นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 945 หาเงิน เจ้าบ้านเองก็ไม่มีเงินเหมือนกัน
ได้ยินคำพูดของซูเหวินชิงว่าหลานจิ่วชิงได้เข้าร่วมการเดิมพันครั้งนี้ด้วย เฟิ่งชิงเฉินไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย หลานจิ่วชิงรู้เรื่องราวภายใน เขาจะปล่อยโอกาสหาเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ไปได้อย่างไร หนานหลิงจิ่นฝานวางแผนที่จะเดิมพันเพื่อสร้างรายได้ไม่ใช่หรือไง แต่น่าเสียดายที่หนานหลิงจิ่นฝานนั้นเดิมพันผิดฝั่ง
ด้วยเหตุนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงได้รู้ว่าเหตุใดหลานจิ่วชิงถึงให้ความสำคัญกับการประลองถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็กังวลเรื่องเงิน โอกาสดีถึงเพียงนี้ ก็จริงที่ไม่ควรพลาด หากไม่ใช่เพราะสถานะของนางละเอียดอ่อน ไม่เหมาะสมการกับเล่นเดิมพัน นางเองก็คงจะเดิมพันฝ่ายนะ และคงได้เงินก้อนใหญ่มาครอบครอง
แน่นอนว่าเงินสองล้านตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ สำหรับเฟิ่งชิงเฉิน ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน อย่าว่าแต่สองล้านตำลึงเลย แค่สองหมื่นตำลึงนางยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ต้องรู้ก่อนว่าเวลานี้นางยังเป็นหนี้ซูเหวินชิงอยู่จำนวนมาก ส่วนเงินสำหรับการขายยาป้องกันการแท้งบุตร ตระกูลหยุนยังไม่ได้คิดคำนวณและแจกจ่ายให้เฟิ่งชิงเฉิน แต่ถึงจะจ่ายให้แล้วก็ไม่มีทางมีมากถึงขนาดนั้น
เฟิ่งชิงเฉินส่งคนไปสอบถามหยุนเซียว ข้อมูลที่ได้จากหยุนเซียวคือ เงินที่เฟิ่งชิงเฉินจะได้รับทั้งหมดคือหกแสนตำลึง หากเฟิ่งชิงเฉินรีบร้อนหรือต้องการใช้เงินด่วน เขาก็ยินดีให้เฟิ่งชิงเฉินยืมก่อนหนึ่งล้านตำลึง
“เช่นนี้ก็ยังขาดอยู่อีกหนึ่งล้านตำลึง” เมื่อหาเงินมาได้อีกหนึ่งล้านตำลึง เฟิ่งชิงเฉินและซูเหวินชิงไม่ได้รู้สึกมีความสุขขึ้นมาแต่อย่างใด เนื่องจากเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงสุดท้ายเป็นเงินที่หายากมากที่สุด
“ใช่ ยังขาดอีกหนึ่งล้านตำลึง ข้าขอลองหาวิธีดูก่อน” เรื่องของตนเองก็ไม่ใช่ ซูเหวินชิงจะไปรบกวนเฟิ่งชิงเฉินฝ่ายเดียวได้อย่างไร อีกอย่างคนที่เฟิ่งชิงเฉินรู้จักก็ไม่มีใครสามารถรวบรวมเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น
แม้ว่าตระกูลหวังจะมี แต่นั่นมันก็เป็นเงินของตระกูลหวัง มันไม่ใช่เงินของหวังจิ่นหลิง ต่อให้หวังจิ่นหลิงต้องการใช้เงิน ก็ต้องอธิบายเหตุผลออกมาให้ชัดเจน ดังนั้นจึงง่ายสะดวกที่จะไปขอยืม
“ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องราวมันยังไม่จบไม่ใช่หรือไง พวกเรายังมีเวลา” เฟิ่งชิงเฉินเห็นซูเหวินชิงเครียดจนผมเปลี่ยนเป็นสีขาว นางจึงกล่าวปลอบใจออกมา
ซูเหวินชิงยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมพยักหน้า “พูดไปพูดมาข้าก็ต้องขอบคุณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในโรงเลี้ยงสัตว์หลวง หากไม่ใช่เพราะเหตุเพลิงไหม้ การเดิมพันครั้งนี้คงจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว”
“คือ……” เส้นเลือดสีดำปรากฏเต็มใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน “จะพูดออกมาเช่นนี้ไม่ได้ กระดานหมากยังไม่ได้รับการตัดสิน ตระกูลซูก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะมีโอกาสพลิกกระดานกลับมาอีกครั้ง”
แน่นอน อย่างมากที่สุดก็แค่เสมอกัน
ซูเหวินชิงได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด รีบนำมือของเขามากุมมือของเฟิ่งชิงเฉิน “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าได้โปรด ได้โปรดอย่างเปิดโอกาสได้พลิกกระดานครั้งนี้เลย หากพวกเขาสามารถพลิกกระดานได้จริง ข้าคงต้องทุกข์ยากมากไปกว่านี้ ชิงเฉิน ข้าจะแพ้ไม่ได้”
“เรื่องนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า” เฟิ่งชิงเฉินรีบใช้แรงดึงมือออกมา
เป็นเรื่องปกติ นอกจาก11 นางก็ไม่คุ้นชินกับการที่ถูกคนอื่นจับมือ โดยเฉพาะซูเหวินชิงที่ใช้แรงมากถึงเพียงนี้ นางรู้สึกเจ็บมือจนแทบทนไม่ไหว
“เฮ้อ เช่นนั้นจะทำอย่างไร? หรือว่าข้าจะต้องไปหายืมเงินไว้เผื่ออีกสองล้านตำลึง?” ซูเหวินชิงแทบจะร้องไห้ออกมา เวลานี้แค่หนึ่งล้านตำลึงเขายังหามาไม่ได้
“ไม่ต้อง เจ้าสามารถไปหาหลานจิ่วชิง ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีทางทำให้ตระกูลซูไม่สามารถพลิกกระดาษครั้งนี้ได้” เฟิ่งชิงเฉินแนะนำออกไปด้วยจิตใจอันชั่วร้าย
นางไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่านางรู้สึกอิจฉา
ฮึฮึฮึ……นางใช้จรรยาบรรณและความทักษะทางการแพทย์มากมายถึงจะหาเงินได้ทีละน้อย แต่หลานจิ่วชิงแค่ลงเดิมพันครั้งเดียวกลับได้เงินถึงสองสามล้านตำลึง นางรู้สึกอิจฉามาก
“ใช่ ใช่ ใช่ ไปหาจิ่วชิง ให้จิ่วชิงไปหาหนทาง” ซูเหวินชิงชื่นชมความเห็นของเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากนั้นเขาก็นั่งไม่ติด บอกให้เฟิ่งชิงเฉินส่งเงินให้เขาโดยเร็ว จากนั้นเขาก็ออกไปหายืมเงินต่อ
เฟิ่งชิงเฉินตอบรับครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อหน้าซูเหวินชิง นางบอกให้คนรับใช้ของนางไปขอยืมเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงของหยุนซู
ใบหน้าของซูเหวินชิงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ เห็นเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในห้องผู้ป่วยอย่างเบื่อหน่าย เขาจึงขายน้องชายของตนเองออกมาทันที “ชิงเฉิน ข้าเห็นเจ้ารู้สึกเบื่อ ข้าจะให้เหวินหางมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้านั่นบ่นคิดถึงเจ้าทุกวันเลย”
“ไม่ต้อง……”
เสียงปฏิเสธของเฟิ่งชิงเฉินดังขึ้น แต่เวลานั้นซูเหวินชิงก็เดินออกไปแล้ว ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินหดหู่อยู่ลำพัง แม้ว่านางจะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่ได้เบื่อหน่ายจนที่จะหามาพูดคุยเพื่อแก้เหงา จนต้องมาดูแลน้องชายของบ้านตระกูลซู
แต่น่าเสียดายที่ซูเหวินชิงไม่เข้าใจความรู้สึกของเฟิ่งชิงเฉิน ในช่วงบ่ายของวันนั้น ซูเหวินชิงพาซูเหวินหางมาส่งถึงที่ ซูเหวินหางเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ เป็นอย่างดี ชื่นชมในตัวของเฟิ่งชิงเฉิน แต่มันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นเด็กของเขาได้
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รังเกียจซูเหวินหาง และยินดีที่จะเล่นกับซูเหวินหางแต่นางเล่นด้วยเพียงครั้งคราวเท่านั้น ไม่ได้ปล่อยให้เด็กเล่นอยู่เพียงลำพัง
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดในการเลี้ยงดูเด็กคืออะไร เมื่อชาติที่แล้วนางเคยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็ก และเด็กก็อาเจียนใส่นาง……
ซูเหวินชิงพาซูเหวินหางไปส่งที่จวนเฟิ่ง นั่นทำให้เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตเลย หัวใจของเขาในเวลานี้มีเพียงการหาเงิน แต่เงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงสุดท้ายนี้ไม่ได้หายากแบบธรรมดาทั่วไป
เขาไม่สามารถขายร้านค้าหรือบ้านของเขาได้ และไม่สามารถยืมเงินเพื่อนร่วมอาชีพได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถเปิดเผยมันต่อสาธารณชน หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป จะส่งผลเสียกับตระกูลซูในเรื่องของความน่าเชื่อถือ
หากพ่อค้าไร้ซึ่งความน่าเชื่อถูก จะไม่มีใครเข้ามาทำการค้าด้วย และตระกูลซูก็จะไร้ซึ่งเส้นทางในการค้าในอนาคต
ข้อจำกัดมากมาย ไม่สามารถหลุดพ้นจากพวกมันไปได้ ซูเหวินชิงพยายามดิ้นรนอยู่สองสามวันแต่ก็หาเงินมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ช่วยไม่ได้ เวลานี้คงมีแต่ต้องพึ่งพาหลานจิ่วชิงเท่านั้น
“จิ่วชิง ข้าพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังขาดอยู่อีกแปดแสนตำลึง” หลังจากพยายามติดต่อกันมาหลายวัน ซูเหวินชิงรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก
“เจ้ามั่นใจหรือว่าแค่แปดแสนตำลึง ไม่ใช่สองล้านแปดแสนตำลึง” ใบหน้าภายใต้หน้ากากสีเงิน เปล่งประกายด้วยแสงอันเยือกเย็น ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าสบตา
ซูเหวินชิงถูกหลานจิ่วชิงกดดันจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน เมื่อนึกถึงคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็ถามออกมาด้วยความกังวลว่า “จิ่วชิง ตระกูลซูต้องการพลิกกระดานและผลการแข่งครั้งนี้งั้นหรือ?”
หลังจากการประลองหมากสิ้นสุดลง เฟิ่งชิงเฉินได้สร้างความยุ่งเหยิงเอาไว้ หากตระกูลซูสามารถแก้หมากเหล่านั้นได้เท่ากับว่าพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ แต่หากแก้ไม่ได้ก็เท่ากับว่าเสมอ
“คนของตระกูลซูกล่าวว่าหมากนั้นของเฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถแก้ได้ เฟิ่งชิงเฉินจงใจทำให้ตระกูลซูต้องอับอาย” หลานจิ่วชิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่ตระกูลซูกล่าวออกมา
หมากนั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะแก้มันอย่างไร ตระกูลซูตามหาปรมาจารย์มามากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขได้ มันอาจจะเหมือนกับที่ตระกูลซูกล่าวไว้ เฟิ่งชิงเฉินจงใจสร้างหมากที่ไม่สามารถแก้ไขได้ออกมาเพื่อทำให้ตระกูลซูขายหน้า
“ไม่น่าเป็นไปได้ เฟิ่งชิงเฉินคงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น” ซูเหวินชิงตกใจจนลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
หากเป็นเช่นนั้นจริง เฟิ่งชิงเฉินประสบกับปัญหาครั้งใหญ่ นางจะตกเป็นข้อครหาของเหล่าบัณฑิตในใต้หล้า
“ตระกูลซูกล่าวออกมาเช่นนั้น ดูจากทัศนคติของพวกเขาแล้ว พวกเขาน่าจะมีหลักฐานบางอย่างอยู่ในมือ” หลานจิ่วชิงเองก็ไม่เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำอะไรโดยประมาทเช่นนี้ แต่ทัศนคติของตระกูลซูนั้นน่าสงสัยเกินไป
ราวกับว่าตระกูลซูมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการกลั่นแกล้งตระกูลซู
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร?” ซูเหวินชิงนึกถึงเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินพูดถึงหมากกระดาน เขาจึงถามออกมาด้วยความกังวล
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินต้องการกลั่นแกล้งตระกูลซู แล้วมันอย่างไร? ตระกูลซูกล้าสังหารเฟิ่งชิงเฉินอย่างนั้นหรือ?” หลานจิ่วชิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หากไม่ใช่เพราะเหตุเพลิงไหม้ในซูโหยว หากไม่ใช่เพราะซูโหยวได้รับบาดเจ็บในดินแดนตงหลิง ตระกูลซูจะไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากไหน
ซูเหวินชิงเงยหน้ามองท้องฟ้า เขาลืมไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นจิ่วชิงหรือเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาต่างไม่สนใจว่าคนในใต้หล้าจะคิดอย่างไร
“ก็ได้ ข้าไม่เป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็ได้ สิ่งที่ข้าเป็นห่วงเวลานี้ก็คือเรื่องเงิน ในเมื่อเจ้าบอกว่ากระดานหมากอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นข้าก็คงต้องเตรียมเงินไว้อีกสองล้านแปดแสนตำลึง เพราะเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ข้าจะได้รับมือได้ทัน” ซูเหวินชิงพบว่าสิ่งที่เขาต้องแบกรับนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นและหนักแน่นขึ้น……