นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 810 งอแง ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมา

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 810 งอแง ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมา

ตี๋ตงหมิงนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เขาแต่งงานกับภรรยา มันทำให้เขาเข้าใจว่าภรรยานั้นสำคัญกับผู้ชายมากแค่ไหน การแต่งงานกับคนที่ไม่ถูกใจและไม่ดีพอมันไม่เพียงแค่อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข แต่มันยังถ่วงแข้งถ่วงขาของตนเองอีกด้วย

ครั้งที่แล้วเขากลับบ้านไปบอกกับคุณปู่ว่าต้องการมีภรรยาและลูกให้เร็วที่สุด ปู่จึงสั่งให้ผู้หญิงทั้งเมืองเข้าแถวเรียงรายมาให้เขาเลือก ผ่านประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง เขาได้เรียนรู้จากมันเป็นอย่างดี ด้วยความเกรงว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่จริงใจจึงได้ส่งให้คนไปแอบตรวจสอบดู สุดท้ายไม่ทันตรวจสอบอย่างใกล้ชิด แค่ไปเห็นก็ตกใจแทบแย่

ผู้หญิงซึ่งดูเป็นผู้ดีและมีคุณธรรมเหล่านั้น เมื่ออยู่ภายนอกหรือในบ้านของพวกนางเอง แต่ละคนล้วนอ่อนแอ ทำอะไรไม่เป็น ไม่มีความอดทน แค่เปลี่ยนเสื้อผ้ายังต้องใช้คนเป็นสิบคน ไม่ทันทำอะไรก็น้ำตาร่วง เขาทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงข่มใจเรื่องภรรยาเอาไว้ก่อน

ดังนั้นเขาจึงเข้าใจในตัวของจิ่นหลิง อีกอย่างไม่ว่าใครก็รู้ว่าในใจของจิ่นหลิงก็มีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ ก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะแต่งงาน แน่นอนว่าจิ่นหลิงไม่มีทางแต่งงานไปก่อน

แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของตี๋ตงหมิง นางคิดแค่ว่าหวังจิ่นหลิงไม่ยอมรับผู้หญิงที่ตระกูลของเขาจัดหามาให้ จึงกล่าวออกไปด้วยความสนใจว่า “ผู้หญิงที่คู่ควรกับจิ่นหลิง? บนโลกนี้จะไปหาผู้หญิงที่คู่ควรกับจิ่นหลิงได้จากที่ไหน จิ่นหลิงคิดจะอยู่คนเดียวไปจนตายเลยอย่างนั้นหรือ?”

แต่นางไม่รู้ว่าต่อให้บนใต้หล้ามีผู้หญิงที่งดงามและเพียบพร้อมมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถทำให้เฟิ่งชิงเฉินพอใจได้ ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาพอใจ ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเขาเลยสักครั้ง……

ในฐานะเพื่อนสนิทของหวังจิ่นหลิง ตี๋ตงหมิงรู้ดีว่าในใจของหวังจิ่นหลิงนั้นคิดอะไรอยู่ ได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาเช่นนี้ เขาก็พูดออกไปอย่างหน้าด้านว่า “ข้าคิดว่าชิงเฉิน เจ้าเหมาะสมกับเขา มีเจ้าเป็นนายหญิงของตระกูลหวัง จิ่นหลิงจะต้องพอใจเป็นอย่างมาก”

“ข้า? ข้าไม่มีทาง ตระกูลหวังไม่มีทางยอมรับผู้หญิงที่แปดเปื้อนไปทั้งตัวอย่างข้าได้” เพราะความสูงส่งและด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่เคยนึกถึงความรู้สึกและความห่วงใยที่เฟิ่งชิงเฉินมีต่อนาง

จิ่นหลิงเป็นนักปราชญ์ ด้วยชื่อเสียงของนางไม่เหมาะแม้แต่เป็นคนรับใช้ของเฟิ่งชิงเฉินด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย นอกจากตระกูลหวังจะล่มสลาย ไม่เช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่สามารถแต่งงานกับนางได้

“นี่……เจ้าอย่าดูถูกตัวเอง นอกจากสถานะไม่ได้ ชื่อเสียงไม่ดี หน้าตาไม่ดี ฝีมือไม่ได้เรื่อง ที่เหลือเจ้าก็ดีหมด”

ตี๋ตงหมิงไม่เข้าใจการปลอบโยนผู้อื่น คำพูดนี้ของเขาก็เหมือนกับการโจมตี เฟิ่งชิงเฉินยิ้มโดยไม่ใส่ใจ ชี้ไปทิศตรงข้ามกับจวนเฟิ่งและถามออกมาว่า “ซื่อจื่อ ข้าต้องการไปจวนอ๋องเก้า ไปส่งข้าหน่อยได้หรือเปล่า?”

ตอนนี้นางกำลังตกอยู่ในอันตราย นางเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์เสื้อโลหิตหรือจวนซุ่นหนิงโหว ในตอนนี้พวกเขาล้วนแต่ต้องการกำจัดนางกันทั้งนั้น หากสามารถกำจัดนางได้ โลกนี้จะสงบสุขในทันที ผ่านไปครึ่งเดือนก็จะไม่มีใครจำการหายตัวไปของซุนซือสิงได้ มีแค่เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้คนเดียวเท่านั้น

“ไปจวนอ๋องเก้า? เจ้ากับเสด็จอาเก้า?” คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วหรอกนะ?

ตี๋ตงหมิงมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าอันยุ่งเหยิง แบบนี้ไม่เท่ากับว่าจิ่นหลิงหมดโอกาสแล้วงั้นหรือ?

“ใช่ ดังนั้นไปส่งข้าที่จวนอ๋องเก้า” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่คิดจะอธิบายเลยแม้แต่น้อย

อ่า……กลับจวนอ๋องเก้า? นี่เฟิ่งชิงเฉินเห็นจวนอ๋องเก้าเป็นบ้านของตนเองแล้วงั้นหรือ?

ตอนนี้หัวใจของตี๋ตงหมิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถูกเฟิ่งชิงเฉินกระชากออกไป ความคิดของเขาเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง คิดถึงการกระทำทั้งหมดในช่วงเวลาที่ผ่านมาของจิ่นหลิง ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจจิ่นหลิงเลยแม้แต่น้อย

เฟิ่งชิงเฉินย้ายมาอยู่กับเสด็จอาเก้าแล้ว ทำไมจิ่นหลิงยังไม่ยอมแพ้? ทำไมต้องทรมานตัวเองเหมือนตายทั้งเป็น ไม่ยอมแต่งงานและทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้

ทำไมถึงต้องทำเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเช่นนี้?

หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างขมขื่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองต้องมาทำอะไรที่ไม่คุ้มค่าแบบนี้ด้วย เขาแค่รู้ว่าหากเขายังไม่แต่งงาน เขาก็ยังพอมีโอกาส แต่หากเขาแต่งงานไปแล้ว เขาจะไม่เหลือโอกาสเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาก็ยังอยากทำเช่นนี้ต่อไป นี่คือข้อเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เหมือนกับในตอนที่เขาตาบอด ทั้งตระกูลหวังยอมแพ้และทอดทิ้งเขา แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ความดื้อรั้นคือของเขาเป็นเหมือนความภาคภูมิใจของเขา แม้ว่าเขาจะผิด เขาก็ยังยืนยัน เพราะเขาคือหวังจิ่นหลิง

แค๊ก แค๊ก……หวังจิ่นหลิงรับยาที่คนรับใช้ส่งมาให้ ดื่มมันหมดในคราเดียว จานนั้นก็ยื่นถ้วยเปล่ากลับไป “ทั้งหมดออกไป”

ราวกับร่างกายมีไอเย็นปกคลุมอยู่ ปราศจากความอ่อนโยนและความอดทนเหมือนก่อนหน้านี้ คนรับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะหายไป รีบพากันเดินออกไปทันที

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น การถูกคนในครอบครัววางยา จะทนกับความเจ็บปวดนั้นได้หรือไม่ อย่างที่รู้กัน คุณชายของพวกเขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน

เหล่าคนใช้ทยอยเดินออกไป ทิ้งหวังจิ่นหลิงไว้ในห้องเพียงลำพัง

ตี๋ตงหมิงทำหน้าที่องครักษ์ของตนเองอย่างสุดความสามารถ พาเฟิ่งชิงเฉินมาส่งยังจวนอ๋องเก้า ยังไม่ทันถึงหน้าประตู ประตูของจวนอ๋องเก้าก็ถูกเปิดออก

พ่อบ้านที่คุ้นเคยเดินออกมา ไม่มีท่าทางของความชราเลยแม้แต่น้อย เดินออกมาโดยไม่สมวัย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำความเคารพเฟิ่งชิงเฉินอย่างอ่อนน้อม จากนั้นยืนรอเฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้านข้าง หลังจากเฟิ่งชิงเฉินกล่าวขอบคุณตี๋ตงหมิงเป็นอันเรียบร้อย นางก็เดินเข้าไปในจวน

แน่นอนว่าพ่อบ้านก็ไม่ได้ลืมตี๋ตงหมิง หลังจากเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในจวน พ่อบ้านก็หันมาทำความเคารพตี๋ตงหมิง “ซื่อจื่อ ขอบคุณที่ท่านมาส่งแม่นางเฟิ่ง วันหน้าข้าจะต้องไปส่งและขอบคุณท่านให้ได้ วันนี้ข้าขอตัวก่อน เดินทางปลอดภัย”

พูดจบเขาก็หันหลังและเดินตามเฟิ่งชิงเฉินเข้าไป ระหว่างเดินเขาถามออกมาไม่ยอมหยุดว่าเฟิ่งชิงเฉินหิวหรือไม่ หนาวหรือเปล่า ทุกการกระทำอยู่ในการเฝ้ามองของตี๋ตงหมิง

ตี๋ตงหมิงยืนผงะอยู่ที่เดิม มองเงาหลังของเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังเดินเข้าไปในจวนอ๋องเก้า เห็นคนเฝ้าประตูปิดประตูจวนอ๋องเก้า น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา

เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างไร้ความรู้สึกเหลือเกิน ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็โยนทิ้ง ไม่แปลกเลยว่าทำไมท่านปู่ถึงบอกว่าเจ้านั้นเจ้าเล่ห์ วันหลังข้าจะไม่ทำดีกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว คนเลว!

น้ำตาไหลลงมาเต็มใบหน้าของตี๋ตงหมิง องครักษ์ด้านหลังไม่กล้าเตือนเขา ทำได้เพียงยืนอยู่หน้าประตูจวนอ๋องเก้าเป็นเพื่อนกับตี๋ตงหมิง หากคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเดินผ่านมา พวกเขาคงคิดว่าคนพวกนี้ถูกเสด็จอาเก้าลงโทษให้ยืนอยู่แบบนี้

เฟิ่งชิงเฉินเข้ามาในจวน พ่อบ้านก็เลิกถามถึงความเป็นห่วง เขาบอกเฟิ่งชิงเฉินเกี่ยวกับสถานการณ์ของซุนซือสิงออกมาแทน

“แม่นางเฟิ่ง ท่านอ๋องกลับมาแล้ว เรื่องของคุณชายซุนท่านอ๋องก็ทรงทราบแล้ว ที่นั่นมีหมอให้การรักษาอยู่ หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บของคุณชายซุนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”

“ขอบคุณพ่อบ้านมาก ข้าขอตัวไปดูเขาก่อน” เฟิ่งชิงเฉินคุ้นเคยกับจวนอ๋องเก้าเป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องให้ใครนำทาง นางเดินตรงไปยังที่พักของซุนซือสิง

พ่อบ้านเห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปากออกมาว่า “แม่นางเฟิ่ง ตอนนี้คุณชายซุนยังไม่ฟื้น หมอบอกว่าอาการของคุณชายซุนดีขึ้นเป็นอย่างมาก คือ……ท่านอ๋องรอท่านอยู่ในห้องหนังสือมานานมากแล้ว”

พ่อบ้านไม่กล้าพูดว่าเสด็จอาเก้าสั่งไว้ หากเฟิ่งชิงเฉินมาถึงให้รีบไปหาเขาทันที หากปล่อยให้เสด็จอาเก้ารู้ว่าทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินมาถึง คนแรกที่นางไปหาไม่ใช่เขาแต่เป็นซุนซือสิง เกรงว่าคนในจวนคนต้องหาเสื้อผ้าใส่เพิ่ม

“ข้ารู้แล้ว ข้าไปดูซุนซือสิงก่อนแล้วจะไปหาเขา” ซุนซือสิงคือผู้ป่วย เสด็จอาเก้าไม่ได้ป่วยอะไรสักหน่อย ให้เขารออีกหน่อยจะเป็นไรไป เขาเป็นห่วงซือสิงมาทั้งวันแล้ว หากไม่ใช่เพราะความสะดวกในการดูแลซุนซือสิง ให้ตายนางก็คงไม่มาที่จวนอ๋องเก้า

เสด็จอาเก้าเองก็แค่ได้ประโยชน์จากการที่ซุนซือสิงมาอยู่ที่นี่

“ขอ ขอครับ” พ่อบ้านไม่กล้าพูดอะไรมาก เขาพาเฟิ่งชิงเฉินเดินไปหาซุนซือสิงอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับแอบคิดในใจว่า “บนโลกนี้คนที่กล้าให้เสด็จอาเก้ามารอมีอยู่ไม่มาก ขนาดจักรพรรดิยังไม่กล้าให้เสด็จอาเก้ารอนานถึงขนาดนี้ แม่นางเฟิ่งผู้นี้ช่างแตกต่าง แต่ไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าที่รออยู่ที่นั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง รู้แบบนี้ไม่น่ารีบให้คนไปบอกเขาว่าแม่นางเฟิ่งกลับมาแล้วเลย”

พ่อบ้านรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่จะมากระวนกระวายใจตอนนี้ก็คงไม่ทัน เขาแค่หวังว่าเฟิ่งชิงเฉินดูอาการของซุนซือสิงเสร็จแล้วจะรีบไปห้องหนังสือ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าสายลับที่อยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้าคงจะหนาวเหน็บจนตัวตาย

เสด็จอาเก้าอยู่ในห้องหนังสือ รู้ตั้งนานแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมายังจวน แต่เมื่อรออยู่นานก็ไม่เห็นว่านางจะเข้ามา จึงอดรู้สึกโกรธไม่ได้

เสด็จอาเก้าโกรธกับคนอื่นโกรธนั้นไม่เหมือนกัน ความโกรธของผู้อื่นอาจเป็นการระเบิดเปลวไฟอันร้อนแรง แต่ความโกรธของเสด็จอาเก้านั้นคือความเยือกเย็น มันจะทำให้อุณหภูมิรอบกายของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านไปเนิ่นนานโดยไม่เห็นแม้แต่เงา สายลับพบว่าร่างกายของพวกเขาจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว แม้เดิมทีวันนี้จะอากาศหนาว แต่ความหนาวเย็นที่แพร่ออกมาจากร่างกายของเสด็จอาเก้านั้นถึงเป็นหายนะแห่งความเย็นอันแท้จริง

โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่กล้าให้เสด็จอาเก้ารอนาน หลังจากตรวจสอบร่างกายของซุนซือสิงและพบว่าไม่เป็นอะไร นางจึงเดินมายังห้องหนังสือ นางรู้ว่าแม้เสด็จอาเก้าจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงอะไรขนาดนั้น

