“ประกาศพระราชโองการ…”
เสียงของขันทีดังกึกก้องไปทั่วจวนเฟิ่ง
ตงหลิงจื่อชุน และซีหลิงเทียนเหล่ยพากันตกตะลึงกับพระราชโองการดังกล่าวเช่นกัน
สายตาของซุนซือสิงเป็นกังวล
พระราชโองการของจักรพรรดิคงมิใช่เรื่องการรักษาองค์หญิงเหยาหวาหรอก? แต่ถ้าใช่ มันก็ช่าง……
เมื่อนึกเช่นนั้น ซุนซือสิงจึงกังวลใจ แม่ว่าจักรพรรดิจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แต่ก็ต้องมีความเกรงใจหรือรู้จักถนอมน้ำใจ ไม่ว่าเรื่องมันจะใหญ่หรือหนักหนาขนาดไหน ก็ต้องรู้บ้างว่าที่เป็นพิธีฝังศพของบุพการี
แพทย์ในตงหลิงมีเยอะแยะ แต่ทำไมต้องเป็นเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนซีหลิงเทียนเหล่ยคิดเช่นเดียวกัน
เฟิ่งชิงเฉินก็คิดเช่นกัน แต่คิดอะไรมากไปมันก็มิมีประโยชน์ ถ้าจักรพรรดิมีพระราชโองการรรับสั่งออกมา นางก็ต้องไป ถ้านางมิไป มันก็เท่ากับว่านางรนหาที่ตาย!
เฟิ่งชิงเฉินกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดบนมือ
“ท่านอาจารย์……” ซุนซือสิงพูดอย่างมีทีท่าที่กังวล
“รับพระราชโองการเถอะ” เฟิงชิงเฉินสูดหายใจเข้าและส่งสัญญาณบอกซุนซือ และส่งสัญญาณให้ซุนซือสิงมิต้องพูดออะไรออกมา รอฟังพระราชโองการแล้วค่อยว่ากัน
ต่อใต้ฟ้าถล่มดินทลาย นางก็มิมีทางยอมแพ้
จู่ๆก็มีพระราชโองการออกมาโดยที่เฟิ่งชิงเฉินยังมิได้เตรียมตัว นางจึงทำได้เพียงคุกเข่ารับพระราชโองการ
ซีหลิงเทียนเทียนเหล่ยกระอักกระอ่วนใจ ขันทีเหล่านี้ดูมีท่าทีแปลกๆ เขาพอจะคาดเดาได้ว่าพระราชโองการน่าจะเป็นเช่นไร และมันคงมิเป็นประโยชน์ต่อเขานัก
เป็นอย่างที่ซีหลิงเทียนเหล่ยได้คาดไว้ เมื่อขันทีอ่านพระราชโองการ สีหน้าของตงหลิงจื่อชุนกับซีหลิงเหล่ยมีสีหน้าที่เป็นกังวล
พูดง่ายๆ ก็คือ พระราชประสงค์ของจักรพรรดิไม่ได้ขอให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยซีหลิงเหยาหวา แต่เป็นการทรงชมเชยและขอบใจที่ได้ช่วยรักษาผู้คนเมื่อครั้งมีภัยพิบัติ และทรงแสดงความเสียใจต่อการตายของพ่อแม่ของนาง และในขณะเดียวกันก็ดีใจที่พบกระดูกของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำพิธีฝังอย่างสงบ จากนั้นจักรพรรดิก็ทรงขอให้เฟิ่งชิงเฉินนั้นพักผ่อน ให้พ้นจากความเศร้าโศกโดยเร็วที่สุด และในขณะเดียวกันก็ให้รางวัลเฟิ่งชิงเฉินสองอย่างเพื่อแสดงการปลอบโยน
เมื่อขันทีพูดพระราชโองการของเฟิ่งชิงเฉินจบ ก็พูดให้ชุนอ๋องรับพระราชโองการของจักรพรรดิต่อ
ตงหลิงจื่อชุนก้าวเข้าไปข้างหน้า และคุกเข่าลงเพื่อฟังพระราชโองการของจักรพรรดิ
พระราชดำรัสของจักรพรรดินั้น อย่างแรกคือทรงตำหนิตงหลิงจื่อชุนที่ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ ไปพบกับพระคู่หมั้นก่อนแต่งงาน ทำลายซึ่งชื่อเสียงขององค์หญิงเหยาหวา แล้วกล่าวว่าตงหลิงจื่อชุนมิคำนึงถึงการทำหน้าทีอันเป็นลูกกตัญญูของเฟิ่งชิงเฉิน
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิทรงได้แสดงถึงความเข้าอกเข้าใจเช่นกันว่า เป็นการดีที่ชุนอ๋องใส่ใจคู่หมั้นของเขา แต่เขาควรใส่ใจในระดับหนึ่ง และให้เหมาะให้ควร
สุดท้าย จักรพรรดิทรงมีดำริต่อว่ามีในตงหลิงแพทย์ที่มีทักษะที่ดีจำนวนมาก มิใช่มีแค่เฟิ่งชิงเฉินคนเดียว จักรพรรดิทรงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชไปช่วยองค์หญิงเหยาหวา ขอให้ชุนอ๋องอย่าเป็นกังวลใจไป ถ้าหากมิมีธุระอันใดก็ขอให้กลับไปยังจวนชุนอ๋อง และมิอนุญาตให้ออกมา
เฟิ่งชิงเฉินยังตะลึงกับพระราชโองการของจักรพรรดิ
จักรพรรดิมาอยู่ข้างนางตั้งแต่เมื่อใดกัน?
จักรพรรดิทำเพื่อนาง?
แม้ว่าคำพูดของจักรพรรดิจะโทษตงหลิงจื่อชุน แต่คนที่ฉลาดย่อมดูรู้ว่าเป็นการลงโทษองค์หญิงเหยาหวา และตำหนิองค์หญิงเหยาหวาที่ชักชวนชุนอ๋องออกมา
ชุนอ๋องมีศักดิ์เป็นถึงหลานชายที่จักรพรรดิทรงโปรดมากที่สุด จักรพรรดิทรงปฏิบัติกับชุนอ๋องดีกว่าลูกชายของตนเองเสียอีก ที่องค์หญิงเหยาหวาเล่นละครและใช้ชุนอ๋องเป็นเครื่องมือในวันนี้ แม้ชุนอ๋องจะไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรองค์หญิงเหยาหวาก็เป็นลูกสาวคนอื่นทำได้เพียงตำหนิหลานของตัวเอง
พระราชโองการของจักรพรรดิเป็นเช่นนี้จริงหรือ? ซีหลิงเหล่ยแทบพูดไม่ออก ดีที่จักรพรรดิมีทรงกล่าวว่าซีหลิงเลี้ยงลูกหลานอย่างไร ถึงทำให้เหยาหวาถึงเป็นหญิงแพศยาได้เยี่ยงนี้
ฮ่าๆ…… เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินขอบพระทัยจักรพรรดิ ในที่สุดจักรพรรดิก็ทรงปรีชาขึ้นมา แม้ว่านางจะพอคาดเดาได้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่อย่างไรเสียนางก็ต้องขอบพระทัยจักรพรรดิ
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” เฟิ่งชิงเฉินและชุนอ๋องตะโกนพร้อมกัน ทุกคนต่างพากันยิ้มและพากันปีติ
พระราชโองการมาในเวลาที่เหมาะที่ควร
“แม่นางเฟิ่ง หมอซุน ลุกขึ้นเถอะ พื้นมันเย็น” หลังจากที่ขันทีประกาศพระราชโองการเสร็จ ใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาก็ดูคลายลง ส่วนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านกงกง” เฟิ่งชิงเฉินยืนขึ้นถือพระราชโองการไว้ในมือทั้งสองข้าง และหลังจากนั้นก็วางพระราชโองการลง พร้อมเชิญขันทีนั่ง “อากาศหนาวเย็น รับชาร้อนสักแก้ว แล้วค่อยออกเดินทาง”
คำพูดที่สื่อถึงการขอบคุณซึ่งกันและกันด้วยความเคารพ แน่นอนว่าขันทีเข้าใจ และกล่าวว่า “ข้ารีบควบม้าเร็วมา เพราะเกรงว่าแม่นางเฟิ่งจะเป็นกังวล นี่ข้าเองก็เหนื่อย…….ดีเหมือนกัน ข้าได้พักบ้าง”
“ลำบากท่านกงกงเลยทีเดียว เชิญท่านกงกงนั่งก่อนเถิด” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินอ่อนโยน แต่นางก็มิมีรอยยิ้มบนใบหน้า ท่านขันทีก็มิได้ถือสาแต่อย่างใด เพราะนี่เป็นพิธีฝังของพ่อกับแม่นาง จะให้นางมามีอารมณ์ขันก็มิใช่
ขันทีเดินเข้ามา โดยระหว่างเดินผ่านซีหลิงเทียนเหล่ย และชุนอ๋องไป ขันทีหยุดและคำนับ “คุณชายเหล่ย องค์ชายชุนฝ่าบาททรงให้ข้ามาตรัสกับท่านทั้งสองว่าหากมิมีเรื่องอันใดที่จวนเฟิ่ง ก็มิควรที่จะมาที่จวนเฟิ่ง”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็รู้สึกว่าจักรพรรดิปกป้องนางมากเกินไป
มีเรื่องแปลกๆมักเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปีนี้
เฟิ่งชิงเฉินตอนนั้นได้แต่คิด ว่าทำไมจักรพรรดิถึงเปลี่ยนไป และเลือกอยู่ข้างนาง มันน่ากลัว น่ากลัวเสียจริง……
นางเคยสนองการทำงานให้จักรพรรดิอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่จักรพรรกอกมิได้ทรงเหลียวแล และตอนนี้นางมาอยู่ข้างกายเสด็จอาเก้า จักรพรรดิจะมาอยู่ข้างนางได้อย่างไรกัน
ในที่สุด เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ว่า…
ทันทีที่ตงหลิงจื่อชุนและซีหลิงเทียนเหล่ยออกไป ขันทีก็อธิบายถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์นี้
ขันทีมิได้มีความลับอะไรต่อเฟิ่งชิงเฉิน และบอกเฟิ่งชิงเฉินถึงเรื่องราวทั้งหมด “แม่นางเฟิ่ง ครั้งนี้เจ้าต้องขอบคุณ คุณชายฝู่ สนมเอก คุณหนูเวิน และขุนนางคนอื่นๆในพระราชวัง ถ้ามิได้พวกเขาช่วยไว้ วันนี้เจ้าคงเดือดร้อนมาก”
ใช่ ความคับแค้นมันยังอยู่ในใจของมนุษย์ ซีหลิงเทียนกับองค์หญิงเหยาหวาทำเช่นนี้เพราะต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินเดือนร้อน
“กงกง ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร? ทำไมคนในวังถึงยอมช่วยข้า?” เฟิ่งชิงเฉินสับสน นางเข้าใจที่ฝู่หลินและสนามเอกช่วยนาง แต่คุณหนูเวินและขุนนางในวังมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
“อ่อ ฮ่าๆ……” ขันทีส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังจนเสียงเข้าไปในโสตประสาทของเฟิ่งชิงเฉิน
ขันทีมิรูว่าตัวเองหัวเราะออกมาดังขนาดนั้น พอหัวเราะเสร็จเขาก็รีบพูดขึ้นว่า…..คุณหนูเวินกำลังตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะพูดอะไรจักรพรรดิก็ฟังทั้งนั้น
เจ้าน่าจะเข้าใจนะ…
มีคนบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนดี แต่จักรพรรดิก็ยังมิทรงเชื่อ แต่พอเป็นนางพูด จักรพรรดิก็ทรงเชื่อหมด เรื่ององค์หญิงเหยาหวา คุณหนูเวินก็เปนคนพูดขึ้นมา หลังจากนั้น……สนมเอกเซี่ยมาได้ยินเข้า ก็เลยกราบบทูลจักรพรรดิให้มอบความยุติธรรมให้เฟิ่งชิงเฉิน
คำพูดของเหล่าสนมมันก็ติดอยู่ในใจจักรพรรดิ แต่สามารถเก็บไว้ในหัวใจของจักรพรรดิเท่านั้น แต่คำพูดของฝู่หลิยทำให้จักรพรรดิทรงมีพระราชโองการออกมาตักเตือนชุนอ๋อง
พูดได้คำเดียวว่านี่คือผลจากความพยายามร่วมกันของทุกฝ่าย เหล่าสนมที่แก่งแย่งชิงดีกัน แต่ได้ผนึกกำลังกันเพื่อเป็นกำลังสนับสนุน
เอ่อ……
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ครุ่นคิดอยู่นาน ว่าเห็นใดกันที่เหล่าสนมจึงคิดว่านางเป็นคนดี แต่ถ้าดูแล้วน่าจะเป็นเพราะพวกนางรู้เรื่องยาที่ช่วยให้คุณหนูเวินท้อง นาเลยเป็นที่สนใจของเหล่าสนมทุกพระองค์ ……
เมื่อจวนเฟิงเปิดต้อนรับเมื่อไหร่ สนมเหล่านี้ก็คงมาออกันหน้าประตู
เฟิ่งชิงเฉินคาดไม่ถึงจริงๆ ว่ายาจะมีผลลัพธ์โดยที่มิได้คาดหวังไว้มาก่อน
ขันทีได้พูดต่อว่า “แม่นางเฟิ่ง มีของที่ต้องการจะนำสิ่งใดฝากไปที่วังหรือไม่หากเป็นสิ่งขงที่ต้องการขอบคุณพวกเขา ข้าจะนำกลับไปให้”
นี่จึงทำให้เห็นได้ชัดว่า ขันทีมาที่นี่ก็มีประโยชน์ต่อพวกเหล่าสนมเช่นกัน เพราะต้องการให้ของจากเฟิ่งชิงเฉินไปเพื่อมอบต่อ
ของอะไรกัน? นางจะมอบของอะไรดี?
แต่อีกฝ่ายพูดแล้ว นางจะไม่มอบได้อย่างไร นางยังหวังว่า หากภายในภาคหน้า เกิดอะไรแบบนี้อีก มันก็จะดีต่อตัวนางเอง
เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว”ข้ามีสิ่งที่จะฝากท่านไปมอบให้กับพระสนมทั้งสอง กงกงได้โปรดรอข้าสักครู่”
เฟิ่งชิงเฉินหันไปหาซุนซือสิง ให้เขาเตรียมของบางอย่างให้กับพระสนมทั้งสอง ทั้งนี้เพื่อปูทาง และหนทางที่ดีของนางในอนาคต……