ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 711
เฉินหลงเอ่ยออกมาพลาง พร้อมทั้งมองไปยังเซียวท่า คางของเซียวท่าแทบจะหลุดร่วงลงมาบนพื้น เฉินหลิวหลิ่วมีสินเดิมที่มั่งคั่งถึงเพียงนี้ ทำไมถึงยังแต่งงานไม่ได้กัน?
เฉินหลงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “เดิมทีนั้น หลิวหลิ่วจะแต่งงาน สินเดินเหล่านี้ไม่ควรที่จะเปิดเผยออกไปก่อน แต่ท่านย่าบอกมาว่าจะต้องรีบแต่งนางออกไปให้ได้ จึงได้เปิดเผยสินเดิมของนางออกมาก่อน หลายวันมานี้ผู้ที่มาสู่ขอถึงหน้าประตูจวน แทบจะเหยียบประตูจวนจนหักไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าคุณชายตระกูลฟู่เองก็บอกว่าจะมาสู่ขอตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าหรอกหรือ”
“พรุ่งนี้เช้า?” เซียวท่าตะลึงไปครู่หนึ่ง “เร็วถึงเพียงนี้เชียว?”
“กว่าครึ่งนั้น เขาคงจะพุ่งเป้ามายังสินเดิม ทว่าก็ไม่มีวิธีการอื่นใดแล้ว? งานแต่งงานของหลิวหลิ่วไม่อาจล่าช้าได้อีก เซียวท่า หลิวหลิ่วบอกว่าสามารถให้เจ้าได้คิดสักสองวัน พวกเราเองก็ไม่ควรที่จะบีบบังคับเจ้า วางใจได้ พวกเราจะต้องคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถเพื่อปฏิเสธไป เกรงก็แต่ว่าท่านพ่อท่านแม่ข้า เขาจะร้อนรนเข้า จนรับปากไป”
เซียวท่าแทบจะเอ่ยออกมาในทันที “ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำอีก คงต้องไปก่อนแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบแล้ว เขาก็วิ่งออกไปราวกับลมบ้าหมู
เขาขี่ม้ากลับไปยังจวนโหว หยิบเอาระฆังของคนเฝ้าประตูเคาะลงไปราวกับเกิดไฟไหม้ไปทั่วทั้งเรือน เคาะไปพลางร้องตะโกนออกมา “ตื่น ตื่น ทุกคนตื่นกันได้แล้ว!”
ท่านโหวถูกรบกวนจนตื่นขึ้นมา เมื่อออกมาก็ไม่พบว่ามีไฟไหม้ จึงโมโหแล้วพุ่งเข้าไปหยิกหูของเขา “ทางที่ดีเจ้าควรจะมีเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ”
คำพูดนี้ดูคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก ทว่าไม่สนใจอะไรให้มากความแล้ว เซียวท่าวางระฆังลง คุกเข่าลงเสียงดังตึกตัก “ข้าอยากสู่ขอหลิวหลิ่วแต่งงาน”
ท่านโหวในตอนที่เห็นเขาคุกเข่าลงไปนั้นก็คิดว่าเขาไปก่อเรื่องเข้า เตรียมจะเหวียงฝ่ามือแข็งกระด้างลงไป แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นประโยคนี้ เขาเอาฝ่ามือนั่นตบลงบนใบหน้าของตนเอง ยิ้มแล้วประคองเขาขึ้นมา “ลุกขึ้นมาพูดคุยกัน พวกเราค่อย ๆ หารือกันก่อน!”
“ไม่อาจหารือได้แล้ว หากว่ารอหารือกัน แล้วหลิวหลิ่วก็อาจจะถูกคุณชายตระกูลฟู่นั่นแย่งไปเสีย รีบเตรียมสินสอดของหมั้นเข้าเถิด รีบไปกันตอนนี้เลย” เซียวท่าเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน
ผู้บัญชาการเซียว ท่านพ่อของเซียวท่าเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงได้ร้อนรนเช่นนี้กัน? หมั้นหมายจะต้องเลือกวันดี วันพรุ่งนี้อาจจะไม่ใช่วันดีก็เป็นได้”
“วันดี พรุ่งนี้นั่นแหละวันดี รีบเตรียมเงินหมั้นไปก่อน มิฉะนั้นแล้วอาจถูกแย่งไป” เซียวท่าร้อนรน หากว่าไปช้าแล้ว ค้อนดาวตกเอย ดาบมรกตเอยก็จะหายไปเสีย
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้ร้อนรนสู่ขอหลิวหลิ่วเช่นนี้ แต่ตระกูลเซียวก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นเรื่องเช่นนี้ ลูกสะใภ้ที่จวนโหวของพวกเขาต้องการนั้นไม่ใช่ประเภทที่อ่อนโยน หรืออ่อนแอจำพวกนั้น หลิวหลิ่วเช่นนี้ช่างเหมาะสมพอดี อีกทั้งยังสามารถกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิน การเป็นรวมพันธมิตรระหว่างแม่ทัพนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลเซียวจึงใช้เวลาทั้งคืน และในที่สุดก็มารอยังประตูตระกูลเฉินได้ก่อนฟ้าสว่าง
เมื่อพระอาทิตย์โผล่ออกมานั้น ท่านโหวก็เคาะประตูจวนตระกูลเฉิน ส่วนเหล่าไท่จวินตระกูลเฉินนั้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซืออย่างสง่างามแล้ว มองดูหลานเขยค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
ทางด้านนี้พูดคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานกันอย่างเสนาะหู แต่ราชการยามเช้านั้นกลับกำลังจะแตกหักกัน
ท่านอ๋องกวางตงเสนอยื่นข้อเสนอแนะในราชการยามเช้าว่า ต้องการจะสรรหาราชบุตรเขยให้กับองค์หญิง องค์หญิงเกิดเรื่องขึ้น ทุกคนต่างก็รับรู้กันดี ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องในราชวงศ์ หยิบยกมาเอ่ยในราชการยามเช้าคงจะไม่เหมาะสมนัก เหล่าขุนนางก็ไม่เหมาะที่จะเสนอความคิดเห็นได้
ทว่าท่านอ๋องกวางตงกลับนำเรื่องนี้เอ่ยออกมาในราชการยามเช้าอย่างตรงไปตรงมา บอกว่าตระกูลใดที่มีคุณชายที่เหมาะสม ก็สามารถแนะนำตนเองได้ หรือหาแม่สื่อ
มู่หรงเจี๋ยโมโหเสียจนใบหน้าดำคล้ำ เดิมทีวันนี้เขาคิดที่จะไปลอบเปลี่ยนความคิดของหวงไท่โฮ่วอย่างเงียบ ๆ เพราะอย่างไรแล้ว ในวันนั้นท่านอ๋องกวางตงเองก็อยู่ด้วย หวงไท่โฮ่วจำต้องคอยมองสีหน้าเขา คงจะไม่อาจปฏิเสธออกมาได้ หากว่าเป็นการสนทนากันเป็นการส่วนตัวแล้ว บางทีนางอาจจะเปลี่ยนความตั้งใจก็เป็นได้
ทว่าไม่คิดเลยว่า ท่านอ๋องกวางตงจะเอ่ยออกมาต่อหน้าของขุนนางทั้งหลาย
ถึงแม้ว่ามู่หรงเจี๋ยจะหน้าดำคล้ำอยู่ตลอดเวลา ทว่าท่านอ๋องกวางตงก็ยังคงเอ่ยออกมาต่อ “งานแต่งงานหลังความตายนั้นมีธรรมเนียมกันมานานแล้ว และถึงแม้ในตอนที่ไท่หวงไท่โฮ่วทรงประทับอยู่นั้น ก็ไม่เคยมีการคัดค้านมาก่อน องค์หญิงใหญ่ถูกองค์จักรพรรดิแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงเจิ้นกั๋ว สถานะสูงส่งเทียบเท่าฮองเฮา งานอภิเษกของนาง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของราชวงศ์ ควรจะมีสำนักพิธีการและกิจการภายในร่วมกันจัดการ”
คำพูดของท่านอ๋องกวางตงหาข้อบกพร่องใดไม่พบ ทว่าทุกคนมองสีหน้าของมู่หรงเจี๋ยแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องคัดค้าน ชั่วขณะนั้น ก็ไม่กล้ามีผู้ใดส่งเสียงออกมา