นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 768 หึง แอบกินก็ต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย
ชายชราหลังค่อมหมอบลงกับพื้น ไม่มีจิตสังหารหรือการป้องกันตัว แค่เสด็จอาเก้ายกเท้าขึ้นก็สามารถเหยียบอีกฝ่ายจนเสียชีวิตได้ เมื่อรับรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู เสด็จอาเก้าก็ลดการป้องกันของเขาเช่นกัน
“ฝ่าบาท? ฝ่าบาทของเจ้าคือผู้ใด?” เสด็จอาเก้าค้นพบว่ากลิ่นไม่ได้ทำให้เขาอึดอัด แต่กลิ่นนั้นติดเสื้อผ้าและคงอยู่เป็นเวลานาน และเมื่อเข้าใกล้ตัวเขาก็สามารถได้กลิ่นของไม้กฤษณา
ใช่ กลิ่นของไม้กฤษณา กลิ่นนี้เหมือนกับกลิ่นกายของผู้หญิงเป็นอย่างมาก เมื่อได้กลิ่นนี้ก็ทำให้ผู้อื่นรู้ได้ทันทีว่าเขาไปที่ไหนหรือทำอะไรมา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้าของเสด็จอาเก้าก็ดำขึ้นมาทันที ในตอนนั้นเขาพอจะรู้แล้วว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร
ชายชราหลังค่อมผมขาวถูกเสด็จอาเก้าทำให้ตกใจ ขานอนลงบนพื้น พูดออกมากับร่างกายที่สั่นเทา “องค์ชายได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าน้อยทำตามคำสั่งของฝ่าบาท ฝ่าบาทตรัสว่าองค์ชายไม่ชอบให้ผู้หญิงเข้าใกล้ ข้าจึงไม่กล้าใช้สาวงามตัวจริง จึงใช้กลิ่นของไม้กฤษณาแทน เพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าองค์ชายได้ออกจากเรือนดอกไม้แห่งนี้จริง”
แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือทำให้ภรรยาขององค์ชายผู้นี้โกรธ คำพูดนี้ไม่กล้าพูดออกมา เกรงว่าจะถูกฆ่าตายตรงนี้
“ฝ่าบาทของพวกเจ้าช่างใจดีเหลือเกิน ฝากบอกเขาแทนข้าด้วย……น้ำใจนี้ข้าได้รับไว้แล้ว แล้วสักวันหนึ่งข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เพื่อเป็นการตอบแทน” ได้ยินชายชราพูดเช่นนี้ เสด็จอาเก้าสามารถมั่นใจได้เลยว่า คนที่ทำเรื่องแบบนี้กับเขาจะต้องเป็นซีหลิงเทียนอวี่
ไอ้สารเลว อยู่ไกลถึงตงหลิงยังไม่วายจะตามรังควานเขา
เสด็จอาเก้าสะบัดแขนเสื้อของเขาและเข้าไปในรถม้าพร้อมกับกลิ่นหอมแปลก ๆ ทั่วร่างกาย ชายชราหลังค่อมผมขาวก้มหน้าลงจนกระทั่งรถม้าของเสด็จอาเก้าจากไป ตอนนั้นเขาถึงลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“ฝ่าบาทนะฝ่าบาท ท่านมีความจำเป็นอะไรต้องทำเช่นนี้ ข้าต้องยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่านจัดการกับองค์ชายผู้นี้ แต่องค์ชายผู้นี้กลับไม่สนใจ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังนึกถึงฝ่าบาทอีกด้วย ฝ่าบาท ขอให้ท่านโชคดี ข้าช่วยท่านได้เพียงเท่านี้”
ชายชราเดินไปที่เรือนดอกไม้อย่างสั่นเทา ด้านนอกของเรือนดอกไม้เต็มไปด้วยคนของซีหลิงเทียนอวี่ ชายชราจึงไม่ต้องกังวลว่าการกระทำเมื่อสักครู่ของเขาจะรั่วไหล
ที่จริงเสด็จอาเก้าก็ไม่ได้ไม่สนใจถึงขนาดที่ชายชราผู้นี้คิด อย่างน้อยเขาก็ไม่ชอบกลิ่นที่ติดอยู่บนร่างกายของเขาในตอนนี้ เมื่อถึงโรงเตี๊ยม เสด็จอาเก้าไม่ได้กลับเข้าไปห้องของเขาในทันที แต่ขอให้เจ้าของโรงเตี๊ยมเตรียมเสื้อผ้าและน้ำให้เขาอาบ
แต่หลังจากแช่ตัวไปสักพักกลิ่นหอมบนร่างกายของเขาก็ยังไม่จางหายไปกลิ่น มันแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังของเขา ไม่ใช่ยาพิษแต่ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้ เสด็จอาเก้ารู้ว่าซีหลิงเทียนอวี่ต้องการจัดการกับเขา แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งของธรรมดา กลิ่นนี้เกรงว่าคงไม่มีทางเอาออกได้ในระยะเวลาอันสั้น
เสด็จอาเก้าเปลี่ยนชุดที่เหมือนเดิมทุกประการ จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้อง
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นางไม่ได้มีนิสัยที่รอเปิดประตูให้คนอื่น นางเข้านอนไปตั้งนานแล้ว แต่เมื่อเสด็จอาเก้าเปิดประตู เสียงผลักประตูของเสด็จอาเก้าก็ทำให้นางตื่นขึ้นมา
เมื่อฝันดีถูกคนรบกวน เฟิ่งชิงเฉินพึมพำอย่างไม่พอใจ แอบสาปแช่งเสด็จอาเก้าในใจ ไม่รู้จักเดินเบา ๆ หรือไง จะต้องทำให้นางตื่นให้ได้ใช่ไหม ลุกขึ้นมานั่งด้วยความงุนงง แต่เมื่อได้กลิ่นหอมแปลก ๆ นางก็ตื่นขึ้นทันที
“ปะ……” แสงพร่างพราวพุ่งออกมาจากเตียงและห้องก็สว่างขึ้น เท้าของเสด็จอาเก้าแข็งทื่อ รีบนำมือออกมาปิดตาของเขา ในขณะเดียวกันก็กล่าวออกมาว่า “ข้าเอง”
“เสด็จอาเก้า มีเจ้าคนเดียวงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถือไฟฉายในมือข้างซ้าย มือขวาถือปืน ซึ่งปืนอยู่ในสภาพพร้อมยิ่ง หากเสด็จอาเก้าตอบสนองช้ากว่านี้ นางคงยิงมันออกไปแล้ว
ไม่แปลกที่นางจะตอบสนองเร็วถึงขนาดนี้ ที่จริงร่างกายของเสด็จอาเก้านอกจากกลิ่นหอมของต้นไผ่แล้ว มันไม่เคยมีกลิ่นอื่นอยู่เลย เมื่อได้กลิ่นอันแปลกประหลาดอย่างกะทันหัน นางก็ตอบสนองทันที
เฟิ่งชิงเฉินวางปืนที่อยู่ในมือลง วางไฟฉายไว้บนเตียง จุดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ แสงเทียนสีส้มกะพริบเล็กน้อย ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ห้องสว่างไสวโดยไม่พร่ามัวเกินไป
เฟิ่งชิงเฉินปิดไฟฉาย พบว่ากลิ่นหอมอันแปลกประหลาดนี้มาจากร่างกายของเสด็จอาเก้า ขมวดคิ้ว มือทั้งสองข้างของนางจับไปยังหัวไหล่ของเสด็จอาเก้า จ้องมองอย่างระมัดระวัง ดวงตาอันงดงามของนางเต็มไปด้วยการหยอกล้อ ทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เสด็จอาเก้า นี่เจ้ากลับมาจากที่ไหน?” เฟิ่งชิงเฉินเลิกการกระทำนั้นของนางทันทีเมื่อรู้สึกได้ รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏออกมาพร้อมกับคำถาม แต่รอยยิ้มเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา มันคือรอยยิ้มแห่งความเสแสร้ง
“เรือนดอกไม้” เขารู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลือกจะพูดความจริง
“เรือนดอกไม้? ทำไมต้องพูดให้มันดูดีขนาดนั้นด้วย มันก็ซ่องไม่ใช่หรือไง” มุมปากของเฟิ่งชิงเฉินกระตุก แม้จะเชื่อในตัวเสด็จอาเก้า แต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายไปซ่องมา แถมยังมีกลิ่นติดตัวมาด้วย แน่นอนว่ามันทำให้นางไม่พอใจ
“ใช่” เสด็จอาเก้าไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมช่วยเขาเปลี่ยนชุด เขาจึงจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง ถอดเสื้อผ้าออก
เฟิ่งชิงเฉินโกรธมากแต่ก็ยังก้าวออกไปด้านหน้าเพื่อช่วยเสด็จอาเก้าถอดเสื้อผ้า แต่เมื่อเสื้อผ้ามาถึงมือเฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ “เสด็จอาเก้าช่างฉลาดเหลือเกิน ไม่ลืมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากไปเที่ยวซ่อง แต่น่าเสียดายที่กลิ่นจากเรือนดอกไม้ช่างล้ำลึกเหลือเกิน ครั้งหน้าหากออกไปแอบกินแบบนี้ก็ควรทำความสะอาดให้ดีเสียหน่อย”
บนร่างกายมีกลิ่น แต่บนเสื้อผ้ากลับไม่มีกลิ่น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเสด็จอาเก้าเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้ว
“คนอย่างข้ารังเกียจที่จะแอบกิน” ไม่ได้ไม่แอบกิน แถมยังรู้สึกรังเกียจ เสด็จอาเก้าไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ของเขาดูผิดปกติ เขาถอดเสื้อผ้าของเขาออกมา ไม่รอให้เฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนไหว เขานำเสื้อผ้าไปไว้บนมือของนาง
แต่เฟิ่งชิงเฉินรับรู้ถึงความผิดปกตินั้น “ดังนั้นเสด็จอาเก้า เจ้าต้องการจะบอกว่าเจ้ากินอย่างเปิดเผยงั้นหรือ? เจ้าไม่คิดจะอธิบายสักหน่อยหรือว่าทำไมเจ้าถึงกลับมาพร้อมกับกลิ่นแบบนี้บนร่างกาย”
นางไม่ถามว่าเสด็จอาเก้าไปทำอะไรที่เรือนดอกไม้ นางแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลิ่นบนร่างกาย เสด็จอาเก้าเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้ว แต่กลิ่นบนร่างกายกลับยังชัดเจนถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องอธิบายเหตุผลให้นางฟัง
เสด็จอาเก้าจ้องไปยังเฟิ่งชิงเฉินและกล่าวออกมาว่า “ข้าจะทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟัง”
เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะไปเรือนดอกไม้เพื่อหาความบันเทิง เรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายไหม? อีกอย่าง หากเขาบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่านี่เป็นแผนร้ายของซีหลิงเทียนอวี่ เฟิ่งชิงเฉินจะเชื่อเขาไหม?
ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินเชื่อ เขาก็ไม่อยากพูดออกมา แต่เขาจะต้องไปคิดบัญชีกับซีหลิงเทียนอวี่อย่างแน่นอน
“ไม่จำเป็นต้องอธิบาย? เจ้ากลับมาพร้อมกับกลิ่นกายสตรี ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟังใช่ไหม?” ในตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินก็แค่ล้อเล่น แต่ตอนนี้นางโกรธจริง ๆ แล้ว
นางทำอะไรล้วนแต่ต้องอธิบายให้เสด็จอาเก้าฟังอย่างชัดเจน แต่เสด็จอาเก้าเล่า นางถามขึ้นมาด้วยตนเอง แต่กลับไม่อธิบายอะไรออกมาสักคำ เขาไม่รู้หรือว่าการที่ผู้ชายกลับมาพร้อมกับกลิ่นเครื่องสำอาง มันแปลว่ามีผู้หญิงอื่นด้านนอก
“มันจำเป็นอย่างนั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น มันจำเป็นต้องอธิบายอะไร
“ได้ ได้ ไม่จำเป็น ไม่มีความจำเป็น เจ้าอยากทำอะไรเจ้าก็ทำไปเลย ไม่มีใครยุ่งกับเจ้าอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินแขวนเสื้อของเขาด้วยความโกรธ จากนั้นไม่สนใจเสด็จอาเก้า กลับไปนอนต่อบนเตียง
นางไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก!
กลับมากลางดึกพร้อมกับกลิ่นกายของผู้หญิง ไม่อธิบายอะไรออกมาสักคำ นี่มันอะไรกัน!
นี่เป็นต่างประเทศ ไม่ใช่ตงหลิง แต่ว่านางจะไม่ใช่เด็ก แต่ก็เป็นผู้หญิงตาดำ ๆ คนหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศเพียงคนเดียว แน่นอนว่าไม่มีทางเดินออกไปเพ่นพ่าน เสด็จอาเก้าทิ้งนางไว้คนเดียวก็มากพอแล้ว แต่สุดท้ายตนเองกลับไปเที่ยวซ่อง แถมยังไม่บอกเหตุผลแม้แต่คำเดียว
แบบนี้มีด้วยหรือ
เฟิ่งชิงเฉินโกรธจนน้ำตาแทบไหลออกมา นางม้วนผ้าห่มและหันหลังให้เสด็จอาเก้า…..
นางไม่ใช่ผู้หญิงขี้น้อยใจ และไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในตัวของเสด็จอาเก้า นางเชื่อว่าเสด็จอาเก้าไม่มีทางไปเถลไถลด้านนอก แต่เรื่องแบบนี้นางสามารถเชื่อได้เพียงครั้งสองครั้ง ไม่ใช่ว่าจะเชื่อได้ในทุกครั้ง หากเสด็จอาเก้าไปด้านนอกแล้วมีกลิ่นเช่นนี้ติดตัวกลับมาด้วยทุกครั้งโดยไม่อธิบายอะไร นางก็ไม่รู้ว่านางจะเชื่อตัวของเขาได้อีกสักกี่ครั้ง
นางแค่อยากให้เสด็จอาเก้าอธิบายเหตุผลออกมา มันยากมากหรือไง?