ตอนที่ 10 หน่วยปฏิบัติการเมืองหยิน (1)
สี่ทุ่มตอนกลางคืน
โครม ตุบ ตุบ!
เสียงดังโครมครามดังกึกก้อง ถนนสายเก่าที่แสนเงียบเหงาไม่ได้ครึกครื้นแบบนี้มานานแล้ว
วินาทีนี้แสงไฟสาดแสงส่องสว่าง ทำให้ถนนสายเก่านี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
……
หน้าประตูบ้านตระกูลจาง
หลี่ฮ่าวมองภาพตรงหน้าเงียบๆ เขาไม่อยากจะให้เอิกเกริก แต่ในเมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ เขาเริ่มเห็นและสัมผัสเงาโลหิตแล้ว หลี่ฮ่าวจึงเปลี่ยนความคิดไป
อย่าสนใจคนอื่นนักเลยสนใจแค่ตัวเองก็พอ!
การทำให้เรื่องเอิกเกริก บางทีก็เป็นการถ่อมตัวอย่างหนึ่ง
เล่นใหญ่จนทุกคนรับรู้ว่าที่เขาทำไปนั้นก็เพื่อล้างแค้นให้จางหย่วนเท่านั้นไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น แต่เขาดันไม่พบเบาะแสอะไรจนจำต้องขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น หนำซ้ำยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอันตรายซุกซ่อนอยู่
ไม่รู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแค่วิ่งโร่ไปทั่วแบบไม่มีจุดหมายก็เท่านั้น
หลี่ฮ่าวที่เป็นแบบนี้บางทีอาจเป็นหลี่ฮ่าวที่คนบางคนอยากเห็น
เยาว์วัย ผลีผลาม ไม่คิดหน้าคิดหลังแต่ก็มีความยุติธรรม!
มีสมองแต่ขาดการวางแผน
ฉลาดแต่ขาดสติปัญญา
ซึ่งนี่เป็นภาพพจน์ที่หลี่ฮ่าวอยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น!
เพื่อลดความหวาดระแวงของศัตรู แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นๆ คิดว่าตนเองโง่งมจนเกินไป
เพราะถ้าโง่เขลาเขาจะไปเตะตาหยวนซั่วได้อย่างไร นั่นก็ออกจะดูปลอมเกินไปจริงๆ
ทุกก้าวที่เขาเดิน เขามักครุ่นคิดไปด้วยว่าก้าวนี้จะนำพาสิ่งใดมาให้แล้วจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง?
ทั้งๆ ที่อยากได้หินแค่ก้อนเดียวเท่านั้น แต่เขากลับทำเป็นเรื่องใหญ่จนทำให้เรื่องนี้เป็นที่โจษจันไปทั้งเมือง!
แต่ที่กระพือควันไฟให้ใหญ่โตขนาดนี้ก็เพื่อจะปกปิดเรื่องที่แงะหินก้อนหนึ่งไป หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ แต่นี่เป็นผลลัพธ์ที่หลี่ฮ่าวต้องการ ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่เท่าไรก็ยิ่งไม่ใครคิดถึงเรื่องนั้น
ตุบ ตุบ ตุบ!
เสียงรองเท้าบู้ตหนังกระทบพื้น แล้วกลุ่มผู้ตรวจการณ์ในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็ล้อมถนนสายนี้เอาไว้ จากนั้นไม่นานผู้ตรวจการณ์จากกองตรวจการณ์ก็ล้อมประตูบ้านของตระกูลจางอย่างรวดเร็ว
ผู้อำนวยการของกองตรวจการณ์ไม่ได้มาด้วย
แต่ว่าหลี่ฮ่าวมองแค่ปราดเดียวก็มองออกเลยว่าชายรูปร่างกำยำผู้นั้นที่อยู่ด้านหน้าคนกลุ่มนี้ก็คือหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของกองตรวจการณ์ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นท่านรองตัวจริงของกองตรวจการณ์
นับว่าเป็นคนในระดับเดียวกันกับหวังเจี๋ยหัวหน้าห้องเก็บแฟ้มคดี ซึ่งอันที่จริงแล้วอำนาจหน้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการหลิวหลงรูปร่างสูงใหญ่กำยำไม่เบาเลย
พวกเขาไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบสีดำของกองตรวจการณ์แต่สวมชุดลำลองสบายๆ ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อกันลมซึ่งไม่ได้เข้ากับฤดูกาลในตอนนี้สักเท่าไรนัก
แต่หลี่ฮ่าวรู้ดีว่าบางทีใต้เสื้อคลุมกันลมตัวนั้นอาจจะเต็มไปด้วยอาวุธหลากหลายชนิด
เขารู้เรื่องสไตล์การทำงานของหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการคนนี้เป็นอย่างดี
ว่าอีกฝ่ายเป็นคนกล้าหาญและแข็งแกร่งมากทีเดียว
กองตรวจการณ์เมืองหยินถือว่าเป็นหน่วยงานที่ใหญ่โตในเมืองหยิน หัวหน้าหน่วยผู้นี้มีคนในสังกัดไม่น้อย
“ใครคือหลี่ฮ่าว?”
หลิวหลงสาวเท้ามาด้านหน้า กระทั่งรองเท้าบู้ตหนังที่เขาสวมอยู่เหยียบก้อนหินบนพื้นจนแหลกละเอียด เมื่อเห็นหลี่ฮ่าวจากที่ไกลๆ ก็แววตาเป็นประกาย
ร้ายกาจ!
เขาคือยอดฝีมือ!
กองตรวจการณ์อาจไม่มียอดมนุษย์หรือคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ก็ยังมียอดนักสู้และยอดนักวางแผนที่สามารถรับมือศัตรูสิบคนด้วยตัวคนเดียวทำงานในหน่วยนี้ไม่น้อย
เห็นได้ชัดเจนว่าหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการผู้นี้แข็งแกร่งมากทีเดียว
“รายงานตัวครับ ผมหลี่ฮ่าว!”
หลี่ฮ่าวรีบสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขายืนตัวตรงและยืดอกก่อนจะขานรับด้วยน้ำเสียงห้วน สั้น กระชับ
“หัวหน้าหลิวครับ ผมหลี่ฮ่าว ผู้ตรวจการณ์ระดับสามประจำห้องแฟ้มคดีในกองตรวจการณ์ประจำเมืองหยิน! ได้รับคำสั่งให้ตามสืบคดีครับ !”
“หึ!”
หลิวหลงแค่นน้ำเสียงเย็นชากว่าปกติ
ดวงตาที่คบกริบราวกระบี่มองเขา ในแววตาที่เย็นชานั้นเจือไปด้วยเพลิงโทสะและความตึงเครียด “หลี่ฮ่าวในฐานะที่คุณเป็นคนของกองตรวจการณ์ คุณถือเป็นความอัปยศของกองเรา”
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้ว
เสียงของผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่าดังมากทีเดียว แถมในน้ำเสียงยังแฝงความไม่พอใจและหงุดหงิดประหนึ่งพยัคฆ์คำราม ถึงขนาดที่ว่าไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะมาได้ยินหรือไม่
“กองตรวจการณ์คือสถานที่แบบไหน? เป็นองค์กรที่พิทักษ์กฎหมาย! เป็นหน่วยงานที่พิทักษ์กฎหมายที่สำคัญที่สุดเพียงแห่งเดียวในเมืองหยิน! ในฐานะที่คุณเป็นหนึ่งในสมาชิกของกองตรวจการณ์ ไม่ว่าคุณจะเจอเบาะแส หรืออันตรายใดๆ ก็ขอความช่วยเหลือโดยตรงจากกองตรวจการณ์ได้นี่!”
“แล้วทำไมต้องยืมมือคนนอกให้เข้ามาก้าวก่ายวิธีการทำงานของกองตรวจการณ์ด้วย?”
เสียงเขาดังกึกก้อง ในน้ำเสียงนั้นทรงพลังราวพยัคฆ์ร้าย เขาสาวเท้าขึ้นไปประชิดตัวหลี่ฮ่าว แค่เพียงก้าวเดียวนี้ของเขาราวก้าวข้ามมาร้อยเมตร เพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลี่ฮ่าว
หลี่ฮ่าวสงสัยในใจ
เขาเป็นยอดฝีมือจริงๆ!
เขาเคยเห็นหลิวหลงแต่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่ฮ่าวคิดว่าตนเองยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เขาเชื่อมั่นว่าหากตนอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย กระทั่งปืนก็น่าจะหยิบไม่ทันด้วยด้วยซ้ำไป
นี่ถือว่าเป็นยอดมนุษย์หรือไม่นะ?
หรือจะพูดว่านี่เป็นคนธรรมดาที่ฝึกปรือฝีมือจนถึงขีดสุดของร่างกายจนทำให้มีความสามารถเช่นนี้ได้?
หลี่ฮ่าวเองก็ตื่นตะลึงเพราะความสามารถของอีกฝ่าย เขาก้มหน้าลงด้วยท่าทางสั่นเทิ้มแล้วกล่าวเสียงต่ำ “มิกล้าครับ! ผมแค่ไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของผม คิดไม่ถึงว่าจะทำให้กองตรวจการณ์วุ่นวายใหญ่โตแบบนี้ เพราะผมไม่มีหลักฐาน ดังนั้นถึงเกรงใจจนไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือจากกองตรวจการณ์…”
หลิวหลงผ่อนลมหายใจ แต่ก็เหมือนว่าเขาจะยอมรับคำตอบนี้กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ไม่มีหลักฐานก็หาสิ! ทำไมถึงไม่กล้า? บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
หลี่ฮ่าวข่มความตื่นตระหนกในใจแล้วกล่าวเสียงแผ่ว “ไม่ทราบว่าหัวหน้าหลิวรับทราบคดีไฟคลอกที่ผมรายงานขึ้นไปแล้วหรือยังครับ?”
“ทราบแล้ว!”
“ผมเป็นเพื่อนสนิทของจางหย่วน วันนี้ผมอยากจะมาลองตรวจสอบบ้านตระกูลจางดูว่ามีเบาะแสอะไรหรือเปล่า เพราะผมแน่ใจว่าจางหย่วนโดนฆาตกรฆ่า ไม่ใช่ตายเพราะอุบัติเหตุ…
หลี่ฮ่าวสงบนิ่งลงแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตอนผมมาที่บ้านจางหย่วนเหมือนมีคนสะกดรอยตามผมมา! แล้วอีกอย่างผมสนิทกับจางหย่วนมากทีเดียว ผมมักจะมาที่บ้านเขาบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ผมพบว่าบ้านตระกูลจางที่ถูกปิดตายนี้กลับโดนคนรื้อค้น หนำซ้ำผมยังพบรอยเท้าน่าสงสัยด้านนอกกำแพงบ้านตระกูลจางด้วย”
หลี่ฮ่าวกล่าวเร็วๆ “บ้านตระกูลจางไม่มีคนอยู่มานานแล้ว คนมากกว่าครึ่งที่อาศัยในถนนเส้นนี้ย้ายกันไปหมดแล้ว ตระกูลจางตั้งอยู่ในส่วนลึกของถนน ตามหลักเหตุผลแล้วที่นี่ไม่ควรมีคนมา…”
“พาผมไปดูหน่อย!”
คำพูดของหลิวหลงยากจะเอ่ยปฏิเสธได้ วินาทีต่อมาเขาหันหน้าไปมองกลุ่มคนจำนวนมากด้านหลังแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปิดถนนแถบนี้ทั้งหมดห้ามใครเข้าออก ค้นทีละบ้าน ค้นดูว่ามีคนแปลกหน้ามาหรือไม่!”
“ห้ามปล่อยใครไปทั้งนั้น! ใครกล้าขัดขืนยิงทิ้งได้เลย!”
“รับทราบ!”
คนกลุ่มนั้นรับคำสั่งแล้วรีบลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว และถนนสายนี้ก็ครึกครื้นขึ้นมา
……
แต่หลี่ฮ่าวไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขานำคนเป็นหัวหน้าเดินไปบริเวณมุมอับของด้านนอกกำแพงบ้านตระกูลจาง
โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ
หลิวหลงเป็นผู้ตรวจการณ์มานาน ทันทีที่เห็นรอยฝ่าเท้าหลายรอยบนพื้น เขาก็นั่งยองลงอย่างรวดเร็วแล้วสำรวจอย่างละเอียด ร่องรอยครุ่นคิดฉายชัดในแววตา
“หึ!”
แววตาหลิวหลงแผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา ข้างตัวเขามีอัจฉริยะหลายคนของหน่วยปฏิบัติการ ในวินาทีนี้พวกเขายืนนิ่งเพื่อรอคอยคำสั่งของหัวหน้าหน่วย
“อู๋เชามาดูนี่หน่อย!”
หลิวหลงไม่พูดอะไรแต่ให้คนที่ติดตามเขาไปตรวจสอบ คนผู้นั้นดูเป็นมืออาชีพมากทีเดียว เขาสวมถุงมือสีขาวแล้วนั่งยองลงอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่งเบาะแสที่เป็นแค่รอยเท้าไม่กี่รอยในสายตาเขากลับกลายเป็นเบาะแสมากมายจากผู้ตรวจการณ์วัยกลางคนที่ดูอ่อนแอผู้นี้
“ผู้ต้องสงสัย เพศชาย! ส่วนสูงประมาณ 180 ซม. น้ำหนักไม่ทราบ รอยเท้าไม่ชัด รอยที่ชัดที่สุดน่าจะเกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนโดยประมาณ ส่วนที่พร่าเลือนที่สุดเกรงว่าจะเกินครึ่งปี ”
“น่าจะเป็นคนแข็งแกร่งมากทีเดียว เพราะจากรองเท้าทำให้เห็นว่าไม่ต่ำกว่าระดับสองหรืออาจะแข็งแกร่งกว่านั้น!”
ทันทีที่เขากล่าวออกมา หลี่ฮ่าวออกจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่หลิวหลงสนใจเรื่องนี้มากทีเดียวและเขาเองก็รู้ว่าคนทำงานในห้องแฟ้มคดีอย่างหลี่ฮ่าวอาจจะไม่รู้จึงกล่าวเสียงเรียบ “หน่วยปฏิบัติการจะให้คะแนนความอันตราย โดยไม่นับเรื่องอาวุธ แยกแยะด้วยความสามารถเท่านั้น หน่วยปฏิบัติการของเราจะแบ่งตัวอันตรายพวกนี้เป็นสามระดับ!”
“ระดับหนึ่งแข็งแกร่งที่สุด ระดับสามอ่อนแอที่สุด!”
“ส่วนคนที่สังหารพวกคนในกองแฟ้มคดีอย่างพวกคุณซึ่งๆ หน้าได้ก็คือระดับสาม!”
……………………………………………………….