นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 934 นองเลือด ขั้นตอนการผ่าตัดที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ 934 นองเลือด ขั้นตอนการผ่าตัดที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ

หยุนเซียวนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดในชุดผู้ป่วย ด้วยอาการเงียบสงบ ไม่มีความหวาดกลัวหรือกังวลใจเลยแม้แต่นิดเดียว ฝากตัวเองไว้ที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างเต็มที่

ผมดำของเขาถูกตัดออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ศีรษะล้านเกลี้ยงของเขาอยู่ต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน กำลังรอให้เฟ่งชิงเฉินลงมือ

อวัยวะร่างกายรวมถึงเส้นผมและผิดหนังล้วนแล้วได้รับจากบิดามารดา หยุนเซียวยินยอมที่จะตัดผมยาวของเขาออกไป ซึ่งเป็นเจตจำนวครั้งใหญ่ของเขา แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังขอร้อง ให้ตัดก่อนเริ่มการผ่าตัดเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง

เหล่าบรรดาแพทย์ภายในห้องต่างก็เป็นคนที่ไม่เคยเห็นหรือเคยรู้จัก พวกเขาเห็นหัวล้านเกลี้ยงของหยุนเซียวแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีอาการตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด แล้วนั่งลงบนที่นั่งด้านข้างด้วยอาการสงบ แล้วจึงถือโอกาสก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะลงมือ จัดการสังเกตพิจารณาภายในห้องผ่าตัด

ห้องรับรองที่ไม่เล็กมากจนเกินไปนี้ ถึงแม้ว่าเครื่องมืออุปกรณ์ของเฟิ่งชิงเฉินจะมาก แต่ก็ถูกจัดเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ รวมถึงยังมีไฟที่เพิ่มเข้ามา ทำให้ภายในห้องที่กว้างแห่งนี้สว่างสไวทั่วทั้งพื้นที่

หยุน หมอหวางทั้งสองต่างก็คิดในใจว่า ว่าถ้ากลับไปแล้วจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าของบ้าน สร้างห้องผู้ป่วยแบบนี้สักห้อง เพราะมันง่ายมากที่แพทย์จะมีสมาธิเมื่ออยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้

แพทย์หลวงเองก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่คิดว่าคนที่ไปโรงหมอหลวงน้อย พวกเขาเพียงแค่ไปดูอาการให้ผู้คนที่หน้าประตูเท่านั้น แต่ก็ได้ล้มเลิกไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินสวมชุดผ่าตัดเรียบร้อย เมื่อเดินเหยียบเข้าไปในห้องผ่าตัด ออร่าทั่วทั้งร่างของนางเปลี่ยนไปกลายเป็นท่าทีที่สุขุมนุ่มลึก ใจเย็น แลดูชำนาญในหน้าที่ของตน ใบหน้าไร้การแสดงออกถึงอารมณ์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุที่จะทำให้ผู้อื่นมาเชื่อถือตน แต่กลับทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้จะปริปากส่งเสียงออกมา

“ทงจือ ทงเหยา พวกเจ้ายืนอยู่ด้านข้างคอยระวังอย่าให้คนเข้ามารบกวนข้า” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ใจความในเนื้อหาที่กล่าวได้แสดงเจตจำนงออกมาอย่างชัดเจน

ทั้งทงจือและทงเหยาต่างก็เป็นคนฉลาด ทั้งสองคนมายืนอยู่ด้านหลังของแพทย์ทั้งสี่ท่านอย่างว่านอนสอนง่าย หากในกรณีที่มีแพทย์บางท่านที่มีท่าทางเปลี่ยนไป พวกเขาจะได้เข้าไปยับยั้งได้ทันเวลา

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย นางไม่ยอมให้เสียเวลา จึงหยิบปากกาทางการแพทย์ออกมา แล้ววาดลงบนกลางศีรษะของหยุนเซียวเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการกรีดผิวหนัง

“นี่มัน……” ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเอ่ยขึ้นมาหนึ่งคำ วาดเส้นหนึ่งเส้นลงบนศีรษะแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร หลังจากนั้นจึงพูดคำที่สองออกมา เฟิ่งชิงเฉินตาขวางมองเขาไม่แว้บหนึ่ง ใช้สายตาเป็นการสั่งว่าห้ามถาม

คนเหล่านี้ไม่ใช่ซุนซือสิง นางยินยอมที่จะให้คนเหล่านี้คอยดูอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกมา หลังจากนั้น นางจะเป็นคนเดียวที่ทำการผ่าตัดเนื้องอกในสมองเอง จึงไม่มีเวลาว่างที่จะมาตอบคำถามของบางคนให้เข้าใจ

ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีที่ทำปากส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา ก็หุบปากลงอย่างเชื่อฟัง เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างมาก จนกระทั้งบางคนเกิดความสงสัยไม่เข้าใจขึ้นมา นั่งจึงจะกลายเป็นเรื่องของพวกเขา

หนังหัวของหยุนเซียวได้รับการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงต้องใช้สำลีปิดทับไว้เพื่อไม่ให้ปราศจากแบคทีเรีย เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งปนเปื้อนระหว่างการผ่าตัดตกลงไปบนหนังศีรษะ

เฟิ่งชิงเฉินนำเอาอุปกรณ์พันแผลสีใสออกมาจากชั้นในกล่องยาแล้วมาคลุมไว้ที่หนังศีรษะของหยุนเซียว หลังจากนั้นจึงทำการฉีดยาชาเข้าไปบริเวณแผล

นี่เป็นวิธีการที่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังดูเหมือนเป็นวิธีที่ดูไม่น่าเชื่อถือจากวิธีการเดิม ๆ ทำให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีและแพทย์อีกี่ท่านรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามอะไร ทำได้เพียงแค่ยืดลำคอขึ้นมารอเฟิ่งชิงเฉินลงมือทำงานต่อ

เฟิ่งชิงเฉินหยิบมีดใบหลิวออกมาจากถาดเครื่องมือผ่าตัดอย่างพิถีพิถัน ภายใต้การจับตามองจากผู้คนจำนวนมาก นางวางมีดลงอย่างประณีต แล้วกรีดลงไปบนหนังศีรษะของหยุนเซียวอย่างมั่นคง หลังจากนั้นก็เป็นส่วนของหลังท้ายทอย

ก้อนเนื้อของเลือดสีแดงสดพลิกกลับมาด้านอก แต่ก็ไม่มีหยดเลือดไหลออกมา นั่นทำให้คนไม่รู้ว่าจะรู้สึกกลัวหรือเคารพดี

ทงจือและทงเหยามองกันด้วยท่าทีมีเลศนัยแล้วจึงเปลี่ยนสีหน้า นอกจากปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีแล้ว แพทย์ที่เหลืออีกสี่ท่านก็เกิดอาการช็อกขึ้นมาเช่นกัน

เฟิ่งชิงเฉินคือผู้ที่ช่วยชีวิตคนหรือผู้ที่ฆ่าคนกันแน่? นางจับเนื้อส่วนผิวหนังศีรษะบนหัวแยกออกจากกัน ยังมีใครมีชีวิตอยู่ได้อีกไหม ใบหน้าของแพทย์ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้ายุ่งเหยิงกันไปใหญ่ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามขึ้นสักคำ

แท้จริงแล้วเฟิ่งชิงเฉินไม่มีแม้แต่เวลาว่างไปสนใจความคิดวิธีการของผู้อื่นเลย นางคีบหนังศีรษะส่วนที่พิเศษออกมา แล้วหนีบตรงส่วนขอบผิวหนังไว้ เพื่อห้ามเลือด

หนังศีรษะบนล่างทั้งสองส่วนต่างก็เต็มไปด้วยตัวหนีบสีขาว ซึ่งดูไปดูมาแล้วก็เหมือนกับเป็นซิปขนาดใหญ่ ที่ทำให้ผิวหนังของคนเกิดอาการชาขึ้นมา

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แล้วสั่งในปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีส่งแหนบมาให้ หลังจากนั้นจึงแยกเยื่อหุ้มกระดูกที่อยู่ตรงหนังศีรษะออกมา แล้วกลับไปอีกด้าน เผยให้เห็นถึงกะโหลกศีรษะ

หลังจากที่แบ่งชิ้นผิวหนังออกมาได้แล้ว จะเห็นชั้นของเยื่อหุ้มกระดูกที่ปกคลุมกะโหลกศีรษะไว้ เป็นชั้นที่มีลักษณะสีใส โดยมีเนื้อสีแดงเลือกบกคลุมอยู่ด้านบน ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาได้ ตำแหน่งมันสมองใหญ่ของคน มันได้เป็นส่วนที่มีความสวยงามอยู่เลย การแยกมันออกมาอย่างนองเลือดนี้ ถึงจะไม่มีเลือดไหลออกมาเลยสักหยดเดียว แต่เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกหนาวสะท้านได้

เมื่อถึงเวลานี้แพทย์ทั้งสี่ท่านต่างก็เข้าใจกันดี ว่าเหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงไม่ให้ผู้คนมากมายเข้ามา นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ พวกเขาก็รู้สึกตกใจขึ้นมาแล้ว เพียงแต่สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงเคร่งขรึมและสงบเงียบอยู่ พวกเขาต่างก็สงสัยว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังแยกกะโหลกศีรษะของหยุนเซียวอยู่

แน่นอนล่ะ แม้แต่ตอนที่แยกกะโหลก เฟิ่งชิงเฉินก็ทำมันออกมาได้อย่างดี มีดที่แวววาวนั้นกับแหนบมืออยู่ในมือของนางกลับดูเหมือนว่าเป็นการใช้ชีวิตปกติไปเลย ชั้นของหัวที่บางมาก ๆ นางก็สามารถแยกออกจากกันได้ เยื่อหุ้มกระดูกสีใสด้านนอกชั้นของกะโหลกศีรษะ เฟิ่งชิงเฉินตัดออกได้โดยที่สภาพของเนื้อผิวไม่ได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังพลิกกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

งานที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้ ฝีมือที่แม่นยำขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เฟิ่งชิงเฉินต้องจุดไฟจำนวนมากภายในบ้าน เพราะถ้าหากมมืดก็คงทำไม่ได้จริง ๆ

แพทย์ทั้งสี่ท่านรวมถึงปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีต่างก็ทอดถอนใจออกมาในเวลาเดียวกัน ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินตัดชั้นเยื่อหุ้มกระดูกภายนอกกะโหลกศีรษะอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสองมือของตนเอง พวกเขาคิดว่ามือของพวกเขาไม่ชำนาญนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินทำได้

โดยเฉพาะปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี เขาสนิทกัน จึงทำให้เขาสามารถเข้าใจได้ดีขึ้นว่าวิธีฝีมีดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นยอดเยี่ยมและแม่นยำเพียงใด อีกทั้งยังยาก ต้องทำหลายร้อยครั้งเพื่อให้มีความแม่นยำ ไม่น่าแปลกใจที่เฟิ่งชิงเฉินจะพูดได้อย่างมั่นใจว่านางทำได้ นางสอนซุนซือสิงได้

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจแพทย์มากมาย แม้แต่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีก็ไม่ได้ชายตามอง นางเพียงแค่หันกลับมาแล้วหยิบเครื่องมือที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนออกมาจากกล่องที่ประณีต ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการผ่าตัดเปิดกะโหลก —— สว่านเปิดกะโหลกด้วยแรงลม ซึ่งเป็นสว่านไฟฟ้าทางการแพทย์ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้

สว่านเจาะเปิดกะโหลกด้วยแรงลมถูกชาร์จไว้ก่อนหน้านี่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินกดปุ่มเปิด ทำให้มีเสียงฮึมฮัมดังออกมา เฟิ่งชิงเฉินถือสว่านเจาะเปิดกะโหลกด้วยลมไว้ในมือ จากนั้นก็เจาะรูกะโหลกที่เปิดออกโดยไม่ลังเล

พรู……พรู เสียงของสว่านไฟฟ้าที่เจาะผ่านกะโหลก ทำให้หัวใจของแพทย์ทั้งสี่เต้นแรงขึ้นมา เนื้อและเลือดที่กระเซ็นเล็กน้อย ทำให้สีหน้าของหลายคนดูเขียวอื๋อขึ้นมา แล้วจึงรีบกลืนน้ำลายอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะพ่นออกมา

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กำลังฆ่าคนอยู่จริง ๆ น่ะหรือ?

แพทย์ทั้งสี่ท่านมองหน้ากัน ในขณะที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีกลับตาเป็นประกาย เขาดูกระตือรือร้นที่จะลอง ราวกับได้เห็นบางสิ่งที่แปลกใหม่ หากเฟิ่งชิงเฉินไม่จริงจังเกินไป เขาจะก้าวไปข้างหน้าแล้วบีบเฟิ่งชิงเฉินออกไปอย่างแน่นอน แล้วลงมือเจาะรูเอง

หลังจากที่เจาะรูเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ปิดเครื่องเจาะเปิดกะโหลกด้วยแรงลมลง แล้วใส่กลับไปในกล่อง ดูปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียืดคอออกมามองดู ราวกับว่าอยากจะหยิบมันออกมาลองดูอย่างนั้น เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแค่แว้บเดียวเท่านั้น

นี่ไม่ใช่ของเล่น ถ้าหากใช้มันไม่ดี มันอาจจะฆ่าคนได้

ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีหดคอของเขาลง แล้วกลับมายืนดี ๆ อย่างเชื่อฟัง ที่เสี่ยวซือสิงพูดไม่มีผิด ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเฟิ่งชิงเฉินในขณะที่นางกำลังรักษาผู้ป่วย ทำให้เขายังคงกลับมาทำในเรื่องที่ผู้ช่วยควรทำอย่างเชื่อฟัง หากว่ามีคำถามไว้ค่อยถามหลังจากการผ่าตัดเสร็จ

ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะขอให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาเป็นผู้ช่วย แต่เมื่อถึงเวลานางก็ยุ่งมาก จนไม่ได้ให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาส่งอุปกรณ์ผ่าตัดต่าง ๆ ให้

เฟิ่งชิงเฉินหยิบมีดออกมาจากถาดเครื่องมือผ่าตัดด้วยความเร็ว มันคือมีดที่ใช้กับแท่นกลึง แล้วนางสอดมีดนั้นเข้าไปในรูที่เจาะไว้ ขัดกลึงไปที่แผ่นกะโหลก หลังจากที่แผ่นกะโหลกนั้นถูกขัดกลึงอย่างระมัดระวังแล้ว ก็วางเครื่องมือที่เตรียมไว้ลงในกล่องอย่างเรียบร้อย

หลังจากที่เลาะแผ่นกระดูกออกมาได้แล้ว เป็นลักษณะที่เปิดด้านหลังของกะโหลก สมองทุกส่วนถูกป้องกันไว้ด้วยเยื่อสมองอย่างหนาแน่น ต่อไปจึงทำการกรีดเยื่อหุ้มสมองออก จึงจะสามารถมองเห็นสมองได้ทั้งหมด

ณ เวลานี้เป็นการทำการผ่าตัดอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การเตรียมการตัดเนื้องอกเท่านั้น!

ข้อความถึงผู้อ่าน “นางสนมแพทย์อัฉริยะ” เขียนมาจนถึงตอนนี้ ฉันยังคงรู้สึกพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหรือตัวละคร ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกปรารถนา หวังว่าที่รักทุกท่านจะเข้าใจ

สำหรับตอนที่เขียนเกี่ยวกับการผ่าตัด ฉันมักจะดูรูปภาพเลยวิดีโอเกี่ยวกับมันอยู่ตลอด เมื่อดูวิดีโอเกี่ยวกับการผ่าตัดเนื้องอกในสมองจบแล้ว ตอนเย็นก็จะกินข้าวไม่ลง แพลนไว้ว่ากี่ไม่กี่วันฉันจะกินเจ แต่พอหลับตาลงก็เห็นแต่ภาพการเปิดหนังศีรษะ ทั้งยังมีภาพของสมองทั้งหมดปรากฎขึ้นมาพร้อมกันอีก มันน่ากลัวจริง ๆ เลยนะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท