นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 883 พายุสายเลือดนอกราชวัง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 883 พายุสายเลือดนอกราชวัง

“อะไรนะ?”

เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง เสียงของนางดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาว่างเปล่า ดวงตาสวยงามกลมโตสดใส “เจ้ากล่าวขอโทษข้าในนามของลั่วอ๋องหรือ?”

เสด็จอาเก้าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากของเขา “แม้ว่าจะมีผู้คนมากมาย ณ เวลานั้น แต่สิ่งที่ลั่วอ๋องกล่าวนั้นกล่าวกับข้าจริงๆ ในเมื่อข้าตกลงแล้ว ข้าก็ต้องรักษาคำพูดของข้าต่อเขา”

นี่คือการบอกเฟิ่งชิงเฉินว่าหากนางไม่เชื่อ นางสามารถไปถามถึงหลักฐานได้ เขาขอโทษในนามของตงหลิงจื่อลั่ว เมื่อครู่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินคิดมากเกินไป

“เอ่อ……” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็รู้สึกว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเสด็จอาเก้านิ่งเงียบ มือขวาของเฟิ่งชิงเฉินกำแน่น พยายามรั้งตนเองเอาไว้

ไม่ได้ หากว่าทำร้ายใบหน้าของเสด็จอาเก้าจริงๆ พรุ่งนี้เขาจะมองคนอื่นได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินปล่อยกำปั้นของตนเองลงแล้วตะโกนใส่เสด็จอาเก้า “เอามือออกมา”

ไม่ให้ตบหน้า นางตบที่อื่นก็ได้นี่

“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า” เสด็จอาเก้าถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นแก้มพองของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็ยื่นมือออกไปตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉินอย่างเชื่อฟัง

เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เกรงใจเช่นกัน นางจับแขนของเสด็จอาเก้า อ้าปากออกแล้วเริ่มกัด

ทำให้นางเจ็บ ทำให้นางโกรธ นางจะกัดนางให้ตายเชียว

เฟิ่งชิงเฉิน โหดเหี้ยมมาก นางกัดไม่ปล่อยมือ จนได้กลิ่นเลือดแล้วมองไปทางเสด็จอาเก้าอย่างยั่วยุ

“หายโกรธแล้วหรือ?” เสด็จอาเก้าเอื้อมมือไปเช็ดน้ำลายจากมุมปากของเฟิ่งชิงเฉิน นิ้วของเขาสัมผัสไปที่ริมฝีปากสีแดงของเฟิ่งชิงเฉินถูไปมา การเคลื่อนไหวและน้ำเสียงของเขาดูเหมือนคนที่ถูกกัดไม่ใช่เขา

“โกรธ” เฟิ่งชิงเฉินอ้าปากกัดนิ้วอันซุกซนของเสด็จอาเก้า

“เช่นนั้นก็กัดอีกสิ” เสด็จอาเก้ากล่าว

“ไม่กัดแล้ว ข้าเจ็บฟัน” ปลายลิ้นสัมผัสไปที่นิ้วของเสด็จอาเก้าเบา ๆ เสด็จอาเก้ารู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลจากนิ้วของเขาไปถึงหัวใจ ซึ่งมันชาและซาบซ่าน ปากแห้ง น้ำเสียงลดต่ำลงโดยไม่รู้ตัว “หากเจ้าไม่กัด ข้าจะกัดเอง เพราะข้าก็โกรธเช่นกัน”

เมื่อพูดจบ ก็พบว่าเสด็จอาเก้า ก้มศีรษะแนบไปตรงหูของเฟิ่งชิงเฉิน กำลังจะพูดบางอย่างใส่หูของเฟิ่งชิงเฉิน บรรยากาศค่อนข้างคลุมเครือ เฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่เคลื่อนไหว และร่างกายของนางแข็งทื่อเล็กน้อย

ทุกอย่างดูสวยงามมาก เสด็จอาเก้ากำลังมีความปรารถนาบางอย่าง แต่ทันใดนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้น

“โจร มีโจร ปกป้องคุณหนู”

“จับโจรเร็ว รีบจับโจร”

ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว จวนเฟิ่งมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งมาเบือน คนกลุ่มนี้เหมือนสัตว์ร้าย กระโดดออกมากลางดึกตรงเข้าไปในจวนเฟิ่งพร้อมมีดในมือ ฟันใส่ใครก็ตามที่พวกเขาเห็น……

ให้ตายสิ…… เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่อาจสนทนากันต่อไปได้ บรรยากาศอันคลุมเครือจางหายไปทันที เมื่อเห็นว่าเนื้อกำลังจะเข้าปาก แต่เขากลับไม่ได้กิน ดวงตาเสด็จอาเก้าฉายแววแห่งความโหดร้ายอย่างรุนแรง

มือสังหารเหล่านี้มาไม่ถูกจังหวะเลย

“จะมีมือสังหารอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร พันธมิตรมือสังหารบุกเข้าไปในเมืองหลวงโดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงของทั้งสี่แคว้น? ที่ผ่านมานี้ข้าได้ทำอะไรอุกอาจเสียจนจักรพรรดิปล่อยให้มือสังหารเข้ามาในเมืองได้เล่า” เมื่อได้ยินว่าเป็นมือสังหาร เฟิ่งชิงเฉินสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือเงินค่าหัว

ใช้ตายสิ…… ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะกลับมาเมืองหลวง ใช้ชีวิตสงบได้เพียงสองสามวัน แต่มาประสบเรื่องร้ายในวันส่งท้ายปีเก่าแบบนี้

“คงไม่หรอก คนพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มาหาเจ้า” เสด็จอาเก้าได้ยินเสียงการต่อสู้ข้างนอก เขาสามารถกำหนดทิศทางได้คร่าวๆ

“หวังจิ่นหาน? คนเหล่านั้นถูกส่งมาจากตระกูลหวังหรือ?” ทันทีที่เสด็จอาเก้ากล่าว เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจได้ทันที ผู้คุ้มกันตะโกนขึ้นเป็นเวลานานนาน แต่ไม่มีใครวิ่งเข้ามาถึงตัวนาง เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่เป้าหมาย

“งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าเป็นวันที่สำคัญมากสำหรับตระกูลหวัง ในตระกูลหวังหัวหน้าตระกูลจะต้องปรากฏตัว หากไม่สามารถเดินทางมา หัวหน้าตระกูลจะต้องถูกคนอื่นแทนที่” ดวงตาของเสด็จอาเก้ากะพริบเล็กน้อย เขามองไปยังทิศทางของตระกูลหวัง รอยยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก

“หวังจิ่นหลิงกลับไปที่ตระกูลหวังแล้วหรือ?” ตระกูลหวังช่างน่าสงสารจริงๆ

“น่าจะเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่รีบร้อน ส่งหน่วยกล้าตายออกมาเพื่อลักพาตัวหวังจิ่นหาน พวกเขาใช้หวังจิ่นหานข่มขู่หวังจิ่นหลิง” เสด็จอาเก้าไม่ได้เข้าไปแทรกแซงในเรื่องในตระกูลหวัง ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะหวังจิ่นหลิงไม่เห็นด้วย

“หน่วยกล้าตาย? ตระกูลหวังร่ำรวยจริง” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว กังวลผู้คุ้มกันจวนเล็กน้อย

“เหมือนปลาตายอวนขาด ตระกูลหวังกำลังสิ้นหวัง ไม่ต้องกังวลไป จวนเฟิ่งจะไม่เป็นไรแน่นอน” เสด็จอาเก้าปลอบโยน

หน่วยกล้าตายของตระกูลหวังนั้นทรงพลังอย่างแน่นอน แต่ผู้คุ้มกันของจวนเฟิ่งก็ไม่ใช่เก๊ๆ ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ลับ แม้แต่ผู้พิทักษ์ที่ยืมมาจากตี๋ตงหมิงล้วนเก่งกาจ ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่อาจทำลายจวนเฟิ่งได้

“ส่งคนไปเชิญตี๋ตงหมิง ขอให้เขานำกองกำลังมาจัดการกับเรื่องนี้” เสด็จอาเก้าไม่ต้องการผู้พิทักษ์ของจวนเฟิ่งมาจัดการกับหน่วยกล้าตายของตระกูลหวัง เพียงพวกเขาช่วยยื้อเอาไว้ก็พอ

เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจทันทีที่ได้ยิน “เจ้าจะมอบคนเหล่านี้ให้กับจักรพรรดิหรือ?”

การส่งหน่วยกล้าตายออกมาในเมืองหลวงถือเป็นข้อห้ามสำหรับจักรพรรดิอย่างแน่นอน วันนี้หน่วยกล้าตายเหล่านั้นเข้าไปในจวนเฟิ่งได้ พวกเขาจะเข้าไปในวังในวันพรุ่งนี้ก็อาจเป็นไปได้ ในฐานะจักรพรรดิ เขาเป็นคนกลัวความตายมากที่สุดในโลก ในเรื่องความปลอดภัย เขาจะไม่ยอมให้ใครคิดฆ่าเขาได้เด็ดขาด

“จักรพรรดิควรพอใจกับของขวัญปีใหม่นี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนจากตระกูลหวัง ข้ากังวลว่าหวังจิ่นหลิงจะใจอ่อน” เสด็จอาเก้าจับมือเฟิ่งชิงเฉิน “ไปกันเถอะ ไปดูหน่วยกล้าตายของตระกูลหวังนั้นว่าทรงพลังเพียงใด”

“เอ่อ……คงจะดีกว่าหากไม่ไปเข้าร่วมเรื่องนี้ ดาบไม่มีตา หากเราตกเป็นเป้าหมายขึ้น ต้องลำบากผู้คุ้มกันมาช่วยเราอีก” แม้จะกล่าวเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็เดินตามออกไปอย่างเชื่อฟัง

เจ้าเสด็จอาเก้าอารมณ์เสีย เขาหันกลับมากล่าวว่า “ว่าอย่างไรนะ? เจ้ากังวลว่าข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้?”

“หาใช่ ข้าแค่กังวลว่าจะสร้างปัญหาให้กับผู้คุ้มกัน คนอย่างข้าไม่มีความสามารถในการป้องกันตัวเอง แน่นอนว่าในระยะประชิดเช่นนี้ เขาต้องซ่อนตัวให้ดี เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมาย” คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นจริงใจอย่างยิ่ง

นางไม่มีความกล้าหาญและไม่เคยอยากเป็นฮีโร่ ดังนั้นเมื่อนางพบกับอันตราย เว้นแต่นางแน่ใจว่าจะช่วยได้ นอกจากนั้นนางจะซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัย

บางครั้งการไม่เพิ่มความวุ่นวายก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด

“อืม เจ้าแค่ต้องดูแลตัวเอง แต่อย่าสนใจเรื่องนี้เมื่อข้าอยู่ที่นี่ด้วย เพียงตามข้ามา” เสด็จอาเก้าดึงเฟิ่งชิงเฉินไปที่ศูนย์กลางของการต่อสู้

อย่างที่เสด็จอาเก้าเดาไว้ เป้าหมายของผู้มาเยือนคือหวังชี แต่เมื่อเขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าปรากฏตัว เขาก็แบ่งกำลังหนึ่งในสามออกมาทันที เพื่อโจมตีเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน

การที่สามารถจับเฟิ่งชิงเฉินได้ พวกเขาจะได้มีตัวต่อรองเพิ่มขึ้น ส่วนเสด็จอาเก้า……

เมื่อมองไปที่ทิศทางการโจมตีของหน่วยกล้าตายเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้ไม่กล้าแตะต้องเสด็จอาเก้าเลย

“ที่แท้ ข้ามาเป็นเกราะกำบังให้เจ้านี่เอง” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหดหู่ใจ

นางยืนอยู่กับเสด็จอาเก้า แต่คนเหล่านี้เพียงต้องการที่จะจับนาง เป้าหมายทั้งหมดของพวกเขามุ่งตรงมายังทิศทางที่นางยืนอยู่ พวกเขาไม่กล้าโจมตีเสด็จอาเก้าเลย

ใช่สิ การมีภูมิหลังที่ดีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด แม้แต่หน่วยกล้าตายก็ยังไว้หน้า……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท