นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 969 บรรจบกัน ฆ่าคนหนึ่งช่วยคนหนึ่ง
หลังจากเดินทางมาหนึ่งวัน ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็มาถึงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองจักรพรรดิ และพบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งสำหรับพักอาศัย
ทั้งสองไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องว่าจะนอนห้องเดียวกันหรือแยกห้อง แต่หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้องแล้ว พวกเขากลับทะเลาะกันว่าใครจะนอนพื้นและใครจะนอนเตียง
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่า “เจ้าเป็นถึงชินอ๋อง จะให้เจ้านอนพื้นได้อย่างไร ให้ข้านอนพื้นเถิด อย่างไรก่อนหน้านี้ข้าก็เคยนอนพื้นมาก่อน ไม่มีทางไม่ชินกับมัน”
“เจ้าเป็นผู้หญิง ข้าไม่หน้าด้านให้ผู้หญิงเสียสละนอนพื้นเพื่อข้า เจ้านอนบนเตียงเถิด” เสด็จอาเก้ากล่าว
“ผู้หญิงแล้วอย่างไร หากเป็นทาสรับใช้ของเจ้า ก็มีแต่ต้องนอนพื้นเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่ยินยอม
เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ยอมเช่นกัน “ข้าไม่ใช้สาวใช้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เจ้านอนบนเตียง อย่าทำให้ข้าโกรธ”
“ไม่ เจ้านอนบนเตียง เจ้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างบอบบาง ไม่คุ้นชินกับการนอนบนพื้น หากเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมา
เสด็จอาเก้าตอบกลับว่า “ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น เอาละ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้านอนพื้นเป็นอันขาด ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้นอนพื้น เช่นนั้นก็นอนเตียงด้วยกัน อย่างไรเตียงก็ใหญ่พออยู่แล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธออกไปโดยไม่คิด “ไม่ได้ ข้าจะไม่นอนเตียงเป็นอันขาด ข้าบอกว่าสามเดือนก็คือสามเดือน นี่เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ ความศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถทำลายได้ เสด็จอาเก้า เจ้านี่มันไม่เลย”
ใบหน้าของเสด็จอาเก้ากลายเป็นสีดำ “……”
เฟิ่งชิงเฉินรีบโน้มตัวไปข้างหน้า “ก็ได้ ก็ได้ เจ้าอย่าได้โกรธ หากเจ้าอยากนอนพื้น เจ้าก็นอน ข้าจะไม่ขวางเจ้า แต่ข้าจะปูที่นอนให้เจ้า และรับประกันว่าเจ้าจะไม่มีทางเป็นหวัด”
บ้าที่สุด!
ข้าอยากนอนพื้นตั้งแต่เมื่อใด เห็นได้ชัดว่าเจ้านั่นแหละที่ไม่ยอมขึ้นมานอนเตียงกับข้า
ดังนั้น……สิบกว่าวันหลังจากนั้น เสด็จอาเก้าก็นอนพื้นมาโดยตลอด เพราะเขาปฏิเสธที่จะขอห้องเพิ่ม
เมื่อจักรพรรดิได้รับข่าว เขากล่าวออกมาด้วยอารมณ์ “เจ้าเก้าของข้าผู้นี้ช่างเป็นคนคลั่งไคล้จริง ๆ” เขาวางรายงานไว้ข้าง ๆ และไม่สนใจมันอีก
จักรพรรดินั้นยุ่งมาก เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ของเสด็จอาเก้า
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะรับประกันว่านอนบนพื้นแล้วจะไม่เป็นหวัด แต่หลังจากนอนบนพื้นมาเป็นเวลาสิบกว่าวัน เสด็จอาเก้านอนโกรกลม สุดท้าย……การเดินทางของพวกเขาก็ต้องหยุดชะงัก เนื่องจากต้องรอให้เสด็จอาเก้าหายป่วยเสียก่อน
ข่าวนี้ไปถึงจักรพรรดิในทันที จักรพรรดิหยิบมันขึ้นมาดู เขาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อย่างไรเสียแค่ลมหนาว มันไม่มีทางเอาชีวิตของเสด็จอาเก้าไปได้
เสด็จอาเก้าป่วย จำเป็นต้องหาสถานที่รักษาซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แต่พวกเขากลับมาหยุดพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างเรียบง่าย แค่คืนเดียวเสด็จอาเก้าก็แทบจะไม่สามารถทนรักษาอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ เสด็จอาเก้าตัดสินใจย้ายออกไป เนื่องจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้สกปรกจนเกินเยียวยา
เพื่อสุขภาพของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้คนนำแผ่นป้ายของเสด็จอาเก้าไปใช้แสดงต่อผู้ปกครองเมือง ทำให้ได้ตำหนักหลังเล็ก ๆ ซึ่งห่างไกลมาหนึ่งหนัง แม้มันอาจจะเล็กไปบ้าง แต่มันก็ยังดีกว่าโรงเตี๊ยมในคืนที่ผ่านมา
เสด็จอาเก้าเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดพักอยู่ที่ตำหนักดังกล่าวเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนหรือเยี่ยมเยือน
เนื่องจากการเดินทางที่ต่อเนื่อง ทำให้ไม่ได้รับการพักฟื้นที่ดี อาการป่วยของเสด็จอาเก้าจึงเป็น ๆ หาย ๆ ประกอบกับวัตถุดิบปรุงยาในเมืองเล็ก ๆ ทำให้อาการป่วยของเสด็จอาเก้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ นี่เป็นข่าวที่จักรพรรดิได้รับรู้
แต่ในความเป็นจริง เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินฉวยโอกาสในคืนที่เข้าไปอาศัยอยู่ในตำหนักส่วนตัว แอบลักลอบออกมาในยามที่ลมแรง เปลี่ยนมาใช้เส้นทางน้ำ เดินทางไปยังเจียงหนานเพื่อเตรียมตัวพบกับองค์รัชทายาท
แต่โชคไม่ดี เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินที่มีชีวิตเป็นสำคัญ ภายใต้การเฝ้ามองของจักรพรรดิ จักรพรรดิยังคงรับรายงานว่าพวกเขายังคงอาศัยอยู่ในตำหนักส่วนตัวเพื่อพักฟื้นจากอาการป่วยของเขา
บนเรือลำใหญ่ที่ไม่เด่นนัก ผู้หญิงในชุดสีฟ้ายืนอยู่ลำพังตรงหัวเรือ ไม่มีใครอยู่บนดาดฟ้าเรือ มีเพียงผู้หญิงคนนั้นเพียงผู้เดียว เปล่งออร่าอันเงียบสงบ ยืนอยู่ที่หัวเรือและมองไปในระยะไกล
สายลมโชยโบกพัดเข้ามา ชายผ้าสีฟ้าพลิ้วไสวไปตามสายลมพร้อมกับเส้นผมอันสง่างามของนาง ประกอบกับสายน้ำและภูเขาที่เป็นฉากหลังให้กับนาง มันช่างเป็นภาพที่งดงาม เมื่อมองจากระยะไกล ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะถูกโอบล้อมไว้ด้วยพื้นน้ำและขุนเขาอันเขียวขจี
เสด็จอาเก้าเดินออกมาจากตัวเรือ เห็นเฟิ่งชิงเฉินยืนมือไขว้หลังอยู่ท่ามกลางสายลม ใบหน้าของนางดูเฉยเมย ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“กังวลเรื่องอาการป่วยขององค์รัชทายาทงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าเดินเข้ามา ยืนอยู่เคียงข้างเฟิ่งชิงเฉินท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงาม
“ใช่ ข้าเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับอาการป่วยขององค์รัชทายาท ครั้งนี้เจ้าวางแผนกะทันหันเกินไป ข้าจึงได้เตรียมตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เคลื่อนไหว นางยังคงมองไปด้านหน้าเช่นเดิม
ก่อนออกเดินทาง นางไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ารีบร้อนที่จะเดินทางไปยังซานตงถึงเพียงนี้ หากอ้อมไปเจียงหนานเพื่อรักษาอาการป่วยขององค์รัชทายาท มันก็ไม่ต่างอะไรกับการให้นางเข้าไปในสนามรบ
“อย่ากังวลมากเกินไป อาการป่วยขององค์รัชทายาท ขอแค่เจ้าพยายามอย่างเต็มที่ก็เพียงพอ องค์รัชทายาทเสียชีวิตในเจียงหนาน ก็ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวพวกนี้มันเกี่ยวข้องกับเจ้า” เสด็จอาเก้ากุมมือของเฟิ่งชิงเฉินไว้พร้อมกับกล่าวปลอบใจ
เขาพยายามเป็นอย่างมาก ทั้งนอนพื้น ทั้งแกล้งป่วย ทั้งหมดก็เพื่อไม่อยากให้ใครรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการรักษาอาการป่วยให้องค์รัชทายาท
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ความเป็นความตายขององค์รัชทายาทนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ต้องถูกหนามยอกอกในสายตาของจักรพรรดิ ตงหลิงจื่อลั่ว และจะไม่ถูกโกรธแค้นหากนางไม่สามารถรักษาอาการป่วยขององค์รัชทายาทได้
“จะให้ข้าไม่กังวลได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วของนาง ผู้ป่วยเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัด ไม่ว่าอย่างไรผู้ผ่าตัดก็ไม่มีวันมีความสุข อาการป่วยขององค์รัชทายาท มันรักษายากจริง ๆ
“เสด็จอาเก้า ก่อนหน้านี้หมอหลวงก็กล่าวออกมาจากปากของตนเองไม่ใช่หรือว่า อาการป่วยขององค์รัชทายาทได้ซบเซาลงแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี เหตุใดเจ้าจึงรีบให้ข้ามารักษาองค์รัชทายาท เรื่องเร่งด่วนถึงเพียงนี้ ไม่มีการเตรียมตัว มันอาจจะส่งผลเสียต่อตัวขององค์รัชทายาทเอง”
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว แต่นางก็ไม่อยากจะลงมือเสียเท่าไหร่ อาการป่วยขององค์รัชทายาทนางเองก็เคยเห็นมาก่อน มันรุนแรงเป็นอย่างมาก ทางที่ดีคือเปลี่ยนหัวใจใหม่ แต่การที่จะเปลี่ยนหัวใจให้องค์รัชทายาท นางจำเป็นต้องนำมันออกจากร่างกายของเขา ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางทำไม่ได้
นางไม่สามารถช่วยชีวิตคนหนึ่งและสังหารอีกคนหนึ่งได้ ต่อให้คนผู้นั้นเป็นองค์รัชทายาทก็ไม่ได้ นางไม่ได้รู้สึกผิดที่จะฆ่าใครสักคน แต่การที่นำหัวใจของอีกคนไปใส่ให้อีกคน มันเป็นความรู้สึกผิดอันยิ่งใหญ่สำหรับนาง และนางก็ไม่สามารถลงมือได้
“เวลาสองปีเป็นสิ่งที่พูดให้จักรพรรดิได้รับรู้ ร่างกายขององค์รัชทายาทไม่ได้ดีถึงขนาดนั้น หมอหลวงกล่าวว่า องค์รัชทายาทอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน” หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่รีบเดินทางมาซานตง และไม่แกล้งป่วยพาเฟิ่งชิงเฉินมายังเจียงหนาน
ชีวิตขององค์รัชทายาทอยู่ได้อีกไม่นาน เฟิ่งชิงเฉินมาที่นี่ อย่างน้อยก็สามารถจุดประกายความหวังอันริบหรี่ขึ้นมาได้ หากรักษาหายก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากองค์รัชทายาทตาย เช่นนั้นพวกเขาก็ทำให้องค์รัชทายาทตายอย่างมีคุณค่ามากที่สุด
“สามเดือน? เจ้าไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่หรือไม่? ก่อนหน้านี้ข้าเห็นองค์รัชทายาท เขาก็ไม่ใช่คนที่จะตายไวเช่นนั้น” เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียง
เสด็จอาเก้าคิดว่านางเป็นเทพเจ้าหรืออย่างไร มีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน นางจะช่วยได้อย่างไร?
“หมอหลวงกล่าวว่าองค์รัชทายาทมีทั้งความสุขและความเศร้า โรคหัวใจของเขากำเริบ มองภายนอกอาจไม่รู้อะไร แต่ในความจริงหัวใจขององค์รัชทายาทไม่สามารถแบกรับภาระได้อีกต่อไป ชิงเฉิน ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ขอแค่เจ้าทำให้ดีที่สุดก็เพียงพอ ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เสด็จอาเก้าตบไหล่ของเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับกล่าวปลอบโยน
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่านางไม่มีทางเลือก
ฮู้ว……ถอนหายใจออกมา เฟิ่งชิงเฉินหลับตาทั้งสองข้าง พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “เรื่องขององค์รัชทายาท ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่อย่าได้คาดหวังมากเกินไป ทางที่ดีเจ้าควรจะเตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่า”
เสด็จอาเก้าไม่พูดอะไร เขาวางมือไว้บนไหล่ของเฟิ่งชิงเฉิน กอดนางเบา ๆ ไว้ในอ้อมแขนของเขา……
ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็จะเผชิญหน้าไปด้วยกัน!