นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1060
วิหารชมเดือนอยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิพอสมควร แม้ว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินทางออกมาจากเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินได้นอนหลับสบาย เสด็จอาเก้าก็สั่งให้ใช้ความเร็วไม่มากนัก ดังนั้นในตอนใกล้เที่ยงพวกเขาจึงเพิ่งเดินทางมาถึงวิหารชมเดือน
วิหารชมเดือนไม่ใช่สถานที่ซึ่งมีชื่อเสียงแต่อย่างใด เครื่องหอมก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก มีเพียงแค่ฤดูกาลนี้เท่านั้นที่พอจะมีคนมาทานอาหารมังสวิรัติและเพลิดเพลินกับดอกไม้
ทันใดที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาถึง ผู้นำภิกษุณีก็รีบออกมาต้อนรับทันที พูดจาอ่อนน้อม ให้ความเคารพ ไม่เหมือนกับภิกษุณีเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าเป็นผู้ชาย แต่ผู้นำภิกษุณีก็ยังอนุญาตให้เสด็จอาเก้าเข้าไปด้านใน
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว ผู้นำภิกษุณีผู้นั้นสังเกตทั้งคำพูดและท่าทางของคนเป็นอย่างดี เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของเฟิ่งชิงเฉิน นางก็รีบอธิบายออกมาทันใดว่า “แม่นางเฟิ่ง วันนี้ในวิหารของเราไม่มีคนนอก ข้าได้สั่งให้ศิษย์ในวิหารกลับไปหมดแล้ว สวนด้านหลังจึงมีเพียงแค่เสด็จอาเก้าและพวกของแม่นางเฟิ่งเท่านั้น”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎของวิหารชมเดือน แต่เป็นเพราะตัวตนที่ไม่ธรรมดาของเสด็จอาเก้า จึงไม่มีใครพูดถึงกฎเกณฑ์กับเขา
“ขอโทษที่ต้องทำให้ผู้นำภิกษุณีลำบาก” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าขอบคุณ นางไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์แต่อย่างใด แต่เสด็จอาเก้าก็รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่มีความสุข
มาถึงสวนด้านหลัง เสด็จอาเก้าบอกให้ผู้นำภิกษุณีออกไปก่อน จากนั้นถามออกมาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ชอบหรือไม่?”
แม้ว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อทำธุระ แต่เสด็จอาเก้าก็หวังว่าจะสามารถทำให้เฟิ่งชิงเฉินมีความสุขได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่จงใจปิดบังเฟิ่งชิงเฉินเป็นพิเศษ แน่นอน ที่เขาไม่ได้บอกเฟิ่งชิงเฉินก็เพราะว่ากลัวจะมีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากสิ่งที่ท่านอ๋องสามทำลงไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดเดาได้ มันละเอียดและระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไปถึงหลายเท่า
“ผู้นำภิกษุณีผู้นั้นดูแปลก ๆ” ไม่มีคนนอก เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ปิดบังแต่อย่างใด
“แปลกอย่างไง?” เสด็จอาเก้าแอบถอนหายใจกับความรู้สึกอันอ่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉิน
ก็นางไม่ใช่ภิกษุณีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องรู้สึกแปลกเป็นธรรมดา แต่หลายปีที่ผ่านมานี้กลับไม่มีใครสังเกตหรือสัมผัสถึงมันได้เลย
“ผู้นำภิกษุณีผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น หน้าตาสะสวย รูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ เวลาเดินก็พลิ้วไหวและสง่างาม ไม่ถือตัว ไม่มีความนิ่งสงบเหมือนกับภิกษุณีอยู่เลย” ชาติที่แล้วนางเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ ภิกษุจริงหรือปลอม ภิกษุณีจริงหรือปลอม นางก็ได้เห็นมาไม่น้อย แต่ถึงแม้จะเป็นตัวปลอม พวกเขาก็แสดงได้แนบเนียนเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับผู้นำภิกษุณีผู้นี้ เห็นกันอยู่ว่าเป็นผู้นำภิกษุณีจริง ๆ แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกของภิกษุณีที่แท้จริงอยู่เลย
เสด็จอาเก้าแอบพยักหน้า แต่เขายังปกปิดมันไว้พร้อมกับกล่าวออกไปว่า “วิหารชมเดือนแห่งนี้เป็นเพียงวัดเล็ก ๆ ผู้นำภิกษุณีอย่างพวกนางน่าจะไม่ค่อยเคร่งครัดเสียเท่าไหร่ อีกอย่างวิหารชมเดือนแห่งนี้ก็เป็นวันที่มีชื่อเสียงทางด้านของสวนดอกไม้และอาหารมังสวิรัติ ผู้นำภิกษุณีจะปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่มีใครมาให้ความสนใจ”
“ที่เจ้าพูดมามันก็ถูก อย่างไรเสียที่พวกเรามายังวิหารชมเดือนแห่งนี้ก็ไม่ใช่เพราะต้องการคำชี้แนะจากอาจารย์ แต่มาเพื่อทานอาหารและชื่นชมดอกไม้ ผู้นำภิกษุณีจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา พวกเรามาอย่างกะทันหัน ผู้นำภิกษุณีบอกว่าเรื่องอาหารคงต้องรออีกสักพัก เช่นนั้นพวกเรามาเดินชมทุ่งดอกกุหลาบกันก่อนเป็นอย่างไร?” ในใจของเฟิ่งชิงเฉินยังนึกถึงทุ่งดอกกุหลาบที่เสด็จอาเก้าพูดในตอนแรก
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงชื่นชอบดอกกุหลาบยิ่งนัก แต่ในเมื่อเจ้าอยากได้มันถึงเพียงนั้น ข้าก็จะเป็นคนมอบให้เจ้าด้วยตัวเอง” เสด็จอาเก้าพูดอย่างไร้หนทาง แต่ในคำพูดของเขาก็แสดงถึงการปรนเปรอและอ่อนโยนอย่างชัดเจน
เขากำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่จะหาเหตุผลอะไรเพื่อชวนเฟิ่งชิงเฉินไปเดินเล่น แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องอาจจะคิดว่าพวกเขาตกลงกันมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
“ข้าไม่สน ในเมื่อเจ้ารับปากข้าแล้ว เจ้าจะต้องเก็บและมอบมันให้ข้าด้วยตัวเอง และเจ้าก็ต้องเลือกดอกที่งดงามที่สุดให้กับข้า” เฟิ่งชิงเฉินดึงแขนของเสด็จอาเก้าออกไปเดินเล่นด้านนอกอย่างเอาแต่ใจ
“ข้าต้องเก็บเองด้วยอย่างนั้นหรือ? เจ้าก็รู้ว่าข้าแพ้เกสรดอกไม้” เสด็จอาเก้าพยายามดิ้นรนเพื่อต่อสู้กับความตายอย่างสุดชีวิต เมื่อเขานึกถึงภาพตอนที่เขาเดินเข้าไปหน้าสวนดอกไม้ ในตอนที่เขากำลังจะเก็บมัน ร่างกายของเขาก็สั่นเทาด้วยความหนาวเย็น
“ข้าก็ให้เจ้ากินยาแก้แพ้ไปแล้วไม่ใช่หรือ เป็นโอกาสดีเลยที่จะมาลองกันว่ามันมีประโยชน์หรือไม่” หากไม่เก็บด้วยตัวเอง เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร
“ครั้งหน้าได้หรือไม่? ครั้งนี้ข้าให้คนอื่นเก็บให้เจ้าไม่ได้หรือ?” เสด็จอาเก้าต่อรองออกมา
“ไม่ได้ ไม่ได้ บนรถม้า พวกเราตกลงกันไว้แล้ว เจ้าจะต้องเป็นคนเก็บให้ข้าด้วยมือของเจ้าเอง ไม่สนแล้ว……รีบไปกันเถอะ”
“ก็ได้ ก็ได้……”
เสด็จอาเก้ายิ้มพร้อมกับส่ายหน้าอย่างขมขื่น ให้ท้ายเฟิ่งชิงเฉิน ก่อนที่จะจากไปเขาเหลือบตาเห็นท่อสีแดงซึ่งอยู่ใต้โต๊ะและแสดงรอยยิ้มที่มีความหมายออกมา
เสด็จพี่สาม พวกเราเจอกันอีกแล้ว!
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป อีกด้านหนึ่งของปลายท่อสีแดงก็อยู่ไม่สุข ชายผู้สวมชุดยาวสีขาวกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไม่สบายใจ “ท่านอ๋องสาม จู่ ๆ เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็มายังวิหารชมเดือน พวกเขามาเพื่อชื่นชมดอกไม้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกไป เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเพิ่งกลับมาถึงเมืองจักรพรรดิ พวกเขาน่าจะยุ่งเป็นอย่างมากถึงจะถูก เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาชื่นชมดอกไม้”
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น พูดแค่เรื่องที่ท่านอ๋องสามหนีออกมาจากเรือนแยก ไม่ว่าอย่างไรเสด็จอาเก้าก็ต้องส่งคนไปตามหาร่องรอยของท่านอ๋องสาม เป็นไปได้อย่างไรว่าเขาจะมาใช้เวลาอยู่กับผู้หญิงเช่นนี้
“เขามีเวลาว่างหรือไม่ เรื่องนี้ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงแค่ว่า ที่พวกเขาเดินทางมายังวิหารชมเดือนในครั้งนี้ก็เพื่อทานอาหารและชื่นชมดอกไม้เท่านั้น” ท่านอ๋องสามนั่งอยู่ในห้องลับ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมจนน่าตกใจ
“ข้าเกรงว่าเสด็จอาเก้าจะค้นพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว” ชายในชุดยาวสีขาวกล่าวออกมาด้วยความกังวล ตำหนักใหญ่ของพวกเขาอยู่ในซานตง แม้ว่าที่นี่จะมียอดฝีมืออยู่บ้าง แต่หากต้องสู้กับทหารของจักรพรรดิและเสด็จอาเก้า เกรงว่ามันคงไม่มากพอ
“หากเขารู้อะไรบางอย่างและกล้าเข้ามาจับข้าด้วยตัวเอง เช่นนั้นข้าคงนับถือเขาน่าดู” ท่านอ๋องสามเชื่อว่าการที่เสด็จอาเก้ามาที่นี่ในครั้งนี้ทั้งหมดเป็นเพียงแต่เรื่องบังเอิญ แต่ว่า……
ในซานตง เขาใช้ทหารจำนวนห้าหมื่นนายเพื่อสร้างความสับสนให้แก่เสด็จอาเก้า มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะหนีออกมาได้ อยู่อย่างสงบได้ไม่ถึงสองวัน เสด็จอาเก้าพาคนมาหาเขาถึงที่ นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
แต่หากบอกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วมันยังไง?
หรือว่าเจ้าคนที่ชื่อหลานจิ่วชิงเอาเขาไปขาย แต่ หากเสด็จอาเก้าพบที่ซ่อนตัวของเขาแล้ว แทนที่จะปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่นำกองกำลังทหารมาปิดล้อมวิหารชมเดือน?
ท่านอ๋องสามพบว่าเขาคิดไม่ออกจริง ๆ น้องเก้าผู้นี้เป็นคนแปลกและไม่อาจคาดเดาได้ ทำให้คนไม่กล้าตัดสินใจลงมือ จนกว่าจะแน่ใจว่าเสด็จอาเก้ารับรู้ถึงตัวตนของเขาหรือไม่ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวโดยไม่จำเป็น และปล่อยให้ลูกนอกสมรสอย่างจักรพรรดิเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ประตูของห้องลับถูกเปิดออก ผู้นำภิกษุณีที่ถูกเฟิ่งชิงเฉินตำหนิว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราวก้าวเข้ามา
“ท่านอ๋องสาม”
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ในวิหารชมเดือน พวกของท่านอ๋องสามไม่อาจเห็นสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูและรับรู้สถานการณ์จากท่อแดงในส่วนต่าง ๆ เท่านั้น
“กราบทูลท่านอ๋องสาม เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินนำองครักษ์มาด้วยเพียงแค่สิบสองคนเท่านั้น ที่เหลือล้วนเป็นสาวใช้ มองจากท่าทางของเสด็จอาเก้าก็ไม่อาจคาดเดาอะไรได้ ส่วนแม่นางเฟิ่งก็ยังอายุน้อย น่าจะประมาณสิบห้าสิบหกเท่านั้น คิดอะไรก็แสดงออกมาทางใบหน้า จากที่ข้าสังเกตท่าทางและใบหน้าของเสด็จอาเก้าและแม่นางเฟิ่ง พวกเขาน่าจะมาเพื่อชื่นชมดอกไม้” ผู้นำภิกษุณีกล่าวถึงสีหน้าและท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินหลังจากที่เข้ามาในวิหารอย่างละเอียด ในคำพูดของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
แต่ท่านอ๋องสามกลับไม่คิดเช่นนั้น เขานึกถึงตอนที่เฟิ่งชิงเฉินพาทหารไปล้อมจับเขา ท่านอ๋องสามกล่าวเตือนออกมาว่า “อย่าดูถูกเฟิ่งชิงเฉิน ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดา เจ้าอย่าถูกนางหลอกเป็นอันขาด”
หากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ นางจะต้องบอกว่านางถูกใส่ร้ายเป็นแน่ เนื่องจากวันนี้นางไม่รู้อะไรจริง ๆ นางไม่ได้แสดงละครแต่อย่างใด นางคิดว่าตนเองมาที่นี่เพื่อทานอาหารและชื่นชมดอกไม้ ส่วนเสด็จอาเก้าจะทำอะไรนั้น นางจะไปรู้ได้อย่างไร
“ท่านอ๋องสามวางใจ ข้าจะสั่งให้คนคอยจับตาดูพวกเขาไว้ ส่วนคนที่เสด็จอาเก้าพามาด้วย ข้าเองก็สั่งให้คนคอยจับตาดูไว้แล้ว หากพวกเขาเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ข้าจะสั่งให้คนลงมือทันที”
ผู้นำภิกษุณีรับประกันด้วยตนเอง ท่านอ๋องสามถึงพูดออกมาด้วยความวางใจว่า “ระวังตัวด้วย อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว เจ้าก็อย่าทำอะไรเป็นอันขาด พาพวกเขาไปส่งแต่โดยดี อย่าทำให้ตัวตนของพวกเราต้องถูกเปิดเผยเป็นอันขาด”
เสด็จอาเก้ามาให้จัดการถึงที่ เหตุใดท่านอ๋องสามจะยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปง่าย ๆ แต่เสด็จอาเก้าเป็นถึงชินอ๋อง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินที่นี่ แน่นอนว่าตัวตนของพวกเขาจะต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่ เพื่อจัดการกับเสด็จอาเก้าเพียงคนเดียว ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียที่ซ่อนตัว มันเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มค่าเสียจริง……