นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 789 ความเห็นของปวงชน จักรพรรดิไร้การสนับสนุน
เฟิ่งชิงเฉินต้องการให้สายลับเข้าไปยังจวนซุ่นหนิงโหวและองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อขโมยกระดาษและหมึกดำของพวกเขา หลังจากนั้นให้สายลับเขียนข้อความส่วนตัวซึ่งเป็นความลับระหว่างจวนซุ่นหนิงโหวกับองครักษ์เสื้อโลหิต
ส่วนเรื่องความลับส่วนตัวของพวกเขา เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดจะเขียนความจริงลงไปอยู่แล้ว แน่นอนว่านางต้องการเขียนในสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายมากที่สุด
จวนซุ่นหนิงโหวบอกว่าศิษย์ของนางข่มขืนคุณหนูของจวนซุ่นหนิงโหวไม่ใช่หรือไง งั้นนางจะใช้กระดาษขององครักษ์เสื้อโลหิตเขียนว่าคุณหนูของจวนซุ่นหนิงโหวแอบเป็นชู้กับคนใช้ คุณชายแห่งจวนซุ่นหนิงโหวเป็นชู้กับป้าของเขา ทำให้ภรรยาของเขาหันไปเป็นชู้กับผู้มีอำนาจใจเมืองหลวง ทำให้จวนซุ่นหนิงโหววุ่นวายเป็นอย่างมาก ในจวนซุ่นหนิงโหวไม่มีใครสะอาดเลยสักคน
คุณหนูของจวนซุ่นหนิงโหวแอบเป็นชู้กับคนใช้ หลังจากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป จวนซุ่นหนิงโหวจึงต้องการโยนความผิดทั้งหมดให้กับหมอเทวดาน้อยซุน ทำให้หมอเทวดาน้อยซุนถูกจับเข้าคุก จวนซุ่นหนิงโหวติดสินบนองครักษ์เสื้อโลหิต ทรมานหมอเทวดาน้อยซุนเพื่อบังคับให้ยอมรับสารภาพ
หมอเทวดาน้อยซุนปฏิเสธที่จะรับความผิดอันไร้เหตุผล องครักษ์เสื้อโลหิตจึงใช้การข่มขู่ ใช้วิธีการมากมายในการทรมานหมอเทวดาน้อยซุน คนในครอบครัวมาขอเยี่ยมแต่องครักษ์เสื้อโลหิตกลับไม่ให้เข้าเยี่ยม ตั้งแต่ถูกจับเข้ามาในเรือนจำองครักษ์เสื้อโลหิต ไม่รู้ว่าหมอเทวดาน้อยซุนเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทุกอย่างถูกเก็บไว้เป็นความลับ
ส่วนด้านมืดขององครักษ์เสื้อโลหิต เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งชิงเฉินพูด สายลับสามารถสาธยายออกมาได้มากมาย องครักษ์เสื้อโลหิตซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย หลายปีที่ผ่านมาทำแต่เรื่องไม่ดี หากให้เขียนออกมาจริงคงได้หนังสือหลายเล่ม
องครักษ์เสื้อโลหิตมีหน้าที่ตรวจการณ์การทำงานของขุนนางในส่วนต่าง ๆ แต่กลับร่วมมือกับเหล่าขุนนางเพื่อปกปิดความผิด ทำทุกอย่างโดยไม่คิดถึงคุณค่าชีวิตของประชาชน ประณามประชาทัณฑ์โดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย สังหารผู้คนเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของตนเอง
กระดาษสองแผ่น ในหาในแต่ละแผ่นมีไม่ถึงร้อยคำ แต่เรื่องราวบนกระดาษสามารถพลิกโฉมหน้าผู้คนได้ เมื่อเข้าใจในคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉิน สายลับรีบไปจัดการและนำกระดาษดังกล่าวมอบให้เฟิ่งชิงเฉิน
ด้วยคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน สิ่งที่เขียนออกมานั้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ตรงไปตรงมา หากข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถเข้าใจได้ เฟิ่งชิงเฉินอ่านข้อความเหล่านั้นพร้อมพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
นางต้องการสร้างข้อความที่ประชาชนทุกคนสามารถลงความเห็นได้ ไม่ใช่คำฟ้องร้องต่อศาล ดังนั้นจึงเขียนออกมาให้เข้าใจง่ายที่สุด
“ตามข้อความเหล่านี้ คัดลอกออกมาพันฉบับ ข้าต้องการเห็นมันก่อนรุ่งสางของวันพรุ่งนี้” เฟิ่งชิงเฉินกำชับอีกครั้ง ข้อความนี้คือสิ่งปลอมแปลงที่สร้างขึ้นเพื่อทำลายจวนซุ่นหนิงโหวและองครักษ์เสื้อโลหิต ดังนั้นคนที่เข้ามาจัดการจึงมีเพียงแค่สายลับ ห้ามให้ผู้อื่นรู้เป็นอันขาด
นางไม่สามารถปล่อยให้องครักษ์เสื้อโลหิตสืบหาต้นสายปลายทางของตัวอักษรได้ ส่วนเรื่องที่มาของกระดาษนางไม่จำเป็นต้องกังวล เนื่องจากต่อให้สืบหาอย่างไรมันก็เกี่ยวข้องกับจวนซุ่นหนิงโหวและองครักษ์เสื้อโลหิตเท่านั้น
สายลับรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หากคนอื่นรู้ว่าข่าวซึ่งกระจายออกมานี้เป็นฝีมือของเฟิ่งชิงเฉิน จักรพรรดิไม่มีทางปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปอย่างแน่นอน แต่ว่า……
“แม่นาง ทำแบบนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?” สายลับทำตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่มีข้อกังขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กังวลว่าเรื่องนี้มันจะส่งผลอย่างไร
พวกเขาไม่กลัวที่จะทำสิ่งต่าง ๆ แต่กลัวว่ามันจะไม่ได้ผลมากกว่า เนื่องจากสุดท้ายคนที่ได้รับผลเสียก็คือเฟิ่งชิงเฉิน การแจกจ่ายจดหมายเช่นนี้ออกไป พวกเขาไม่เคยเห็นวิธีนี้มาก่อน ซึ่งผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้น พวกเขาไม่กล้ารับประกัน
“จะได้ผลหรือไม่ ลองดูก็รู้เอง ความเห็นของปวงชนมิอาจมองข้ามได้ เรื่องนี้พวกเราเป็นฝ่ายผิดก่อน ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้คือการใช้ประโยชน์จากประชาชน ให้พวกเขาเห็นด้วยกับพวกเรามากที่สุด” ลักษณะของประเทศนั้นแตกต่างกันออกไป เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่การทำอะไรบางอย่างมันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
“ความเห็นของปวงชน? จักรพรรดิจะสนใจเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ?” สายลับถอนหายใจ เขาไม่ค่อยเห็นด้วยการเรื่องนี้สักเท่าไหร่
ความเห็นของปวงชน เรื่องแบบนี้พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ประชาชนสำคัญที่สุด ประเทศชาติเป็นรอง และจักรพรรดิมีความสำคัญน้อยที่สุด เมื่อความคิดเห็นของประชาชนไปถึงระดับสูง แม้จักรพรรดิไม่อยากใส่ใจ แต่มันก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ มันก็เหมือนกับภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้น ผู้บรรเทาภัยพิบัติลึกลับฝั่งอยู่ในใจของประชาชน ทำให้จักรพรรดิรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก แล้วแบบนั้นเจ้าจะพูดว่าความเห็นของปวงชนไม่มีประโยชน์อย่างงั้นหรือ?” ภัยพิบัติหิมะ การระเบิดของภูเขาทั้งห้า เสด็จอาเก้าใช้ความเห็นจากประชาชนในการบีบคั้นจักรพรรดิไม่ใช่หรือไง ทำให้จักรพรรดิต้องล่าถอย แล้วทำไมถึงจะนำมาใช้ตอนนี้ไม่ได้
สายลับครุ่นคิด พยักหน้าและคัดลอกตามที่ได้รับสั่งต่อไป ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย หลังจากมอบหมายหน้าที่อย่างชัดเจนนางก็เดินออกไปยังห้องผ่าตัดเพื่อเปิดการทำงานของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ
เฟิ่งชิงเฉินเปิดประตูเข้าไปในห้องผ่าตัด พบว่าจั่วอั้นทำความสะอาดบาดแผลให้กับซุนซือสิงเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ท่าทางและทัศนคติของเขาดูเหมือนเป็นหมออย่างแท้จริง
เฟิ่งชิงเฉินยืนตะลึงอยู่หน้าประตู น้ำมูกไหลออกมา โค้งคำรับให้กับจั่วอั้นและกล่าวว่า “จั่วอั้น ขอบคุณเจ้ามาก ซือสิงฟื้นแล้ว ข้าจะให้เขาไปขอบคุณเจ้า ชีวิตนี้ของเขา เจ้าเป็นคนช่วยเอาไว้”
ไม่มีจั่วอั้น ทุกอย่างคงไม่ราบรื่นถึงขนาดนี้ จั่วอั้นคือผู้ช่วยชีวิตซุนซือสิง ถือเป็นผู้มีพระคุณ คำพูดนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่เป็นคำพูดซึ่งออกมาจากหัวใจของนาง
“เลิกบีบน้ำตาได้แล้ว ข้าก็แค่ทำงานเพื่อเงิน ได้ช่วยอะไรที่ไหน ข้าจั่วอั้น ไม่เคยช่วยชีวิตใครมาก่อน ในเมื่อเจ้ามาแล้ว งั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วกัน” จั่วอั้นโยนผ้าในมืออย่างเย่อหยิ่ง เดินออกไปอย่างภาคภูมิ ท่าทางซึ่งเป็นอยู่ในตอนนี้มันแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่แท้จริงของเขา
ถูกเฟิ่งชิงเฉินเห็นต้องที่เขากำลังเช็ดบาดแผลให้ซุนซือสิง เขาเองก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ท่าทางซึ่งเขาแสดงออกก็เหมือนกับว่าเขารังเกียจซุนซือสิง แบบนั้นจะไปช่วยซุนซือสิงเช็ดบาดแผลได้อย่างไร
แม้เขาจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเด็กที่ดูอ่อนต่อโลกผู้นี้ แต่จั่วอั้นยังคงเดินออกไปอย่างแน่วแน่ เมื่อถึงหน้าประตู จั่วอั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยุดลงและหันกลับมาพร้อมกับพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขา เขาไม่ได้ถูกล่วงละเมิด แค่ถูกทำร้ายเท่านั้น”
หลังจากพูดจบ จั่วอั้นถึงเดินจากไป คำพูดนี้คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจมันเป็นอย่างดี สำหรับนักโทษในเรือนจำ สิ่งซึ่งน่ากลัวที่สุดไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย แต่มันคือการทำร้ายจิตใจ
ตอนนักโทษถูกขังอยู่ในเรือนจำ การถูกนักโทษคนอื่นเข้ามาล่วงละเมิดถือเป็นเรื่องปกติ อย่าว่าแต่ในยุคโบราณเลย ต่อให้เป็นยุคนี้ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินกังวลว่าซุนซือสิงอาจพบเจอกับปัญหาพวกนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจั่วอั้น เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก
นางไม่อยากให้เด็กซึ่งบริสุทธิ์และใสสะอาดอย่างซุนซือสิงต้องไปพบเจอกับเรื่องสกปรกพวกนั้น เมื่อเทียบกับความอับอาย นางเลือกจะปล่อยให้ซุนซือสิงถูกทำร้ายร่างกายจะดีกว่า เนื่องจากร่างกายสามารถฟื้นฟูได้ แต่หากจิตใจถูกทำลายไปแล้วมันก็ยากจะฟื้นฟู
การที่ซุนซือสิงไม่ได้รับความอัปยศเช่นนั้นถือเป็นเรื่องดี ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกดีใจอย่างมาก และหวังว่าหลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ซือสิงจะยังคงรักษานิสัยเดิมของเขาไว้ได้ และเหนือสิ่งอื่นใด จิตใจของเขาจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“ขอบคุณ” จ้องมองเงาหลังอันเย่อหยิ่งของจั่วอั้น เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาอย่างกะทันหัน มันเป็นความโชคดีในโชคร้ายของซือสิงที่ได้รับความช่วยเหลือจากจั่วอั้นในเหตุการณ์ครั้งนี้
ฮึ……จั่วอั้นได้ยินคำขอบคุณ ไม่ได้หันหน้ากลับไป แค่พ่นลมหายใจอันเย็นชาออกมาเท่านั้น ถึงเสียงจะไม่ได้ แต่มันก็เพียงพอที่เฟิ่งชิงเฉินจะได้ยิน
“เป็นเด็กที่เอาใจยากเสียจริง เจ้าไม่รู้หรือไงว่านิสัยแบบนี้เขาเจ้าไม่เป็นที่น่าพึงพอใจต่อผู้อื่น” แต่ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ยังชอบนิสัยของจั่วอั้น
จั่วอั้นเป็นคนนิสัยดีมาก ถือว่าเป็นคนจริงใจและไว้ใจได้คนหนึ่ง หากเขาดีต่อใครเขาจะดีด้วยเป็นอย่างมาก ซึ่งเหตุผลที่เขาดีด้วยนั้นเป็นเพียงเพราะความชื่นชอบ และเขาไม่เคยหวังผลตอบแทนจากอีกฝ่าย
มองไปยังจั่วอั้นด้วยใบหน้าอันชื่นชม เมื่อหันมาเห็นทงจือซึ่งยังอยู่ในห้องผ่าตัด เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ทงจือ ที่นี่ไม่ต้องการเจ้า เจ้าออกไปดูแลคุณชายจั่วเถิด”
ชั่วพริบตา เฟิ่งชิงเฉินกลับเข้าสู่ความเป็นหมออย่างแท้จริง ท่าทางของนางดูสงบและจริงจัง ออกคำสั่งกับทงจืออย่างเย็นชา
“ข้าเข้าใจแล้ว” ทงจือหวาดกลัวใบหน้าอันเย็นชาของเฟิ่งชิงเฉิน ตอบรับอย่างเศร้าใจ แอบเหลือบมองเฟิ่งชิงเฉิน เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจนาง ทงจือจึงถอยออกมาอย่างโดดเดี่ยว
นางรู้ว่าคุณหนูไม่พอใจกับพวกนางเป็นอย่างมาก