเองออก ถ้าเมื่อใดที่เจอจักรพรรดิตงหลิงก็คงต้องนึกขำน่าดู……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท