ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 361
ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนเซี่ยวเซียงหย้วน ป้าหลานยู่แน่นอนว่าจะต้องนำหยวนซื่อและจื่ออันไปยังเรื่อนเซี่ยวเซียงหย้วน
โคมไฟสีแดงอันใหญ่แขวนไว้ยังประตูสูงใหญ่ของเรือนเซี่ยวเซียงหย้วน เป็นการป่าวประกาศออกไปให้ทุกคนได้รู้ ค่ำนี้เป็นวันมหามงคลของจวนมหาเสนาบดีเซี่ย
ถึงแม้วันนี้จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งดีทำร้ายร่างกาย มีคนเสียชีวิต แต่ทว่า ไม่ว่าจะเกิดการสูญเสียขึ้นเช่นไร ค่ำนี้ก็ยังคงเป็นคืนมงคลของมหาเสนาบดีเซี่ย
ซีเหมินเสี่ยวเยว่และมหาเสนาบดีเซี่ยนั่งอยู่ในห้องโถงของเรือนเซี่ยวเซียงหย้วน ที่พวกเขาต้องการให้หยวนซื่อมานั้น ก็เป็นความเห็นของนางด้วยเช่นกัน
นางในตอนต้นนั้นรู้สึกว่า วันนี้ส่งหยวนซื่อออกไป เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดนัก นางควรจะให้หยวนซื่อนั้นอยู่ในจวน ให้นางได้สัมผัสกับฉากที่สามีของตนนั้นแต่งผิงชี
นางยังอยากจะบอกกับหยวนซื่อด้วยตนเอง นางนั้นเริ่มแก่ชราลงแล้ว ควรจะละทิ้งตำแหน่งนั้นได้แล้ว
นางรู้ว่าตอนนี้หยวนซื่อนั้นตาบอดมิอาจมองเห็นได้ นางไม่ได้สนใจต่อบาดแผลของตน เมื่อครู่หมอหลวงได้เข้ามาแล้ว หมอหลวงบอกว่าใบหน้าของนางนั้นถึงแม้จะมีรอยแผลอยู่ชั่วคราว แต่ในวังนั้นมียาลดรอยแผลเป็นชั้นเลิศอยู่ สามถึงห้าเดือนก็จะเลือนหายไป
เพราะเหตุนี้ นางถึงได้วางใจและดูเงียบสงบ จึงนั่งลงบนเก้าอี้ รอการมาถึงของหยวนซื่อ
เพียงแค่รอต้อนรับศัตรูหัวใจคนแรกในชีวิตของนาง
ก่อนหน้านี้นางนั้นไม่เคยพบหยวนซื่อมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนาง ในตอนที่ได้ยินมานั้น เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันกับจวนมหาเสนาบดี ก็รู้สึกว่าสตรีนางนี้ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
แต่ว่ามาในตอนนี้นางคิดว่า ความเศร้าโศกของหยวนซื่อนั้น เป็นนางที่เป็นคนก่อขึ้นเอง
มองเข้าไปในลานพบว่ามีคนสองคนเดินเข้ามา นางปรับสีหน้าท่าทาง เอื้อมมือออกไปจัดแต่งทรงผิดที่ปิดหน้าอยู่ ถึงแม้ว่าหยวนซื่อจะมองไม่เห็น แต่ว่านางก็ยังหวังว่าตนจะมีท่าทางที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากันกับหยวนซื่อ
แต่ทว่า ตอนที่นางมองเห็นเซี่ยจื่ออันประคองหยวนซื่อเข้ามานั้น ความเย่อหยิ่งบนใบหน้านางเหมือนจะค่อย ๆ จางหายลงไป จนในที่สุดสีหน้าดูราวกับขาวซีดลง
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า หยวนซื่อจะมีหน้าตาเยี่ยงนี้ ต่อให้ในตอนที่นางยังเยาว์วัยนั้นจะงดงามมากเพียงใด แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็สามสิบกว่าเข้าไปแล้ว และยังใช้ชีวิตในจวนนี้อย่างคนที่ถูกทิ้งขว้าง นางควรที่จะผิวซีดเหลือง ร่างกายผอมแห้ง และยังมีผมขาวโพลน
มารดาของนางและหยวนซื่อนั้นมีอายุห่างกันไม่กี่ปี ท่านแม่นั้นสองปีมานี้เริ่มที่จะมีผมขาวตามจอนผมแล้ว ริ้วรอยรอบดวงตาก็ดูจะชัดขึ้น ใบหน้าดูหย่อนคล้อย ท่านแม่ในตอนเยาว์วัยนั้น ก็เป็นหญิงงามเช่นกัน
นางคิดว่าหยวนซื่อควรจะดูแก่ชรากว่าท่านแม่เสียอีก
แต่ว่าเห็นนางวันนี้สวมใส่เสื้อผ้าแบบเรียบง่าย ทรงผมม้วนขึ้น สีผมดำเหมือนกับปีกอีกา มีเพียงปิ่นหยกที่ปักอยู่ ใบหน้านั้นแทบจะมิได้ทาแป้ง มองจากระยะห่างของนางแล้ว มองไม่เห็นริ้วรอยรอบดวงตาเลย ใบหน้างามวิจิตร ทุกอย่างรับกันอย่างลงตัว ราวกับหยกชิ้นงามที่สวรรค์สรรสร้างมา
ไม่ต้องพูดถึงนางที่ในตอนนี้มีบาดแผลจากการโดนเผาไหม้ ต่อให้ไม่มีนางในตอนที่เยาว์วัยนั้น เทียบไม่ได้กับหยวนซื่อแม้แต่นิด
นางตั้งใจมองไปยังมหาเสนาบดีเซี่ย พบว่าเขาเองก็กำลังมองยังหยวนซื่อ แววตาดูซับซ้อน
ความหึงหวงเกิดขึ้นภายในใจของนาง ในชั่วขณะนั้น ในใจของนางส่งเสียงหนึ่งออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน “หยวนซื่อมิอาจมีชีวิตอยู่ได้ หยวนซื่อจะต้องตาย สตรีที่งดงามเช่นนี้ ไม่มีชายใดไม่หวั่นไหว”
จื่ออันมองยังซีเหมินเสี่ยวเยว่แววตาดูดุร้าย ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
จื่ออันเดินไปยังด้านหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า ส่งเสียงเอ่ยออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านรับปากไว้แล้วว่า จะมอบกุ้ยหยวนให้แก่ข้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ตอบคำถามจื่ออัน มองเพียงแต่หยวนซื่อ “ชุ่ยอวี่ พวกเราแม่สามีลูกสะใภ้สองคน นานมากแล้วที่มิได้พูดคุยกัน เจ้ายินยอมที่จะพูดคุยกับแม่สามีผู้แก่ชราคนนี้หรือไม่?”
ใบหน้าของหยวนซื่อหันไปยังนาง “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเกินไปแล้ว ข้าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปเจ้าค่ะ”