พ่อบ้านผู้นี้เป็นคนฉลาด รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมาสาย เสด็จอาเก้าไม่มีทางโกรธเฟิ่งชิงเฉิน แต่จะต้องเอาความโกรธทั้งหมดมาลงกับพวกเขา เมื่อพาเฟิ่งชิงเฉินมาถึงหน้าประตู พ่อบ้านกล่าวออกมาว่า “ท่านอ๋องบอกข้าไว้ว่า ให้แม่นางเฟิ่งเข้าไปลำพัง งั้นข้าขอมาส่งท่านแต่เพียงเท่านี้”

เสด็จอาเก้าไม่อยากเจอพวกเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็ไม่อยากเจอเสด็จอาเก้า พวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกทำร้าย ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากเป็นกระสอบทราย

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าและเดินเข้าห้องหนังสือไป แต่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เมื่อกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าทำไมไอเย็นถึงได้หนาแน่นถึงขนาดนี้

เฟิ่งชิงเฉินดึงเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวบนร่างของลงมา ห่อหุ้มร่างกายให้มิดชิดเพื่อป้องกันลมหนาว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในทันที เท้านางแข็งทื่อ ยืนอยู่นานไม่กล้าเข้าไป

เสด็จอาเก้ากลับมาจากพระราชวังและดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี หากนางเข้าไปตอนนี้จะต้องเป็นเครื่องรับอารมณ์อย่างแน่นอน หรือว่านางควรกลับไปรอให้เขาใจเย็นก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่อีกครั้งดี?

แต่ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าจะเข้าใจในความคิดของเฟิ่งชิงเฉิน ทันทีที่ความคิดนี้เข้ามาในหัวของเฟิ่งชิงเฉิน เสียงของเสด็จอาเก้าก็ดังขึ้นมาจากด้านในของห้องหนังสือ “จะยืนทื่ออยู่ตรงนั้นทำไม ยังไม่รีบเข้ามาอีก”

ด้วยน้ำเสียงและความรุนแรงของอารมณ์ เขากำลังจะบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่าห้ามขัดคำสั่งของเขาเป็นอันขาด

ฮู้ว……เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องบุกเข้าไป นักรบที่แท้จริงเขาไม่กลัวอำนาจมืด

เฟิ่งชิงเฉินหลับตาและเปิดประตูเข้าไป ทันทีที่เข้ามาในห้องหนังสือก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ นางลืมตาขึ้นทันที เผชิญหน้ากับแววตาแห่งความโกรธและความหนาวเย็นของเสด็จอาเก้า

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเจ็บปวดตรงหัวใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อจ้องมองแววตาที่กล่าวหาของเสด็จอาเก้า เรื่องที่นางรู้สึกกังวลทั้งหมดในวันนี้ก็ระเบิดออกมาในพร้อมกัน

ทนไม่ไหวอีกต่อไป ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินกลายเป็นสีแดง นางพูดพร้อมกับร้องออกมา “ตงหลิงจิ่ว ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมา ทำไมเจ้าถึงเพิ่มมา เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้ข้ารู้สึกหวาดกลัวมากเพียงใด เจ้ารู้ไหวว่าวันนี้เขาเกือบจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

เรื่องในวันนี้ ถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่หากเกิดข้อผิดพลาดแม้แต่เพียงเล็กน้อย โทษของมันคือประหาร ต่อให้มีเสด็จอาเก้าคอยปกป้องชีวิตนาง นางก็ไม่สามารถเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ได้ ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกหรือตากแดดตากฝนได้……

นางได้รับความไม่เป็นธรรม มันคือความไม่เป็นธรรมโดยแท้จริง นางต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดกับโลกภายนอกอย่างกล้าหาญ แต่เมื่อกลับมา นางกลับต้องมาถูกตำหนิจากเสด็จอาเก้า แบบนี้จะให้นางทนได้อย่างไร

เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยสายตากล่าวหา บอกกับเสด็จอาเก้าให้รู้ถึงความไม่พอใจของนาง บอกเสด็จอาเก้าให้รับรู้ถึงความอ่อนแอของนาง……

แม้ว่านางจะมีความกล้าในการเผชิญหน้ากับองครักษ์เสื้อโลหิต แต่นางก็เป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการผู้ชายมาปกป้อง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท