ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 469
ซูชิงยินดีเป็นอย่างมาก “ได้ เพียงแค่สามารถช่วยหวางหยูเอาไว้ได้ ข้ายินยอม”
ซูชิงนั่งลง จื่ออันจึงได้เริ่มฝังเข็ม เรียงลำดับเหมือนกันกับหวางหยู เริ่มตั้งแต่จุดเสินถิ้งไปยังจุดเฟิงซือ จนถึงจุดหยางป๋ายนั้นซูชิงจึงได้ลุกขึ้นยืน
เขาเขย่าศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้ามีความรู้สึกสงสัยมึนงง
“เป็นอะไรไป?” จื่ออันเอ่ยถาม
ซูชิงค่อย ๆ นั่งลง สีหน้ายังคงดูมึนงง “มีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง”
“ความรู้สึกอย่างไร?” จื่ออันรีบร้อนถามต่อ
ซูชิงเงยหน้าขึ้นมามองยังนาง “เหมือนกับในหัวนั้นมีบางอย่างกระตุกไปมาอยู่เพียงครู่ จากนั้นข้าก็มีความรู้สึกที่เอ่ยออกมาไม่ได้อย่างหนึ่ง”
“ความรู้สึกที่เอ่ยออกมาไม่ได้?” จื่ออันมองมายังเขาด้วยความสงสัย ดูแล้วเข็มทะยานนี้อาจจะเข้าไปกระตุ้นในจุดฝังเข็มเหล่านี้ ให้ส่งผลต่อความสามารถในการตอบกลับของร่างกาย
ซูชิงใบหน้าเริ่มจะมีสีแดงเล็กน้อย “อืม ใช่แล้ว ความรู้สึกที่เอ่ยอธิบายออกมาไม่ได้ แต่ว่าไม่มากนัก เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น”
จื่ออันมองมายังเขาด้วยความตกตะลึง “ถ้าไม่อย่างนั้น เจ้าลองวาดเป็นรูปอธิบายออกมาว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร? บางทีข้าอาจจะพอเข้าใจขึ้นมาสักกี่ส่วนก็เป็นได้”
ซูชิงเอ่ยออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “เอ่ยออกมาไม่ได้ เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น”
จื่ออันมีความหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย เดิมนั้นคิดว่าจากจุดเสินถิ้งไปจนถึงจุดเฟิงซือ อาจจะพบร่องรอยบางอย่าง แต่ว่าในเมื่อซูชิงเอ่ยออกมาไม่ได้ว่ามันคือความรู้สึกอย่างไร ถ้าอย่างนั้นนางก็คงไม่มีวิธีที่จะศึกษาต่อไปได้แล้ว
แต่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรแล้ว ในเมื่อเกิดการตอบสนองขึ้นมาในทันที ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นประสาท หรือว่ากระตุ้นเซลล์สมองแล้วนั้น นางคงจะต้องกลับไปดูทักษะการฝังเข็มทอง
เมื่อฟังเข็มให้หวางหยูแล้วนั้น นางจึงได้หยิบกล่องยาขึ้นมา “สองวันนี้ ไม่ต้องขังเขาเอาไว้ในกรงเหล็ก เขาไม่มีทางที่จะตื่นขึ้นมา ข้าจะกลับไปเปิดหนังสือดู หรือค่อย ๆ ลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง อีกสองวันข้างหน้าข้าจะเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง”
“เจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?” ซูชิงเอ่ยถาม
จื่ออันถอนหายใจ “ไม่แน่ใจนัก ซูชิง เจ้าอย่าได้แบกความหวังเอาไว้ในใจมากนัก ข้าเพียงแค่เมื่อครู่เพียงแค่มีเบาะแสขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น”
แต่ว่าเข็มทะยานนี้ก็คงจะหาสาเหตุไม่ได้แล้ว หวังก็แต่ทางด้านของหนี่หรงจะมีอะไรคืบหน้าขึ้นมาบ้าง
จื่ออันในตอนที่จะจากไปนั้นก็พบว่าทหารองครักษ์ของซูชิงรีบร้อนเข้ามา “ท่านแม่ทัพ จากการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าทางด้านหมู่บ้านศิลาเกิดการแพร่ระบาดขึ้น ท่านอ๋องตอนนี้จึงได้ส่งคนเข้าไปปิดล้อมเอาไว้ขอรับ”
“เกิดการแพร่ระบาดขึ้นหรือ?” ซูชิงตกตะลึงงัน “หมู่บ้านศิลาทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดขึ้นมาได้?”
“เป็นวันนี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนมหาเสนาบดีพบเข้าในตอนที่ไปสำนักซือโถวบนชานเขาของหมู่บ้านศิลา ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปบอกแก่มหาเสนาบดีเซี่ย มหาเสนาบดีเซี่ยและราชครูพร้อมทั้งขุนนางทั้งหลายก็รีบเร่งรายงานให้แก่ท่านอ๋อง” ทหารองครักษ์เอ่ยออกมา
“ฮูหยินผู้เฒ่าจวนมหาเสนาบดีเป็นผู้พบเข้า?” ซูชิงมองแล้วมองอีกไปยังจื่ออัน แล้วจึงเอ่ยถาม “เป็นโรคระบาดอะไรกัน? ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่มีคนของสำนักฮุ้ยหมินรายงานกลับมาเลย?”
ทหารองครักษ์เอ่ย “ท่านหมอของสำนักฮุ้ยหมินเองก็ดูเหมือนจะไม่ทราบเรื่องนี้ขอรับ”
“หมู่บ้านศิลานั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงทางเดินเพียงห้าลี้ แต่คนของสำนักฮุ้ยหมินกลับไม่รู้ว่าเกิดการระบาดขึ้นมา เป็นโรคระบาดอะไรกัน?” เซียวท่าเอ่ยถาม
ทหารองครักษ์มองมายังจื่ออันแล้วเอ่ยออกมา “เหมือนกันกับหวางหยูขอรับ”
เซียวท่าและซูชิงใบหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมา “เป็นโรคผีดิบอีกแล้วรึ?”
จื่ออันขมวดคิ้วขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าปกติแล้วนั้นหากว่าไม่มีเรื่องอันใดก็จะไม่มีทางออกนอกจวน อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าปากนั้นบางคราวจะชอบท่องประโยคว่าอมิตาพุทธอยู่ แต่ว่าในตอนที่นางท่องประโยคนี้นั้น ก็จะเป็นในตอนที่ทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา
อีกทั้งหากว่านางต้องการที่จะไปไหว้พระแล้วนั้น เมืองหลวงเองก็ไม่ได้คลาดแคลนวัดใหญ่โตที่มีชื่อเสียงเลย แล้วเหตุใดจึงต้องออกไปยังสำนักชีนอกเมืองกัน? อีกทั้งยังบังเอิญพบเข้ากับการแพร่ระบาดของหมู่บ้านศิลาเข้าอีก
ความบังเอิญครั้งนี้ ช่างดูเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง
การแพร่ระบาดในหมู่บ้านศิลา ถึงแม้ว่าจะได้ข่าวว่ามีการปิดล้อมเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังมีการรั่วไหลออกมา ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงในใจตื่นตระหนกอยู่บ้าง