“อะไรนะ? เจ้าถอนพิษไม่ได้”
ตุบ ตุบ ตุบ……ซูเหวินชิงเดินเซไปด้านหลัง ถอยไปพิงกับผนัง ดวงตาและปากของเขาเบิกกว้าง
เขาไม่ยอมรับคำตอบของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินเป็นสมบัติพิเศษแห่งการช่วยชีวิตของพวกเขา ถ้าหากกล่าวว่าไม่สามารถรักษาได้ แบบนั้นจะต้องทำอย่างไรกับจิ่วชิง?
รอความตายงั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ซูเหวินชิงอยากจะบีบคอเฟิ่งชิงเฉินให้ตายด้วยมือของเขาเอง
ไม่มีทาง ทำไมเฟิ่งชิงเฉินจะถอนพิษไม่ได้ นางต้องทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจากจิ่วชิงกำลังรอความช่วยเหลือจากนางอยู่
ใบหน้าอันอ่อนโยนของซูเหวินชิงเผยให้เห็นถึงความชั่วร้ายในทันที แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกกลัว ยังคงอธิบายออกมาด้วยใบหน้าอันนิ่งสงบ “ใช่ ข้าไม่สามารถถอนพิษได้”
แต่นางสามารถวิเคราะห์ส่วนผสมของยาพิษได้ อย่างไรก็ตามยาจีนโบราณนั้นกว้างขวางและซับซ้อนเป็นอย่างมาก นำตัวยาต่างชนิดมาผสมกันจะทำให้เกิดตัวยาหรือยาพิษชนิดใหม่ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเหมือนการบวกเลข
นางสามารถสร้างยาถอนพิษจากการวิเคราะห์พิษที่สอดคล้องกับตัวยาได้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้น นางเองก็ไม่รู้
“งั้นจะทำอย่างไร? ใคร มีใครที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการถอนพิษ?” ใบหน้าของซูเหวินชิงสั่นไหว ถามเฟิ่งชิงเฉินด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
ตอนแรกเขาเองก็มีหมอฝีมือดีอยู่ใกล้ตัว แต่เนื่องจากมีเฟิ่งชิงเฉินเข้ามา เขาจึงปล่อยหมอเหล่านั้นไป ตอนนี้……
การเดินทางมันใช้เวลานานเกินไป จิ่วชิงรอต่อไปไม่ไหว
“จะตื่นตระหนกอะไรมากมาย ไปดูอาการก่อนแล้วค่อยว่ากัน” แม้เมื่อได้ยินว่าหลานจิ่วชิงถูกพิษ นางเองก็ตกใจไม่น้อย แต่ด้วยความสามารถและความมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ ทำให้หัวใจของนางสงบลงอย่างรวดเร็ว
ก็แค่ถูกพิษไม่ใช่หรือไง ในมือของนางยังมียาถอนพิษที่ได้รับมาจากปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ต่อให้ไม่ได้ผลอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถบรรเทาความรุนแรงของพิษได้ อีกอย่างแม้ว่านางจะไม่สามารถถอนพิษให้กับหลานจิ่วชิงได้ แต่การยื้อชีวิตของเขาก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เมื่อถึงเวลาที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเดินทางมาถึงทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไข แต่หากปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียังไม่สามารถรักษาได้ เช่นนั้นนางเองก็หมดหนทางเช่นกัน
“ใช่ ใช่ ใช่ ไปดูอาการก่อนแล้วค่อยว่ากัน ร่างกายของจิ่วชิงนั้นมีความพิเศษ เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยพิษตั้งแต่ยังเด็ก พิษธรรมดาทั่วไปไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ต่อให้เป็นพิษที่รุนแรงแค่ไหน ในระยะเวลาอั้นสั้นนี้ก็ไม่มีทางพรากชีวิตของเขาไปได้” ถูกเฟิ่งชิงเฉินจ้องเขม็ง ซูเหวินชิงสงบลงตามธรรมชาติ
เขากังวลจนทำให้จิตใจวุ่นวาย
ช่วยไม่ได้ จิ่วชิงคือกระดูกสันหลังของพวกเขา ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจิ่วชิง เขาก็ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป?
อะไรนะ? ร่างกายที่มีภูมิต้านทานต่อพิษนานาชนิด? งั้นยาสลบของนางจะใช้ได้ผลกับหลานจิ่วชิงหรือไม่?
เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงแรกที่นางช่วยชีวิตหลานจิ่วชิงในห้องลับ เอ่อ……ตอนนี้นางยังไม่ได้เปิดเผยความลับใช่ไหม?
นานมากแล้ว ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ประกอบกับซูเหวินชิงซึ่งโวยวายอยู่ข้างหูของนางตลอดเวลา ทำให้เฟิ่งชิงเฉินหมดหนทางทำให้จิตใจสงบลงและนึกถึงมันได้
ช่างมัน ไม่ต้องไปสนใจแล้ว ตอนนี้นางกับหลานจิ่วชิงเป็นเพื่อนกัน ต่อให้หลานจิ่วชิงรับรู้อะไรบางอย่างก็คงไม่พูดอะไรมากมาย ท้ายที่สุดตัวเขาเองเป็นผู้มีความลับ และเขาก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของนาง
เดินมาถึงปากทางเข้าของห้องลับ เฟิ่งชิงเฉินเห็นหลานจิ่วชิงนอนอยู่บนโต๊ะวางของ นางรีบโยนเรื่องราวต่างๆในหัวของนางทิ้งไปทันที จากนั้นรีบก้าวเข้าข้างกายของหลานจิ่วชิง
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด มีทั้งเลือดสีดำและเลือดสีแดง มองดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก หน้าอกของเขายังคงสั่นไหวอยู่ นั่นบ่งบอกว่าเขายังไม่ตาย
เฟิ่งชิงเฉินยกแขนซ้ายของหลานจิ่วชิงขึ้นมาเพื่อหวังจะตรวจชีพจร สุดท้ายเนื่องจากแขนซ้ายถูกการฝังเข็มผนึกอยู่ จึงทำให้อ่อนแอจนไร้เรี่ยวแรง
ต้องการตรวจม่านตาของเขาแต่ก็ถูกหน้ากากบังไว้ แน่นอนดวงตาอีกข้างหนึ่งยังคงเปิดอยู่ สามารถเปิดมันดูได้ ทันใดนั้นก็พบว่าดวงตาของหลานจิ่วชิงมีคุณสมบัติพิเศษคอยปกป้องรูม่านตาของเขาโดยตรง
ข้า……ข้าต้องทำต่อไป
นิ้วมือกดลงไปตรงต้นคอ จากนั้นก็รับรู้ด้วยความล้มเหลวว่า ตรงคอของเขามีสิ่งของซึ่งเหมือนกับหนังปลอมติดอยู่ เมื่อมือสัมผัสลงไปให้ความรู้สึกที่แย่มาก……
ชุดที่เขาใส่นั้นเต็มไปด้วยอาวุธและเครื่องป้องกัน
เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาเปิดกล่องยา นำกรรไกรทางการแพทย์ออกมา ฉับ……ฉับ ใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าบนร่างกายของหลานจิ่วชิง ยังดีที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย หลานจิ่วชิงรู้จักการปกป้องดูแลร่างกายของตนเป็นอย่างดี
เห่อ……ซูเหวินชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เห็นเฟิ่งชิงเฉินสัมผัสใบหน้าของหลานจิ่วชิงอยู่หลายครั้ง เขากังวลว่านางจะใช้โอกาสนี้ถอดหน้ากากของหลานจิ่วชิงออกมา สุดท้าย…..
เฟิ่งชิงเฉินฉลาดและรอบคอบกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ไม่มีร่องรอยของความอยากรู้อยากเห็น ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเหลือเกิน
ซูเหวินชิงต้องยอมรับเลยว่าหลานจิ่วชิงมีสายตาที่ดี เฟิ่งชิงเฉินเป็นที่น่าพอใจมากกว่าฉินเป่าเอ๋อมาก
เฟิ่งชิงเฉินเริ่มใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ ขณะที่อยู่ตรงตำแหน่งหัวใจของหลานจิ่วชิง ตอนแรกคิดว่าหลานจิ่วชิงน่าจะกำลังอ่อนแอหรือขาดสมดุลในตัว สุดท้าย……
“ตุบ ตุบ ตุบ……” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างสม่ำเสมอ
“นี่เขาถูกพิษอยู่จริงอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินฉายแววแห่งความสับสน
ต่อให้นางไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับพิษนางก็สามารถรับรู้ได้ คนถูกพิษ ชีพจรของพวกเขาจะอ่อนแรง เต้นไม่เป็นจังหวะ แต่เมื่อฟังจากเสียงหัวใจของหลานจิ่วชิงแล้ว มันไม่เหมือนกับคนถูกพิษเลยแม้แต่น้อย
น่าแปลกมาก
เฟิ่งชิงเฉินก้มลงไปฟังอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินงงงวย หันหลังให้กับซูเหวินชิง กดมือซ้ายลงบนหัวใจของหลานจิ่วชิง
ตุบ ตุบ ตุบ……กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะจะให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีพิษ เสียเลือดมากเกินไป ความผิดปกติของระบบประสาท
เอ่อ?
ผิดปกติมาก ไม่ได้ถูกพิษ บาดแผลก็เป็นแค่บาดแผลภายนอก ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เฟิ่งชิงเฉินขยี้ตาของตนเองและมองดูอีกครั้งเพื่อทำให้มั่นใจว่าตนเองไม่ได้มองผิด กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะของนางตรวจสอบไม่พบว่าหลานจิ่วชิงถูกพิษ
ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้แล้วว่า นอกจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะเกิดปัญหา และการวินิจฉัยของนางผิดพลาด ไม่อย่างนั้นหลานจิ่วชิงก็ไม่ได้ถูกพิษ
ไม่ได้ถูกพิษ งั้นนี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
แกล้งถูกพิษ?
หลังจากการวินิจฉัยของนาง อาการหมดสติของหลานจิ่วชิงเกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบประสาทหรือไม่ก็เสียเลือดมากเกินไป และนางมั่นใจในผลการวินิจฉัยของนาง
เฟิ่งชิงเฉินดึงมือซ้ายของนางกลับมา นำผ้าคลุมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ จากนั้นหันหลังและหยิบหลอดทดลองออกมา เก็บเลือดสีดำเข้าไปสองสามหยด ยื่นให้ซูเหวินชิงพร้อมกล่าวว่า “ลองนำไปใช้กับสัตว์ดู ลองดูว่ามันมีพิษหรือไม่”
หลานจิ่วชิงไม่ได้ถูกพิษ พิษสีดำนี้ไม่ใช่เลือดพิษ มันน่าจะเป็นยาพิเศษอะไรบางอย่างที่สามารถทำให้เลือดของคนไหลออกมากลายเป็นสีดำในระยะเวลาอันสั้น สร้างสถานการณ์เหมือนกับการถูกพิษ
“อา? เลือดนี้ไม่มีพิษงั้นหรือ?” เลือดกลายเป็นสีดำเช่นนี้แต่กลับไม่มีพิษ? ซูเหวินชิงไม่เชื่อ
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “หัวใจของจิ่วชิงเต้นเป็นปกติ ข้าสงสัยว่าเขาไม่ได้ถูกพิษ” ให้ซูเหวินชิงออกไปด้านนอกมันก็ถือเป็นการค่าเวลาของเขา นางจะได้ใช้เครื่องมือในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะถ่ายและตรวจสอบเลือดให้หลานจิ่วชิง
“ไม่ถูกพิษ? เยี่ยมมากเลย ข้าบอกแล้วว่าไม่มีพิษอะไรในโลกที่สามารถทำให้หลานจิ่วชิงเจ็บป่วยมาจนถึงขั้นนี้ได้” หากไม่ถูกพิษจิ่วชิงก็จะไม่เป็นไร ความกังวลก่อนหน้านี้ของซูเหวินชิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย รับหลอดทดลองจากเฟิ่งชิงเฉิน เดินออกไปด้านนอกพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะไปลองดู”
ในห้องลับเหลือแค่เฟิ่งชิงเฉินและหลานจิ่วชิงเพียงสองคน เฟิ่งชิงเฉินยังคงรักษาจรรยาบรรณ ไม่ถอดหน้ากากของหลานจิ่วชิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลานจิ่วชิงมักจะสวมหน้ากากอยู่เสมอเวลาพบเจอผู้คน เขาจะต้องมีเหตุผลของเขาอยู่แน่นอน นางไม่จำเป็นต้องไปเปิดเผยความลับของอีกฝ่าย เมื่อถึงเวลาที่หลานจิ่วชิงอยากบอก เขาก็จะบอกให้นางได้รับรู้เอง นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าในเลือดของหลานจิ่วชิงนั้นมีสิ่งใดเจือปนอยู่ เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าทำการรักษา ถ้าหากจ่ายยาผิดไป อาการอาจจะรุนแรงขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินห้ามเลือดให้หลานจิ่วชิง นำอุปกรณ์ออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ นั่งลงและทำการวินิจฉัยและฟอกเลือดให้แก่หลานจิ่วชิง
ไม่นานผลตรวจก็จะออกมา……
“นี่เป็นเป็นเทคโนโลยีระดับสูงทางทหารจริงหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังเครื่องวินิจฉัยด้วยความสงสัย ไม่เต็มใจที่จะมองผลการวิเคราะห์ และผลของการตรวจเลือดออกมาว่า มีของบางสิ่งที่ไม่รู้จักปะปนอยู่ในน้ำเลือด
ไม่รู้จัก ไม่รู้จักบ้าอะไร……
ของที่ไม่รู้จักมันคืออะไร? แล้วแบบนี้ข้าจะทำการรักษาได้อย่างไร?
เฟิ่งชิงเฉินทนไม่ไหว ยกขาเหยียบเครื่องวินิจฉัยและเก็บของไร้ประโยชน์สิ่งนี้ไปทันที
พอที เทคโนโลยีชั้นสูงชิ้นนี้พึ่งพาไม่ได้ ทางที่ดีควรใช้วิธีดั้งเดิม รอผลการทดสอบของซูเหวินชิง
ยังดีที่ซูเหวินชิงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งรีบจึงไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินต้องรอนาน หลังผ่านไป 15 นาที ซูเหวินชิงรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีพิษ เลือดของจิ่วชิงไม่มีพิษ ข้าหาสุนัขพิเศษมาตัวหนึ่ง ถ้าหากมีพิษสุนัขตัวนั้นคงไม่มีทางรอดแน่ ผลที่ออกมาคือ หลังจากผ่านไป 15 นาที สุนัขตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่และวิ่งเล่นได้ตามปกติ”
เมื่อรู้ถึงผลที่เกิดขึ้น ซูเหวินชิงเกือบจะปรบมือแสดงความดีใจ ต้องรู้ก่อนว่าเหตุการณ์ในคืนนี้แทบจะทำให้เขาตกใจตาย ถ้าหากหลานจิ่วชิงจบชีวิตลงเพราะถูกพิษ เขาคงจะต้องเอาหัวโขนกำแพงจนตาย
หู้ว……หลานจิ่วชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก บางครั้งวิธีดั้งเดิมมันก็ดีกว่าเทคโนโลยีขั้นสูงที่นางใช้ เมื่อนึกผลวินิจฉัยที่ได้ “ของที่ไม่รู้จัก” เฟิ่งชิงเฉินอยากจะทำลายมันทิ้งทันที
ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ไม่รู้ว่าสิ่งเจือปนในกระแสเลือดคืออะไร แต่อย่างน้อยเจ้าก็บอกให้ข้ารู้หน่อยว่ามันเป็นอันตรายหรือไม่
“ไม่มีพิษก็ดีแล้ว ไม่มีพิษพวกเราก็สามารถใช้วิธีการทั่วไปในการรักษาได้ ไปเรียกคนมาสองสามคน ต้องถ่ายเลือดให้จิ่วชิง” นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องปิดบัง ซูเหวินชิงเข้าใจความหมายคำว่าถ่ายเลือดของเฟิ่งชิงเฉินดี
ทั้งสองคนแยกกันทำหน้าที่ ซูเหวินชิงไปพาคนเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินไปทำความสะอาดบาดแผลให้หลานจิ่วชิง ส่วนความเสียหายของระบบประสาท เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ นางทำได้แค่ให้ให้น้ำและอาหารเพื่อทำให้ร่างกายของหลานจิ่วชิงฟื้นสภาพเท่านั้น
ไม่สนใจเลือดสีดำซึ่งเปื้อนอยู่บนร่างกายของหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินเช็ดบาดแผลด้วยความรวดเร็ว จากนั้นเย็บบาดแผลอันน่ากลัวทันที
เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับจุดฝังเข็มบนแขนซ้ายของหลานจิ่วชิง เมื่อถึงเวลามันจะคลายออกเอง ดูแล้วหลานจิ่วชิงเองก็น่าจะรู้ว่าจุดฝังเข็มจุดนี้ใช้เวลามากเกินไป อาจมีผลกระทบกับแขนของเขา ดังนั้นตอนที่เขาทำการฝังเข็มจึงได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว
เมื่อซูเหวินชิงพาคนมายังห้องลับอีกห้องหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินทำแผลให้หลานจิ่วชิงเป็นอันเรียบร้อย แต่หลานจิ่วชิงยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปยังขวดหยด บอกให้ซูเหวินชิงเตือนนางเมื่อหยดน้ำในขวดเต็ม ซูเหวินชิงพยักหน้า หลังจากนั้น……เขานั่งจ้องขวดหยดอย่างจริงจังโดยไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินคิดจะบอกให้เขาไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนั้น แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็ล้มเลิกความคิด ให้ซูเหวินชิงได้ทำอะไรสักอย่างก็ดีกว่าปล่อยให้เขามัวแต่นั่งกังวล
แม้นางจะสามารถวินิจฉัยได้ว่าหลานจิ่วชิงไม่ได้ถูกพิษ แต่ก็ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งซึ่งอยู่ในเลือดของหลานจิ่วชิงเป็นอันตรายหรือไม่ แถมระบบประสาทยังได้รับความเสียหาย ไม่รู้ว่าความผิดปกตินี้จะส่งผลต่อร่องการของหลานจิ่วชิงหรือเปล่า……
ไม่รู้จริงๆว่าไอ้สารเลวคนไหนมันทำเรื่องบ้าบอแบบนี้ โชคดีที่ได้พบกับนาง ถ้าหากพบกับคนธรรมดาทั่วไปคงวินิจฉัยว่าถูกพิษ แบบนั้นอาการของหลานจิ่วชิงคงจะเลวร้ายมากกว่านี้……