นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 808 ถอยหนี ให้ศัตรูลดการป้องกัน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 808 ถอยหนี ให้ศัตรูลดการป้องกัน

เฟิ่งชิงเฉินอธิบายออกมาได้อย่างเป็นระเบียบและชัดเจน ไม่มีช่องโหว่ให้จวนซุ่นหนิงโหวได้แทรกแซง พวกเขาทำได้เพียงเฟิ่งชิงเฉินพูดในห้องพิจารณาคดีอย่างลื่นไหล เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้นำหลักฐานอะไรออกมา นางมีเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวแต่กลับสามารถทำให้จวนซุ่นหนิงโหวดูไร้ค่าได้

มหัศจรรย์!

ในตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะละสายตาจากเฟิ่งชิงเฉิน ตงหลิงจื่อลั่วต้องบอกเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ แม้พรสวรรค์ของเฟิ่งชิงเฉินจะต่างออกไปจากสิ่งที่ผู้หญิงควรมี แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพรสวรรค์ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นโดดเด่นในห้องพิจารณาคดีแห่งนี้มาก

ผู้หญิงคนนี้ ขอแค่นางได้รับโอกาสก็สามารถเปล่งประกายได้อย่างเจิดจรัส ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น แต่มันสามารถพรากหัวใจของผู้คนไปได้

ตอนแรกทำไมเขาถึงได้คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนอ่อนแอ ไร้ซึ่งความสามารถ และเป็นคนเจ้าเล่ห์? ทำไมเขาถึงได้คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินไร้ความสามารถ ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเขาไม่ได้?

เสียใจ? ตงหลิงจื่อลั่วบอกตัวเองว่าไม่มีทางเสียใจ แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี เฟิ่งชิงเฉินที่สู้อย่างสุดความสามารถเพื่อทวงความยุติธรรมให้ซุนซือสิง เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที

เพื่อซุนซือสิงเพียงคนเดียว เฟิ่งชิงเฉินถึงขั้นยอมเป็นศัตรูกับจวนซุ่นหนิงโหวและองครักษ์เสื้อโลหิตอย่างไม่ลังเล หากเพื่อคนรัก นางจะทำอะไรออกมาได้บ้าง?

ยอมสละทุกอย่าง? ทุ่มเททุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข?

คิดถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว ร่างกายของตงหลิงจื่อลั่วเดือดพล่าน เขาอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ หากตอนนั้นเขาไม่ได้พบกับเหยาหวา และเหยาหวาไม่ได้เข้ามาทำลายงานแต่งงานของเขา เขาก็คงได้แต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉิน เช่นนั้นเขาก็จะได้เป็นชายเพียงหนึ่งเดียวของเฟิ่งชิงเฉิน และเขาก็สามารถพูดกับชายทั้งโลกอย่างภาคภูมิใจว่า ผู้หญิงคนนั้นคือภรรยาของข้า แต่น่าเสียดายที่เขาเสียโอกาสนั้นไป

ตงหลิงจื่อลั่วจ้องมองมือทั้งสองข้าของตนเองอย่างว่างเปล่า ในมือของเขาเคยมีผ้าไหมสีแดงผืนหนึ่ง ตราบใดที่เขากำหมัดแน่น เขาสามารถดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในอ้อมแขนของเขาได้ แต่เมื่อเขาปล่อยมันไปแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสจะนำมันกลับมา

เมื่อนึกถึงคำเตือนของเสด็จอาเก้า ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วมืดมนลงไปทันที เขาตอนนี้ไม่มีแม้แต่ใจที่จะคิดว่าหากหัวหน้าศาลต้าหลี่หลุดจากตำแหน่ง ใครจะเป็นคนขึ้นมาแทน

องค์ชายรองเหลือตามองตงหลิงจื่อลั่ว เห็นสภาพซึ่งไร้วิญญาณของตงหลิงจื่อลั่ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้ดวงตาขององค์ชายรองเต็มไปด้วยความดูถูก

เมื่อสูญเสียไปแล้วจะมาเสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์ หากเป็นผู้หญิงคนอื่นจื่อลั่วอาจจะยังมีโอกาส แต่เฟิ่งชิงเฉินคือผู้หญิงของเสด็จอาเก้า เกรงว่าชีวิตนี้ตงหลิงจื่อลั่วคงไม่มีโอกาสเหลืออยู่แล้ว

องค์ชายรองไม่สนใจตงหลิงจื่อลั่ว เฝ้ามองเฟิ่งชิงเฉินจัดการกับจวนซุ่นหนิงโหวต่อไป สุดท้ายผลลัพธ์กลับทำให้องค์ชายรองแปลกใจ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ไล่ต้อนจวนซุ่นหนิงโหวจนถึงที่สุด ดูเหมือนว่านางจะต้องใจปล่อยจวนซุ่นหนิงโหวไป

หลังจากสรุปคดีทั้งหมดเป็นอันเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาอย่างสุภาพว่า “คุณชายเฉิน ทนายฉิง พวกท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่ ข้าได้วิเคราะห์เหตุการณ์ซึ่งหน้าจะเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีคำพูดไหนผิดไปหรือเปล่า? หรือพวกท่านเชื่อในความสามารถของซุนซือสิง ว่าเขาสามารถทำทุกอย่างกับคุณหนูลิ่วได้ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป”

เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาในตอนที่นางถามคำถามนี้ แต่รอยยิ้มนั้นสำหรับคุณชายเฉินและทนายฉิง ไม่ว่าดูอย่างไรมันก็คือรอยยิ้มแห่งความเศร้าหมอง

พูด พูดบ้าอะไรของเจ้า เจ้าเฟิ่งชิงเฉินพูดทุกอย่างออกไปหมดแล้ว พวกเขายังพูดอะไรออกมาได้อีก ใบหน้าของทนายฉิงเต็มไปด้วยความขมขื่น ปาดเหงื่อพร้อมกล่าวออกมาว่า “เรื่องนี้ เรื่องนี้ คุณชาย ท่านมีความเห็นอย่างไร?”

“ความเห็นอะไร ท่านเป็นทนาย น้องสาวของข้าเสียชีวิตต่อหน้าซุนซือสิง หรือว่าข้าจะมีความผิดอะไร?” คุณชายเฉินเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี เขาเข้ามาที่นี่ด้วยความเย่อหยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับถูกเฟิ่งชิงเฉินโจมตีจนไร้ซึ่งหนทางตอบโต้

ภายใต้ข้อกล่าวหาและบทสรุปของเฟิ่งชิงเฉิน จวนซุ่นหนิงโหวไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งตะโกนใส่เฟิ่งชิงเฉินว่านางเป็นคนใส่ร้ายพวกเขา

จากชุดคำถามดังกล่าว ต่อให้พวกเขาเปลี่ยนคำพูดมันก็ไม่มีประโยชน์ หลังซุนซือสิงออกไปจากตำหนักด้านหน้ามันก็เกือบจะสิบโมงแล้ว เวลาเพียงสิบห้านาทีมันไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้

คุณชายเฉินพ่นลมหายใจ ทันใดนั้นทนายฉิงก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาเองก็เป็นโจทก์ จึงรีบตอบกลับไปอย่างขมขื่น “ใช่แล้วแม่นางเฟิ่ง จากที่เจ้าพูดออกมา งั้นก็แสดงว่าคุณหนูลิ่วแห่งจวนซุ่นหนิงโหวต้องตายเปล่าอย่างนั้นหรือ?”

ใช้เหตุผลไม่ได้ งั้นพวกเขาก็คนทำได้แค่ใช้ความน่าสงสารเข้าสู้ ในจวนของพวกเขามีคนตาย ทนายฉิงสวมบทบาทเป็นผู้เสียหาย บ่งบอกว่าตนเองเป็นฝ่ายสูญเสีย

“ทำไมคุณหนูลิ่วของพวกท่านจึงเสียชีวิตลงในจวน พวกท่านก็รู้อยู่แก่ใจ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างสงบ นางยังอยากจะเอาศพของอีกฝ่ายมาชันสูตร ดังนั้นจึงไม่สามารถบีบคั้นจวนซุ่นหนิงโหวจนถึงขีดสุดได้

เห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับถอยออกมาอย่างกะทันหัน หันไปประสานมือและกล่าวกับผู้พิพากษาทั้งสามว่า “ใต้เท้า เฟิ่งชิงเฉินกล่าวจบแล้ว ท่านใต้เท้าโปรดให้คำตัดสิน”

พูดจบนางก็ถอยกลับไปด้านหลังเพื่อรอคำตัดสินจากหัวหน้าศาลต้าหลี่ คดีมันชัดเจนถึงขนาดนี้ ต่อให้จวนซุ่นหนิงโหวเอาคนตายมาพูดมันก็ไม่มีประโยชน์

ทุกคำให้การย่อมมีช่องโหว่ หากเจ้าสามารถหาช่องโหว่นั้นเจอ ทำลายมัน เจ้าก็สามารถพลิกสถานการณ์ และป้องกันตนเองจากฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ตอนนี้จวนซุ่นหนิงโหวกลับไม่มีหลักฐานว่าตนเองถูกใส่ร้าย หากจวนซุ่นหนิงโหวฉลาดกว่านี้ พวกเขาก็น่ามีวิธีการตอบโต้

แน่นอนว่านางไม่ต้องการให้จวนซุ่นหนิงโหวสารภาพผิดในเวลานี้ หากอีกฝ่ายยอมรับ แบบนั้นนางจะนำศพมาชันสูตรได้อย่างไร ตายยังไม่ถึงสามวัน แต่กลับนำศพไปฝั่ง แบบนั้นหากบอกว่าจวนซุ่นหนิงโหวไม่มีแผนร้ายอยู่ในใจ ใครก็ไม่มีทางเชื่อ

ในตอนนี้หัวหน้าศาลต้าหลี่เองก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เฟิ่งชิงเฉินส่งมันร้อนมาให้เขา เขาจะต้องตัดสินอย่างไร คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสมเหตุสมผล แต่ทางฝั่งของจวนซุ่นหนิงโหวก็มีผู้เสียชีวิต เขาไม่สามารถตัดสินคดีโยนความผิดให้กับจวนซุ่นหนิงโหวเพราะคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเพียงฝ่ายเดียวได้

ในตอนนี้ คุณชายเฉินรู้สึกเหมือนตนเองได้รับพรอย่างกะทันหัน ก่อนที่หัวหน้าศาลต้าหลี่จะตัดสิน จู่ ๆ เขาก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา

“ใต้เท้า ข้าถูกใส่ร้าย จวนซุ่นหนิงโหวของพวกเราถูกใส่ร้ายจริง ๆ ตอนที่เกิดเรื่องกับน้องหกของข้า คนรับใช้ในจวนของนางทุกคนหมดสติ มีเพียงซุนซือสิงและน้องหกของข้าเท่านั้นที่ยังมีสติอยู่ เมื่อคนของข้าเข้าไปเจอเขา น้องหกก็ถูกกระทำชำเราจนน่าอับอาย นางทนไม่ไหวจนต้องโขกหัวตนเองจนตาย ใต้เท้า ข้าไม่รู้ว่าซุนซือสิงก่ออาชญากรรมอย่างไร แต่สิ่งที่ข้าเห็นก็คือเขาสร้างความอัปยศให้แก่น้องสาวของข้า น้องสาวของข้าเสียชีวิต ใต้เท้าจะปล่อยให้น้องสาวของข้าต้องตายไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้”

การตายของคุณหนูสร้างความได้เปรียบให้กับจวนซุ่นหนิงโหว เห็นคุณชายเฉินยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เฟิ่งชิงเฉินแอบคิดในใจ “ถือว่ามีไหวพริบอยู่บ้าง”

คนตายไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหาย แต่นางก็ไม่ได้คิดจะออกมาโต้แย้ง ไม่ปล่อยให้จวนซุ่นหนิงโหวมีโอกาสได้หายใจ ไม่ว่าจวนซุ่นหนิงโหวจะผิดแค่ไหน เฟิ่งชิงเฉินก็ยอมถอยออกมาด้านข้าง ปล่อยให้เฉินอี้และทนายฉิงสาปแช่งออกมา โดยที่นางไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

นี่ทำเอาตี๋ตงหมิงถึงกับร้อนรน ตี๋ตงหมิงหันไปใช้สายตากับเฟิ่งชิงเฉิน แต่น่าเสียดายที่การกะพริบตาของเขา เฟิ่งชิงเฉินไม่สังเกตเห็นถึงมันเลย

ตี๋ตงหมิงร้อนรน ก้าวออกไปเตะเฟิ่งชิงเฉินหนึ่งครั้ง

“มีอะไรงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินหันไปด้านข้าง อ้าปากพูด แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เจ้าทำอะไรของเจ้า ทำไมถึงได้ปล่อยให้เฉินอี้เข้ามาสร้างความวุ่นวาย” ตี๋ตงหมิงกระซิบออกมา เสด็จอาเก้าจับผิดทนายฉิงได้สำเร็จ แต่ไม่สามารถจับผิดคนเจ้าเล่ห์อย่างเฉินอี้ได้

“ไม่ต้องสนใจเขา” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า ไม่สนใจความร้อนรนของตี๋ตงหมิง และไม่สนใจเฉินอี้ที่กำลังตะโกนว่าตนเองถูกใส่ร้ายอยู่ สมองของนางคิดถึงซุนซือสิงซึ่งพักอยู่ในจวนอ๋องเก้า ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

เฉินอี้ตะโกนออกมาอย่างต่อเนื่อง เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดอะไร หัวหน้าศาลต้าหลี่และผู้พิพากษาอีกสองคนซึ่งอยู่ด้านข้างพูดคุยปรึกษากัน ตัดสินใจเรียกคนที่อยู่รอบตัวของคุณหนูลิ่วมาเพื่อสอบปากคำ จากนั้นส่งคนไปยังจวนซุ่นหนิงโหวเพื่อพิสูจน์และตรวจสอบหลักฐาน

สรุปก็คือ ศาลต้าหลี่ไม่สามารถล้มเลิกคดีนี้ได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องดำเนินต่อไป

“เฟิ่งชิงเฉิน เฉินอี้ พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร?” หัวหน้าศาลต้าหลี่ตัดสินออกมา จากนั้นก็หันมาถามความเห็นของทั้งสองคน

“ไม่มีความเห็นแต่อย่างใด” เฟิ่งชิงเฉินและเฉินอี้กล่าวออกมาพร้อมกัน

หัวหน้าศาลต้าหลี่ถอนกายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นใช้ค้อนทุบตันสิน “เลื่อนพิจารณาคดี!”

พูดจบเหล่าผู้พิพากษาก็หันหน้าหนี เดินออกไปจากแท่นตัดสินทันที แค่เห็นก็รู้ว่าคดีในวันนี้ทำให้หัวหน้าศาลต้าหลี่กดดันมากแค่ไหน

เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม จากนั้นบอกให้ทนายซ่งกลับบ้านของตนเองไป ส่วนนางเดินทางกลับไปพร้อมกับตี๋ตงหมิง ตอนออกมาจากศาลก็บังเอิญเจอกับเฉินอี้และทนายฉิงตรงหน้าประตู ทั้งสองฝ่ายหยุดยืนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าประตูจะใหญ่ แต่มันก็เดินออกไปได้เพียงครั้งละสองคนเท่านั้น ไม่มีทางที่ทั้งสามคนจะเดินออกไปพร้อมกันได้

“คุณชาย” ทนายฉิงดึงแขนเสื้อของเฉินอี้เพื่อบอกให้เขาถอย แต่เมื่อสักครู่เฉินอี้เพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับเฟิ่งชิงเฉินมา มีหรือที่เขาจะยอมถอย

พ่นลมหายใจออกมาอย่างเยือกเย็น เฉินอี้ยืนอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว บ่งบอกว่าให้เฟิ่งชิงเฉินถอยออกไป เขากับตี๋ตงหมิงสามารถเดินออกไปพร้อมกันได้ เขายอมหลบให้ตี๋ตงหมิง แต่ไม่มีทางหลบให้เฟิ่งชิงเฉิน หากยอมหลีกทางให้เฟิ่งชิงเฉิน แบบนั้นไม่เท่ากับว่าจวนซุ่นหนิงโหวของพวกเขายอมก้มหัวให้จวนเฟิ่งอย่างนั้นหรือ

“เชิญคุณชายเฉิน” เฟิ่งชิงเฉินขี้เกียจที่จะเอาตัวไปยุ่งกับเฉินอี้ ดึงแขนเสื้อของตี๋ตงหมิงเพื่อบอกให้เขาถอยกลับมา ตี๋ตงหมิงเป็นใคร นอกจากเชื้อพระวงศ์ เขาตี๋ตงหมิงถือว่าเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ใครที่บอกให้เขาถอยมันก็เท่ากับว่ากำลังรนหาที่ตาย

ตี๋ตงหมิงหันไปมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาดุร้าย ให้เขาถอย นั่นไม่ได้หมายความว่าจวนซู่อ๋องกลัวจวนซุ่นหนิงโหวหรือไง

เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจ นางยังคงบอกให้ตี๋ตงหมิงถอยออกมา ตี๋ตงหมิงโกรธจนแทบคลั่ง แค่เมื่อนึกถึงคำเตือนของคุณปู่ว่าเฟิ่งชิงเฉินฉลาดกว่าเขามาก ให้ฟังที่เฟิ่งชิงเฉินพูดจะดีกว่า ตี๋ตงหมิงจึงทำได้เพียงกัดฟันและถอยกลับมา

เฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงถอยออกไปเช่นนั้น ทำให้เฉินอี้ตกใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้าของทั้งสองยังคงนิ่งสงบ เฉินอี้ก็ไม่ได้สนใจ และรีบเดินออกไปก่อน

คุณชายแห่งจวนซู่อ๋องยอมหลีกทางให้เขา นี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การโอ้อวด เขาต้องรีบออกไปโอ้อวดความยิ่งใหญ่ของเขาให้เร็วที่สุด

“ซื่อจื่อ แม่นางเฟิ่ง ข้าต้องขอประทานโทษ” ทนายฉิงประสานมือด้วยความอึดอัด รีบเดินตามออกไป

เมื่อทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ตี๋ตงหมิงถึงถามเฟิ่งชิงเฉินออกมาด้วยความโกรธว่า “ทำไมถึงให้ข้าหลีกทางให้เขา เขาเป็นใคร ทำไมซื่อจื่ออย่างข้าต้องหลีกทางให้ด้วย”

“แสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นเพื่อบดบังสายตาของพวกเขา หากหาหลักฐานไม่พบ พวกเราก็ไม่สามารถทำอะไรจวนซุ่นหนิงโหวได้ เรื่องการฝังจวนซุ่นหนิงโหวให้จมดินก็คงเป็นได้เพียงแค่ความฝัน” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าตี๋ตงหมิงรู้สึกโกรธ ดังนั้นนางจึงอธิบายออกไปเล็กน้อย ส่วนเหตุผลที่แท้จริง นางไม่คิดจะพูดออกไปอยู่แล้ว

เฉินอี้กลับมายังจวนซุ่นหนิงโหว เขาเล่าเรื่องที่ตี๋ตงหมิงหลีกทางให้เขาไปตลอดทางด้วยความภาคภูมิใจ หลังจากซุ่นหนิงโหวได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดขึ้นมาทันที ถามเรื่องราวจากปากของทนายฉิง ว่าเฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงทำเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?

ทั้งสองฝ่ายกำลังมีคดีความร่วมกัน ตามเหตุผลแล้วพวกเขาต้องต่อสู้กันจนถึงที่สุด เฟิ่งชิงเฉินยอมหลีกทางให้แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร?

ด้วยการแสดงออกของเฟิ่งชิงเฉินในศาลต้าหลี่วันนี้ สิ่งนี้จะต้องมีเหตุผล แต่ท้ายที่สุดเหตุผลนั้นคืออะไร เฟิ่งชิงเฉินถึงขั้นยอมสั่งให้ตี๋ตงหมิงถอยให้กับจวนซุ่นหนิงโหว?

คิดไม่ออก คิดไม่ออกเลย……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท