นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 870 เฟิ่งชิงเฉินไม่น่าสงสาร
อดทน อย่าใจร้อน!
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าบ่งบอกว่าตนเองได้ยินแล้ว
นางรู้ดีว่าเรื่องในวันนี้ต่อให้นางทนไม่ไหวนางก็ต้องทน องครักษ์เสื้อโลหิตทำเรื่องไร้เหตุผล องค์รัชทายาทสามารถต่อหน้าลั่วอ๋องได้ แต่นางไม่สามารถทำได้
สำหรับประชาชนทั่วไป องค์ชาย ขุนนางระดับสูง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีความผิด อย่าว่าแต่ลั่วอ๋องให้คนมาทุบจวนเฟิ่งเลย ต่อให้ทำลายจวนเฟิ่งจนสิ้นซาก นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของตงหลิงจื่อลั่ว แต่เป็นความผิดของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น รักษาและพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง จัดการเรื่องราวของจวนเฟิ่งต่อไป “มีคนในจวนบาดเจ็บกี่คน? เชิญหมอมารักษาให้พวกเขา ข้ารู้สึกเหนื่อย เกรงว่าคงไม่สามารถรักษาคนจำนวนมากได้”
“คุณหนู คนในจวนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ข้าน้อยได้ไปเชิญหมอมานานแล้ว เวลานี้ทุกคนปลอดภัย คุณหนูมิต้องกังวล” พ่อบ้านรีบตอบกลับทันที เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมาเพื่อแสดงว่าตนรู้สึกโล่งใจและพอใจเป็นอย่างมาก
ทงเหยายืนอยู่ด้านข้างของเฟิ่งชิงเฉินมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดที่พ่อบ้านพูดกับเฟิ่งชิงเฉิน แม้ในใจจะร้อนรน แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมา สุดท้ายนางทนไม่ไหว กักริมฝีปาก คุกเข่าลงไปด้านข้างของเฟิ่งชิงเฉิน
“คุณหนู ทงจือ นาง…… ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยไปดูอาการของทงจือ ศีรษะของทงจือถูกทุบโดยองครักษ์เสื้อโลหิต ทำให้เกิดบาดแผลขนาดใหญ่ เลือดไหลไม่หยุด หมอบอกว่าหากมิสามารถหยุดเลือดได้ ทงจือ ทงจือ นางจะ……” ทงเหยากล่าวออกมาพร้อมกับก้มศีรษะให้เฟิ่งชิงเฉิน
ทุกคนในจวนเฟิ่งต่างรู้ดี เฟิ่งชิงเฉินถนัดเรื่องการรักษาบาดแผลภายนอกร่างกายมากที่สุด หากมีเฟิ่งชิงเฉินคอยให้ความช่วยเหลือ ทงจือก็มีหนทางรอด แต่ด้วยท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่ดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่พูดในฐานะนายกับบ่าว บ่าวได้รับบาดเจ็บ นายสั่งให้ไปเชิญหมอมาทำการรักษา เท่านี้ก็ถือเป็นบุญคุณและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ พวกเขาจะไปกล้าขอร้องให้เจ้านายมาช่วยรักษาลูกน้องได้อย่างไร
ทงเหยารู้ว่าคำขอของตนเองนั้นมากเกินไป แต่นางยังคงก้มศีรษะของตนเองอย่างต่อเนื่อง ในใจมีอันริบหรี่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไปช่วยดูอาการของทงจือ
“คุณหนู ข้าขอร้อง ได้โปรด ได้โปรดช่วยชีวิตของทงจือด้วย”
“ทงจือได้รับบาดเจ็บสาหัส? ไปดูกัน” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โทษทงเหยากับพ่อบ้านว่าทำไมถึงไม่บอกนางตั้งแต่แรก ไม่ต้องพูดถึงฐานะเจ้านาย แต่ด้วยสภาพที่ดูอ่อนล้าของนาง แน่นอนว่าทงเหยาและพ่อบ้านไม่กล้าขอร้องให้นางไปช่วยดูอาการของทงจือ
ทงเหยาพูดออกมาเวลานี้ เกรงว่าหมอคนดังกล่าวคงไร้ซึ่งหนทางในการรักษา
เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้ารอช้า ระงับความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจ ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินไปยังลานที่เหล่าคนรับใช้อาศัยอยู่ ในขณะเดียวกันก็บอกให้ทงเหยาไปนำกล่องยาที่ห้องผ่าตัดมาให้
“ขอบพระคุณ คุณหนู ขอบพระคุณ คุณหนูเป็นอย่างสูง” ใบหน้าของทงเหยาเต็มไปด้วยน้ำตา ด้วยความประหลาดใจและความรู้สึกผิดในดวงตาของนาง นางปาดน้ำตาและรีบวิ่งออกไปข้างนอก
นางไม่มีวันลืมว่าชีวิตของทงจือนั้นได้คุณหนูเป็นคนช่วยไว้……
ทงเหยาไม่ได้พูดเกินจริง อาการบาดเจ็บของทงจือนั้นรุนแรงมาก เมื่อเฟิ่งชิงเฉินมาถึง นางรู้สึกตกใจเนื่องจากทงจือได้เสียเลือดเป็นจำนวนมาก
เฟิ่งชิงเฉินรีบให้เลือดทงจืออย่างรวดเร็ว เย็บบาดแผล หลังจากจัดการกับบาดแผลของทงจือเรียบร้อย ผู้คุ้มกันก็วิ่งเข้ามารายงานว่ายาที่ใช้อยู่ทางด้านของหวังชีใกล้จะหมดลงแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า จัดเตรียมทุกอย่างเป็นอย่างดี จากนั้นบอกให้ทงเหยาคอยดูแลทงจือ หากเกิดอะไรขึ้นให้รีบไปแจ้งนาง จากนั้นก็ถือกล่องยา รีบวิ่งไปยังกระท่อมเล็ก
พ่อบ้านอู้เห็นเช่นนั้นก็ไม่สามารถรั้งเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ได้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา คุณหนูของพวกเขานั้นไม่ง่ายเลย นางช่างลำบากเสียเหลือเกิน ครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่แรงกดดันทั้งหมดกลับตกอยู่ที่นางเพียงคนเดียว
เห็นเงาของเฟิ่งชิงเฉินหายไปในความมืด พ่อบ้านหันหลังและปรับท่าทางของตนเอง จัดการกับเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินสั่งไว้เป็นอันเรียบร้อย เพื่อไม่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องหนักใจไปมากกว่านี้
แม้จวนเฟิ่งจะเผชิญหน้ากับหายนะครั้งใหญ่ แต่หัวใจของผู้คนกลับนิ่งสงบได้ในชั่วข้ามคืน ทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อย เลือดด้านหน้าศาลบรรพบุรุษถูกล้างออกโดยน้ำสะอาด ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
พ่อบ้านได้รับโฉนดที่ดินของจวนเฟิ่ง ไม่สนใจช่วงเวลา ภายใต้การปกป้องขององครักษ์ เขารีบเดินทางไปยังตระกูลซูเพื่อทำการกู้เงิน และนำเงินมาแจกจ่ายให้กับทุกคนภายในค่ำคืนนั้น
ในยุคที่คนรับใช้ไม่สามารถหาเงินได้สักตำลึงในหนึ่งปี เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล เมื่อเห็นเงินที่อยู่ในมือ ทุกคนมีความสุขแต่ก็รู้สึกเศร้าใจไปพร้อมกัน
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน ขาของพวกเขาก็สั่นอย่างช่วยไม่ได้ แต่พวกเขารู้ว่า หากต้องเผชิญกับเรื่องราวเช่นนี้อีก พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะทำเหมือนกับที่ทำลงไปเมื่อตอนกลางวัน ต่อให้ต้องตาย พวกเขาก็ต้องปกป้องศาลบรรพบุรุษแห่งจวนเฟิ่งไว้ให้ได้
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน นึกถึงท่าทางอันเย็นชาของเฟิ่งชิงเฉิน จากสิ่งเหล่านี้ทำให้ความกลัวของทุกคนจางหายไป รอยยิ้มแห่งความสุขถูกทดแทนขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขา
สำหรับพวกเขาแล้ว เอาชีวิตจากความโกรธของลั่วอ๋องได้ เอาชีวิตรอดจากคมดาบขององครักษ์เสื้อโลหิตได้ นี่ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ มีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ พวกเขาไม่มีทางเป็นอะไรอย่างแน่นอน
ส่วนการล้างแค้นของจวนเฟิ่ง? จากความคิดของพวกเขา พวกเขาไม่เคยคิดจะไปล้างแค้นองค์ชายหรือเหล่าขุนนางเลยแม้แต่น้อย
ภายใต้บรรยากาศแห่งความสุข เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม นางถอยออกมา เดินไปยังที่พักของซีหลิงเทียนอวี่ ตรวจสอบการบาดเจ็บที่ขาให้กับเขา
บาดแผลเป็นปกติ เฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนยาให้ซีหลิงเทียนอวี่ และเตรียมที่จะจากไป ซีหลิงเทียนอวี่มองไปยังเฟิ่งชิงเฉิน เห็นท่าทางอันเยือกเย็นของเฟิ่งชิงเฉิน เปลี่ยนยาอย่างเหม่อลอยและเดินจากไป เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”
เฟิ่งชิงเฉินหยุดฝีเท้า หันมาถามซีหลิงเทียนอวี่ “ไม่มีอะไรต้องพูด ข้ายังต้องไปดูแลคุณชายชีต่อ”
“เจ้าแน่ใจงั้นหรือ เจ้าในสภาพนี้ สามารถสงบจิตสงบใจและทำการรักษาให้หวังชีได้จริงงั้นหรือ?” ซีหลิงเทียนอวี่กล่าวด้วยความสงสัย
มองผิวเผิน ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากช่วงเวลาปกติ นางดูสงบมาก มีเหตุผล และกระฉับกระเฉง แต่เพราะสิ่งเหล่านี้ถึงทำให้นางดูผิดปกติ
เฟิ่งชิงเฉินจงใจทำตัวให้สงบเพื่อให้ทุกคนในจวนเฟิ่งรู้สึกสบายใจ แต่สำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ภาระนี้มันหนักเกินไป ต้องรู้ก่อนว่าเวลานี้ไม่มีใครนึกถึงจิตใจของเฟิ่งชิงเฉินเลย
“ข้าเป็นหมอ แน่นอนว่าสามารถทำได้” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าซีหลิงเทียนอวี่หมายถึงอะไร แต่นางกลับหันหน้าหนีและไม่ตอบคำถาม
นางไม่ใช่คนตาย เมื่อเห็นบ้านอันเป็นที่รักของตนถูกทำลายต่อหน้า นายจะไม่รู้สึกได้อย่างไร นางโกรธ นางโมโห แต่สิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์อันใด?
หากยังมีจักรพรรดิอยู่ นางก็ไม่สามารถทำอะไรตงหลิงจื่อลั่วได้ ต่อให้นางตะโกนโหวกเหวกโวยวาย มันก็ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเอาผิดตงหลิงจื่อลั่วได้เท่านั้น มันยังทำให้คนในจวนเฟิ่งไม่สบายใจ แทนที่จะทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน ไม่สู้สงบสติอารมณ์และหาวิธีการตอบโต้จะดีกว่า
“เป็นข้าที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก” ซีหลิงเทียนอวี่ลองกลับมาคิดดูให้ดี เขาก็ไม่ฉุดรั้งเฟิ่งชิงเฉินไว้อีกต่อไป
ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมา พูดว่านางไม่พอใจและโกรธแค้นตงหลิงจื่อลั่วมาแค่ไหน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีใครในจวนเฟิ่งสามารถช่วยนางได้ ไม่มีใครยืนหยัดเพื่อนาง และไม่มีญาติคนใดที่สามารถปลอบโยนนางได้
เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงแค่แบกรับมันไว้เพียงลำพัง ไม่ว่านางจะเต็มใจหรือไม่ ภาระหนักอึ้งทั้งหมดจะอยู่บนบ่าของนางในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
ส่วนเสด็จอาเก้า? ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะสนับสนุนเฟิ่งชิงเฉินมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถอยู่ข้างกายนางได้ตลอดเวลา เสด็จอาเก้ามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ เสด็จอาเก้ามีภาระงานอันยิ่งใหญ่ และไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะมีตำแหน่งสูงส่งหรือมีอำนาจมากเพียงใด ทั้งหมดมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจวนเฟิ่ง เขาไม่ใช่เจ้านายของจวนเฟิ่ง และไม่สามารถแบกรับความอับอายของจวนเฟิ่งไว้ได้
“ขอบคุณสำหรับคำชมขององค์ชาย เรื่องในวันนี้ทำให้องค์ชายต้องเดือดร้อน ชิงเฉินต้องขออภัย” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขอบคุณเล็กน้อย จากนั้นก็จากไปโดยไม่หันหน้ากลับมา
นางไม่ชอบดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่งของซีหลิงเทียนอวี่ และไม่ชอบความเห็นอกเห็นใจและความสมเพชในดวงตาของซีหลิงเทียนอวี่ยิ่งกว่า นางเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนน่าสงสาร
จริงอยู่ที่ตงหลิงจื่อลั่วเป็นองค์ชาย นางไม่สามารถทำอะไรตงหลิงจื่อลั่วได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ ตงหลิงจื่อลั่วก็แค่องค์ชายที่พึ่งพาความโปรดปราน หากต้องเสียความโปรดปรานเหล่านั้นไป เขาแย่กว่าองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ……