ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 121
เพราะฉะนั้น มู่หรงจ้วงจ้วงนางนี้ แม้แต่หวงไท่โฮ่วองค์ปัจจุบัน ก็ต้องเห็นแก่หน้านางสักหน่อย เพราะจักรพรรดิองค์ก่อน เอาแต่ดูแลประคบประหงมน้องสาวคนเล็กสุดราวกับเด็กแรกเกิด
และยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงนางนี้ก็ยังได้รับการสถาปนาเป็นองค์หญิงแห่งเจิ้นกั๋ว และองค์หญิงแห่งเจิ้นกั๋วก็มีอำนาจอยู่เหนือฮองเฮา และยังอยู่ในชนชั้นบรรดาศักดิ์เดียวกันกับหวงไท่โฮ่วอีกด้วย และที่รู้ ๆ กัน นางเป็นตำนานคนหนึ่งเลย
เป็นตำนานที่สุด เพราะไม่มีผู้ใดที่เกินกว่านางอีกแล้ว อายุยี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังไม่ยอมอภิเษกเสียที
หวงไท่โฮ่เองก็ใจสลายเรื่องงานอภิเษกสมรสของนางเช่นกัน
มู่หรงจ้วงจ้วงดึงจื่ออานให้นั่งลง และถามเธอด้วยความสนใจ “เจ้าไม่ชอบอาซินใช่หรือไม่? เรื่องไม่ชอบเขานั้นไม่สำคัญหรอก ตระกูลมู่หรงของเรามีชายที่โดดเด่นอยู่มาก หากเจ้าถูกใจใครข้าจะช่วยตัดสินใจ”
จื่ออานเขยิบตัวเข้ามาข้างในเล็กน้อย นี่นางกำลังขายสินค้าที่ขายไม่ออกหรือไง?
“จื่ออานหยุดชั่วคราว…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ มู่หรงจ้วงจ้วงก็ขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ของเธอ เหยียดตัวตรง นัยน์ตาสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคิดว่าอาจื่อเป็นไง”
จื่ออานไม่มีคำพูดใด ๆ อาจื่อที่นางกล่าวถึงคงจะเป็นมู่หรงจื่อ องค์ชายอาน แต่นางไม่รู้มาก่อนว่าองค์ชายอานเคยเทิดทูนแม่ของเธอหรือไม่?
มู่หรงจ้วงจ้วงมองสีหน้าของเธอ ก็คิดว่าเธอคงไม่ชอบอาจื่ออย่างที่นางบอกไป จึงถามต่อว่า “หลานชายสี่ของข้า? หลานชายห้า? หรือว่าหลานชายหก?”
มู่หรงจ้วงจ้วงมีสีหน้าตกใจ “เจ้าเจ็ด? เจ้าชอบเจ้าเจ็ด?”
จื่ออานเห็นว่านางมีสีหน้าท่าทางตกใจ จึงถามไปแบบลองเชิงว่า “องค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนทำไมเหรอเพคะ?”
มู่หรงจ้วงจ้วงมองเธออย่างเห็นอกเห็นใจ “จะชอบใครก็อย่าชอบเด็กเจ้าเจ็ดนั่นเลย เขาทั้งหยาบคาย ทะนงตน จิตใจโหดเหี้ยม อำมหิต ดุร้ายเยือกเย็น และเป็นผู้ที่เลวที่สุดในแผ่นดินนี้เลย จะหาผู้ใดเลวกว่าเขาไม่มี”
จื่ออานฟังที่นางพรรณนามา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พลางกล่าว “คุณค่าที่องค์หญิงประเมินท่านอ๋องช่างพิเศษนักเพคะ”
มู่หรงจ้วงจ้วงส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมา ดึงขากลับมาด้วยท่าทีที่เบื่อสุด ๆ “เหล่าชื่อคือหายนะ ข้าน่ะตั้งตาคอยให้สวรรค์รีบ ๆเก็บเขากลับขึ้นไปเสียที”
ทันทีที่นางพูดจบ ก็เห็นว่าองค์ชายอานไปและกลับมา รวดเร็วดังสายลมหมุนเข้ามา ใบหน้าที่เขร่งขรึมจริงจังเข้ามาพร้อมกับคว้าข้อมือจื่ออานแน่น “ไปกับข้า อาเจี๋ยเกิดเรื่องแล้ว”
จื่ออานใจเต้นตึกตัก “เกิดอะไรขึ้น?”
“เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว” น้ำเสียงองค์ชายอานแหบแห้ง และรอบดวงตาก็แดงขึ้นมาทันที
มู่หรงจ้วงจ้วงยื่นมือออกมาตบตัวเองอย่างแรง ตบจนสียงดังแปะ ๆ กระทั่งใบหน้ารูปไข่อันขาวผ่องเริ่มแดงปูดขึ้นมาทันที ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้พลางกล่าว “ข้านะ ข้าเอ้ย ข้าถอนคำพูดที่พูดไปเมื่อครู่”
ขาจื่ออานอ่อนยวบเล็กน้อย สมองส่งเสียงวิ้ง ๆ และเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปขึ้นมาครู่หนึ่ง ได้แต่มององค์ชายอาน “เร็ว พาข้าไป”
เธอไม่รู้ว่าใจตนเองกังวลใจอะไรหนักหนา บางทีอาจเพราะเธอรู้ว่าตอนนี้มู่หรงเจี๋ยเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ หากเกิดอะไรขึ้นกับมู่หรงเจี๋ย เธอก็คงจะโชคร้ายไปด้วย
กลุ่มคนสามคนรีบร้อนมาให้ถึงสำนักหมอหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง
ที่นี่ไม่ใช่จวนขององค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ป้ายแนวนอนข้างบนประตู เขียนไว้ว่า “จวนแม่ทัพใหญ่”
ที่ประตูตำหนักมีกำลังทหารคอยอารักขาอย่างแน่นหนา ไฟที่ประตูดับสนิท ประตูทางเข้าปิด และถูกเปิดออกเมื่อองค์ชายอานและจื่ออานมาถึง จากนั้นก็ถูกปิดลงอีกครั้งในทันที
จื่ออานสังเกตเห็นว่า มีนักธนูนั่งยอง ๆ เรียงรายกันเป็นแถวอยู่บนกำแพงของจวนแม่ทัพใหญ่ท่าทางใจจดใจจ่อและเคร่งขรึม ที่พร้อมต่อสู้ได้ทันที
จื่ออานรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แล้วแน่ ๆ ใจเต้นตึกตัก ตึกตัก มือและขาเย็นเฉียบ
ร่างของมู่หรงจ้วงจ้วงกว่าครึ่งท่อนพิงตัวขององค์ชายอานอยู่ ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบจะเดินก็เดินไม่ไหว ในปากนางได้แต่กล่าวพึมพำ ๆ ว่า “ข้าถอนคำพูดที่ได้พูดไว้เมื่อครู่ สวรรค์จงเป็นพยาน ข้ามู่หรงจ้วงจ้วงนั้นปากเสีย ในใจข้าไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ข้าขอถอนคำ ข้าขอถอนคำ เจ้าเจ็ดจะดีขึ้นโดยเร็ว…”
จื่ออานเหลือบมองนางอย่างใจไม่ดี เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางนั้นขาวซีด ไม่หลงเหลือท่าทางที่ดูแจ่มใสและร่าเริงแบบเมื่อตอนที่อยู่ที่จวนอีกแล้ว นางตกใจมาก
น้ำเสียงของนางมาพร้อมกับเสียงสะอื้น พูดจาเร็วและดูเป็นกังวล วนไปวนมาแค่ไม่กี่ประโยคนั้น
องค์ชายอานโอบไหล่ของนางไว้ และก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ราวกับว่าเขากำลังเดินกอดนางไว้ครึ่งหนึ่ง