ตอนที่ 15 ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ (1)
“ระดับสิบสังหารแข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
ณ ห้องใต้ดิน หลี่ฮ่าวทำท่าเหลือเชื่ออยู่ประมาณหนึ่ง
สิบสังหาร ฟังดูแล้วไม่ค่อยเจ๋งเท่าไรเลยแฮะ
แม้แต่สู้กันหนึ่งต่อสิบก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าตกใจขนาดนั้น
เท่าที่เขารู้มาผู้ตรวจการณ์คนเก่าๆ บางคนยังทำได้ด้วยซ้ำ
“แข็งแกร่งมากจริงเหรอ”
หลิวหลงพูดเสียงเย็นชาเย่อหยิ่ง “สำหรับผมแล้วย่อมเหมือนไก่อ่อน! แต่สำหรับคุณ ปรมาจารย์นักรบระดับสิบสังหารหนึ่งคนสามารถฆ่าคุณหลายคนได้โดยไม่มีปัญหา!”
อีกทางอวิ๋นเหยาร่างเตี้ยเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “หลี่ฮ่าว อย่าดูถูกปรมาจารย์นักรบคนไหนเชียว! สิบสังหารฟางเป็นปรมาจารย์นักรบซึ่งเป็นแนวทัพของกลุ่มสิบคน หากคุณทะลวงมันได้และฆ่าฟันไม่เหลือ นี่ต่างหากถึงเรียกว่าสิบสังหาร! มันต่างจากการสู้หนึ่งต่อสิบและหนึ่งต่อหนึ่งสลับหมุนเวียนกันฆ่าสิบคนนะ”
หลิวหลงเอ่ยเสียงเรียบ “พูดกับเขามากไปก็ไม่มีประโยชน์ เฉินเจียน นายไปสอนเขาว่าอะไรคือปรมาจารย์นักรบ!”
“ผมเหรอ”
เจ้าอ้วนเฉินเจียนดูท่าทางซื่อๆ “ผมไม่ถนัดการจู่โจม แถมยังเคลื่อนไหวช้ามากด้วย เจ้าหมอนี่ไวพอตัว”
ในเมื่อถนัดกันคนละด้านนี่นา!
หลี่ฮ่าวเคลื่อนตัวว่องไวกว่าเขาอยู่หน่อย ขณะที่เขาถนัดการตั้งรับมากกว่า
“ลองดู!”
หลิวหลงขมวดคิ้วน้อยๆ “เล่นกับเขาหน่อยก็พอ นายถนัดป้องกันตัวแต่ไม่ถนัดจู่โจม ก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้เผลอฆ่าเขาตายก่อน!”
ก็ได้!
ครั้นได้ยินคำนี้หลี่ฮ่าวก็แอบเสียใจอยู่บ้าง สรุปแล้วหาคนที่ถนัดการตั้งรับมาประลองกับตนก็เพราะกลัวจะทำตนตายนี่เอง
ทว่าความจริงหลี่ฮ่าวก็แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
ผู้ชายนี่นา ย่อมมีใจรักการเอาชนะ ขณะเดียวกันก็มีความใจกล้าอยากประลองกับคนผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
เขาไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนเฉินเจียนเก่งกาจแค่ไหน แต่อีกฝ่ายมีร่างใหญ่อ้วนท้วมขนาดนี้ ต่อให้ตนสู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าวิ่งก็ทำให้อีกฝ่ายตามจับตนไม่ได้เช่นกัน
เวลานี้เฉินเจียนยิ้มซื่อๆ มองหลี่ฮ่าวที่ดูกระตือรือร้นอยากลิ้มลองแวบหนึ่งก็ปริปากกล่าว “งั้นเรามาประลองกันหน่อยไหม”
ว่าแล้วก็เอ่ยเสริมว่า “ผมอ่อนที่สุดในทีมแล้ว นอกจากป้องกันตัวแล้วก็ไม่ถนัดอะไรอีก! คุณฝึกเคล็ดวิชาลิงแห่งห้าปาณภูตเลยเคลี่ยนไหวค่อนข้างเร็วพอตัว ใช่ว่าผมจะวิ่งไล่ตามคุณได้ทัน…”
หลี่ฮ่าวมองเขาแวบหนึ่ง หากอีกฝ่ายไม่พูดแบบนี้ยังพอว่า แต่พอพูดแบบนี้แล้ว…หลี่ฮ่าวกลับเริ่มไม่วางใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่าเจ้าอ้วนนี่เก่งกาจมากหรอกนะ
หลิวหลงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เฉินเจียนนอกจากถนัดด้านการป้องกันตัว ไม่ว่าจะเรื่องความเร็ว การจู่โจม ความสามารถในการทะลวงล้วนอ่อนที่สุดในทีม ถ้าคุณไม่อยากสู้กับเขาก็เปลี่ยนตัวเป็นอู๋เชาแทน!”
หลี่ฮ่าวมองอู๋เชาแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน
ช่างเถอะ!
เจ้าผอมนี่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคล่องแคล่วไหวพริบสูง แถมอีกฝ่ายยังเป็นถึงผู้สอบสวนประจำหน่วย ฉลาดเป็นกรดยิ่งลิงเสียอีก หลี่ฮ่าวรู้สภาพตัวเองดี ไม่แน่เขาอาจจะแตะต้องอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ
“งั้นผมลุยละนะ!”
เฉินเจียนก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างเชื่องช้า
หลี่ฮ่าวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก ขณะที่เริ่มต้นตั้งท่าเคล็ดวิชาลิง ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่ดุจใบพัดของเฉินเจียนกลับตวัดลงมาเสียก่อน
หลี่ฮ่าวกระโดดขึ้นโดยไม่ต้องคิดพลางถอยกรูดไปด้านหลัง
เจ้าหมอนี่ ฝ่ามือดูหนักไม่เบา
ขณะที่เฉินเจียนฝั่งตรงข้ามตวัดฝ่ามือมาเห็นหลี่ฮ่าวกระโดดหลบก็ไม่ได้คิดอะไร ดูท่าทางเคลื่อนไหวก็ไม่ได้เร็วนัก แต่แล้วแค่เคลื่อนไปทางขวาเพียงเล็กน้อย วินาทีต่อมาหลี่ฮ่าวก็สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน
จุดลงของเขาอยู่ตรงนั้น!
ไม่ได้เลือกกระโดดลงไปด้านหลังโดยตรง
หลี่ฮ่าวรีบถีบดันตัวลอยขึ้นพร้อมสองขาที่เตะกันพัลวันบนกลางอากาศ ไร้ซึ่งความงดงามให้เห็น
ศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง ความจริงก็ไม่ได้สวยงามอะไรมาก
เคล็ดวิชาลิงยังพอได้ แต่วิถีห้าปาณภูตอื่นๆ กลับดูโง่ทึ่มยิ่งกว่า อาจต้องหมอบกับพื้นอาศัยแขนขาสี่ข้างในการเคลื่อนที่ ดูน่าเกลียดกว่ากันเป็นเท่าตัว
ส่วนเฉินเจียนก็เผยรอยยิ้มซื่อๆ เหมือนเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
นี่ไม่ใช่ว่าเขาจะปฏิกิริยาเคลื่อนไหวเร็วกว่าอะไร และไม่ใช่เรื่องความสามารถด้วย แต่เป็นเรื่องประสบการณ์ล้วนๆ!
การต่อสู้กับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ไม่มีประสบการณ์หน่อยคงตายไปแต่นานแล้ว
หลี่ฮ่าวเตะขาไปมา ขณะเดียวกันที่อาศัยแรงเสียดทานในอากาศเคลื่อนตำแหน่ง เฉินเจียนก็ดูไม่ลุกลนใดๆ เหมือนขยับตัวเพียงก้าวสองก้าว จนวินาทีนั้นหลี่ฮ่าวก็หมดแรงต้องกระโดดลงมา
ครั้งนี้เขากระโดดลงตรงหน้าเฉินเจียนที่ยืยอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร
ทั้งคู่แทบจะยืนหน้าชนกันอยู่แล้ว!
จังหวะที่หลี่ฮ่าวเท้าแตะพื้น ขาทั้งสองข้างก็สัมผัสถึงพลังจากพื้น ขณะที่กำลังจะอาศัยแรงเด้งตัวกระโดดหนี ทว่าหางตากลับเหลือบเห็นฝ่ามือใหญ่ ซึ่งก็คือฝ่ามือใหญ่ในตอนแรกนั้นเอง
เพี้ยะ!
เสียงดังใสก้องกังวาน!
หลี่ฮ่าวกลิ้งตัวกลางอากาศแล้วล้มลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก
เฉินเจียนไม่ได้ตบหน้า แต่เลือกจะตบลงตรงลำคอของเขาแทน ทำให้บนลำคอแดงเถือกเป็นปื้นทันที
วินาทีนี้หลี่ฮ่าวยังดูงุนงงอยู่
เหมือนคอขาดไปแล้ว!
ตอนนี้เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ แค่รู้สึกเหมือนหัวหนักอึ้ง ไล่ตั้งแต่คอลงไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
เขากระโดดอีกครั้ง อาศัยแรงดันที่ขาแต่กลับถูกอีกฝ่ายฟาดจนมึน
มึนไปโดยสมบูรณ์!
ส่วนเฉินเจียนยังคงทำท่าซื่อๆ เช่นเคย ก้มมองฝ่ามือใหญ่ของตัวเองเล็กน้อยแล้วมองหลี่ฮ่าวที่ล้มนอนบนพื้น เผยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติทีหนึ่ง แล้วหันไปมองพวกหลิวหลง
เอ่ยด้วยเสียงติดอึดอัดใจว่า “ผะ…ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเคลื่อนไหวช้าขนาดนี้…อีกอย่าง ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะกระโดดตั้งแต่แรก ลูกพี่พี่เคยบอกว่าถ้าความสามารถไม่ถึง กระโดดขึ้นกลางอากาศก็คือการรนหาที่ตาย…ผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอวันนี้”
ความสามารถไม่ถึงแต่กระโดดขึ้นกลางอากาศ หากถูกคู่ต่อสู้ปิดกั้นทางลงเดาจุดที่วางเท้าแตะพื้นได้ก็เท่ากับรอให้อีกฝ่ายเล่นงานอย่างเดียว
นี่เป็นข้อห้ามสำคัญในการต่อสู้ของจริง!
ต่อให้เป็นปรมาจารย์นักรบที่เคยประลองฝีมือมานับร้อยครั้ง นอกเสียจากความจำเป็น ไม่อย่างนั้นคงกระโดดขึ้นกลางอากาศให้เห็นกันน้อยครั้งมาก หากทำเช่นนั้นจะเป็นการเปิดเผยช่องโหว่ทั้งหมด แม้แต่จะจู่โจมคืนยังไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ
การต่อสู้อย่างตั้งใจมีหลักการ เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์นักรบทุกคนต้องจดจำเอาไว้ยามลงสนามจริง!
ส่วนหลี่ฮ่าว อาศัยที่ตนฝึกเคล็ดวิชาลิงมาเลยคิดว่าตนมีความว่องไว ไหวพริบดีกว่าเลยเลือกจะกระโดดขึ้นตั้งแต่ทีแรก ปรากฏว่าถูกฟาดทีเดียวจนมึนไปแทน!
……
ตอนนี้ห้องชั้นใต้ดินเงียบเชียบอย่างมาก
มีเพียงเสียงซื่อๆ ของเฉินเจียนที่ยังคงอธิบายต่อไป
ส่วนหลี่ฮ่าวในตอนนี้กำลังก้มหน้างุด ใบหน้าแดงก่ำ วันนี้คนฉลาดเฉลียวอย่างเขากลับได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรง
ตนที่คิดว่าความสามารถพอใช้ได้ดันถูกคนที่ถนัดการตั้งรับในทีมฟาดจนตัวปลิวอย่างง่ายดาย หากไม่ใช่เพราะยังปรานี หลี่ฮ่าวสงสัยว่าตนคงถูกอีกฝ่ายฟาดจนคอหักไปแล้ว!
หลี่ฮ่าวที่เมื่อครู่ยังคิดว่าถึงแม้ตนจะฆ่าสิบคนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะฆ่าได้สักห้าหกคน ทว่าตอนนี้เขาขอยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง
ณ ตอนนี้เหมือนจะเริ่มคิดได้ และเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
เรา…ไม่นับว่าเป็นปรมาจารย์นักรบ หากว่ากันตามจริงเขาเป็นเพียงมือสมัครเล่นที่เพิ่งผ่านการฝึกวิทยายุทธ์มาไม่กี่วันด้วยซ้ำ แถมยังไม่เคยลงสนามประลองฝีมือกันอย่างจริงจัง ความจริงเขาก็เป็นเพียงไก่อ่อนตัวหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาประเมินตัวเองไว้สูงเกินไป!
ฉับพลันก็พานนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขายังคิดว่าขอเพียงชักปืนได้ไวมากพอก็จะฆ่าเงาโลหิตกับคนที่บงการอยู่เบื้องหลังเงาโลหิตได้ไม่ใช่เหรอ?
พอมาคิดทบทวนอีกที…เรามันช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
เด็กน้อยเอ๊ย!
……
คนอื่นๆ ต่างมองไปที่หลิวหลงแล้วมองหลี่ฮ่าวอีกทีด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป
เจ้าหมอนี่ได้รับความสะเทือนใจจนสติหลุดไปแล้วหรือเปล่านะ?
นี่…ดูท่าสภาพจิตใจจะค่อนข้างย่ำแย่เลยทีเดียว!
หลิวหลงย่นคิ้วเล็กน้อย เขาคิดที่จะแสดงอำนาจให้หลี่ฮ่าวเห็นว่าอยู่เหนือกว่า แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักเพราะอยากให้หลี่ฮ่าวเข้าใจ ศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นเก่งกาจเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการเอาไว้มากโข
ผลปรากฏว่าแค่การประลองฝีมือเพียงครั้งเดียว หลี่ฮ่าวก็เหมือนถูกโจมตีจนสูญเสียความมั่นใจไปแล้ว
หลี่ฮ่าวในตอนนี้นอนคว่ำอยู่บนพื้น จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ลุกขึ้นมา เขายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
“ได้แค่นี้เองเหรอ”
หลิวหลงมองด้วยสายตาที่ฉายแววผิดหวังวูบหนึ่ง เดิมทีคิดว่าต่อให้หลี่ฮ่าวจะความสามารถไม่ถึงไหน แต่ความคิด สมอง ความอดทน ความเข้มแข็งคงอยู่ในระดับขั้นสุดยอด ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าตาหยวนซั่วได้ แถมยังแอบตามสืบคดีลับๆ มาหนึ่งปีเพื่อเพื่อนสนิท เขาคิดว่าหลี่ฮ่าวคุ้มค่าพอที่จะเอาตัวมาบ่มเพาะฝึกปรือ
แต่ตอนนี้หลี่ฮ่าวชีวิตราบรื่นเกินไปหรือเปล่า คนแบบนี้จะแบกรับความสะเทือนใจไหวไหมนะ?
เขากำลังครุ่นคิดเช่นนั้น
ทันใดนั้นเองหลี่ฮ่าวก็ลุกยืนพลางนวดลำคอ บนหน้าเผยให้เห็นความเคอะเขินอยู่จางๆ
ราวกับเด็กหนุ่มในช่วงวัยแรกแย้ม!
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อายุมากเลย หากตอนนี้ยังไม่ลาออกก็ยังคงเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกู่ย่วนเช่นเดิม
“ผมมักคิดว่าผมแตกต่างจากคนอื่น ฉลาดกว่า สอบติดกู่ย่วนได้ กลายเป็นศิษย์ของอาจารย์หยวนซั่วได้ แถมเข้ามาอยู่ในกองตรวจการณ์ได้อย่างราบรื่น ตามสืบคดีได้ เหมือนผมทำได้ทุกอย่าง และเหมือนจะทำได้ดีไม่หยอกด้วย…”
หลี่ฮ่าวว่าพลางส่ายศีรษะไปมา จุดยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “แต่วันนี้พอผมได้ประลองฝีมือ ความจริงผมมันอ่อนหัดที่สุด! ผมเพิ่งฝึกฝนเคล็ดวิชาลิงมารวมๆ สามปี แถมปีนี้ยังแอบอู้ไปไม่น้อย แล้วจะเทียบกับพวกพี่ๆ ได้ยังไง! พี่เฉินเกรงว่าจะเรียนการต่อสู้มาหลายปีแล้วสินะ”
……………………………………………………………….