จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 468 เกิดเรื่องกับโม่เหลิ่งเหยียน
“ขอรับ พวกเราจำไว้แล้ว” จิ่งไป๋กับม่อเซิงตอบพร้อมกัน
“ซื่อจื่อเฟย ท่านอยู่ว่างๆ ท่านเล่าเรื่องกลยุทธ์ทางการศึกให้พวกเราฟังดีไหม พวกเราจะได้เรียนรู้ไปด้วย ไม่แน่ว่าต่อไป จะสามารถช่วยแม่ทัพในสนามรบ พวกจ้าวฮู่ต่างหันมามอง”พวกเจ้าหู่เข้ามาและพูด
วันๆพวกเขาอยู่แต่ในจวนซื่อจื่อ กินดีอยู่ดี ถือว่าไม่เลว แต่สำหรับพวกเขาที่เคยอยู่แต่ในค่ายทหาร ถือว่าน่าเบื่อมาก เวลาว่างๆพวกเขาก็จะฝึกฝีมือการต่อสู้
“ได้อยู่แล้ว งั้นข้าเล่าเรื่องตําราพิชัยสงครามให้พวกเจ้าฟัง นี่ถือเป็นกลยุทธ์ทางการศึกที่ล้ำเลิศมาก พวกเจ้าจะเพ่งพายออกไปไม่ได้” หยุนถิงพูดขึ้น
“ซื่อจื่อเฟย ล้ำเลิศคืออะไร?” มีคนหนึ่งถามขึ้นมา
“ก็คือยอดฝีมือของยอดฝีมือ แปลว่าเก่งมาก”
“เข้าใจแล้ว”
แล้วหยุนถิงก็นั่งอยู่ในศาลา พร้อมเริ่มเล่าขึ้นมา
ทุกคนนั่งล้อมรอบหยุนถิง แม้แต่รั่วจิ่งกับหลงเอ้อก็มาฟัง ต่อมาองครักษ์ลับของจวนซื่อจื่อ องครักษ์เงามังกรก็มาแล้วกว่าครึ่ง
ซื่อจื่อเฟยสอนวิชาด้วยตนเอง โอกาสหายากขนาดนี้ ทุกคนจะพลาดไม่ได้
เมื่อเริ่มเล่า ก็เล่าจนฟ้ามืด ทุกคนฟังอยู่อย่างสนใจมาก เห็นหยุนถิงเหนื่อยแล้ว ก็รีบให้หยุนถิงไปพักผ่อน
คนอื่นๆต่างก็ยกย่องนับถือหยุนถิงอย่างที่สุด โดยเฉพาะองครักษ์ลับกับองครักษ์เงามังกร รีบนำความรู้ที่ตนเองรับรู้มาไปบอกองครักษ์ลับคนอื่นๆ ลือกันปากต่อปาก เพื่อหวังอยากให้กำลังของจวนซื่อจื่อแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
หยุนถิงเพิ่งนั่งลงพักผ่อน เสียงโอดครวญที่น่าสังเวชดังมาจากด้านนอกประตู ซึ่งก็คือองค์ชายสี่กับฟู่อี้เฉิน
“หยุนถิง ช่วยด้วย ข้าถูกคนอื่นทำร้าย” โม่ฉือชิงเดินเข้ามาอย่างโอดครวญ
ถึงแม้ฟู่อี้เฉินยังโกรธโมโห ที่ก่อนหน้านี้หยุนถิงสั่งสอนเขา แต่ด้านฝีมือทางการแพทย์ ทั้วทั่งแคว้นต้าเยียนนั้นไม่มีใครสู้นางได้ ดังนั้นฟู่อี้เฉินจึงตามมาด้วย
เมื่อหยุนถิงมองเห็นองค์ชายสี่กับฟู่อี้เฉินหน้าบวมจมูกเขียว เหมือนอย่างกับหมู เสื้อผ้าบนร่างกายขาดหลุดลุ่ย สภาพย่ำแย่มาก
“ทำไมพวกเจ้าสองคนกลายเป็นแบบนี้?” หยุนถิงถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“อย่าพูดเลย เพราะฟู่อี้เฉินสารเลวคนนี้แหละ เขาบอกว่าหลายวันถูกเจ้าหลอก ในใจโกรธโมโห คิดอยู่ว่าจะเอาคืนยังไง ข้าจึงปล่อยให้เขาไปยังดูที่จวนผี” โม่ฉือชิงเม้นปากพูดขึ้น
“เป็นเพราะหลอกลวงทำร้ายข้า ทำให้ข้าอยากเอาคืน สุดท้ายผีสาวคนนั้นน่ากลัวมาก หน้าตาอัปลักษณ์ขยะแขยง น่าเกลียดน่ากลัว ทำร้ายข้าจนกลายเป็นแบบนี้” ฟู่อี้เฉินพูดบ่นมา
หยุนถิงเข้าใจขึ้นมาทันที ต้องเป็นฝีมือจ้าวเม่ยเอ๋อร์แน่ เด็กคนนี้ลงมือรุนแรงจริงๆ
“หยุนถิง ทำไมข้ารู้สึกเหมือนลักษณะท่าทีของเจ้าเหมือนกำลังหัวเราะเย้ยพวกเรา รีบเอายาวิเศษของเจ้าพวกนั้นมารักษาข้า ไอโย้ หน้าของข้า” โม่ฉือชิงพูดบ่นขึ้นมา
“บาดแผลนี้ของเจ้า ข้ารักษาไม่ได้” หยุนถิงพูดปฏิเสธ
“ทำไม?” ฟู่อี้เฉินพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง
“ตอนนี้ข้าเป็นคนที่สลบอยู่ หากช่วยพวกเจ้าแล้ว ฮ่องเต้ก็จะรู้ว่าข้าแกล้งหมดสติ เดี๋ยวข้าจะให้หมอหลวงหลิวช่วยรักษาพวกเจ้า อีกห้าวันร้านปิ้งย่างของหยุนซู ร้านขายอาวุธของหยุนหลีก็จะเปิดกิจการแล้ว พวกเจ้าสองคนไปคอยช่วยเป็นหูเป็นตา ให้พวกเจ้ากินเนื้อย่างฟรีหนึ่งปีดีไหม?” หยุนถิงพูดเสนอขึ้นมา
“อันนี้ดี ข้ารับปากเจ้า”
“เจ้าโง่หรือเปล่า แค่เนื้อย่างก็สามารถซื้อเจ้าได้แล้วหรือ?” ฟู่อี้เฉินพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“เจ้าสิโง่ เนื้อย่างอร่อยจะตาย ชั่วชีวิตนี้เจ้ายังไม่เคยกิน ได้กินครั้งหนึ่งชั่วชีวิตนี้ก็อยากกิน” โม่ฉือชิงพูดตอบ
ฟู่อี้เฉินเลิกคิ้วมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “อร่อยขนาดนั้นจริงๆหรือ?”
“หากเจ้าเคยกินแล้วคิดว่าไม่อร่อย ข้ายกร้านสาขาเขตตะวันออกให้เจ้า”
ฟู่อี้เฉินพูดขึ้นมาอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าพูดจริงหรือ?”
“ข้าไม่เคยพูดโกหก”
“ตกลง”
“อีกอย่าง ทางด้านจวนผี พวกเจ้าอย่าไปหาเรื่อง” หยุนถิงพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ทำไม ข้ากำลังคิดว่าจะไปรวบรวมกำลังคน แล้วไปจุดไฟเผา?” ฟู่อี้เฉินพูดขึ้นมาอย่างโกรธแค้น
โม่ฉือชิงหันมามองอย่างสงสัย พร้อมพูดขึ้นว่า “หรือจวนผีเกี่ยวข้องกับเจ้า?”
หยุนถิงผงกหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ หากไม่อยากตาย พวกเจ้าก็อยู่เฉยๆ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ข้าก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้”
“แม้แต่เจ้ายังพูดเช่นนี้ งั้นจวนผีคงไม่ใช่สถานที่ดี ข้าเห็นแก่หน้าเจ้าล่ะกัน” โม่ฉือชิงพูดขึ้นมา
ฟู่อี้เฉินยิ่งโกรธโมโห พร้อมพูดขึ้นว่า “หยุนถิง ข้าจะต้องดวงไม่สมพงษ์กับเจ้าแน่ เปลี่ยนจวนผียังตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า ทำไมข้าถึงซวยขนาดนี้”
“เจ้าดนหาที่เอง เกี่ยวข้องอะไรกับข้า” หยุนถิงพูดเถียง
ประโยคนี้ ทำให้ฟู่อี้เฉินพูดไม่ออก ทำได้เพียงถลึงตาใส่หยุนถิงอย่างขุ่นเคือง
จากนั้นหยุนถิงก็นอนพักผ่อน ซูหลินไปที่ห้องด้านข้าง ล้วงเอาขวดเซรามิกออกมา เคลื่อนไหวให้หมอหลวงหลิวสูดดม หมอหลวงหลิวที่หมดสติค่อยฟื้นขึ้นมา
“หมอหลวงหลิว องค์ชายสี่กับฟู่ซื่อจื่อบาดเจ็บ มาที่จวนซื่อจื่อเมื่อกี้ บอกว่าอยากให้ท่านช่วยรักษา” ซูหลินพูดขึ้นมาอย่างตกตะลึง
หมอหลวงหลิวลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นตนเองนอนอยู่บนเตียง รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เหมือนนอนมานานอย่างมาก ถึงแม้จะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก รีบเดินตามซูหลินออกไป
เห็นใบหน้าองค์ชายสี่กับฟู่ซื่อจื่อเป็นเหมือนอย่างหมู หมอหลวงหลิวตกใจอย่างมาก รีบช่วยรักษาให้กับพวกเขา
“หยุนถิงเป็นอะไร ทำไมยังไม่ฟื้นขึ้นมา คงไม่หมดสติไปตลอดมั้ง?” โม่ฉือชิงทำเป็นถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ชีพจรคุณหนูหยุนอ่อนแอ เดี๋ยวกระหม่อมไปตรวจดูชีพจรของคุณหนูหยุน” หมอหลวงหลิวพูดตอบอย่างนอบน้อม
“อย่าให้หยุนถิงฟื้นขึ้นมาไปตลอดชีวิตจะดีกว่า ใครใช้ให้นางมักเอาเปรียบข้า สมน้ำหน้า” ฟู่อี้เฉินพูดขึ้นมาอย่างให้ความร่วมมือ
หมอหลวงหลิวตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก สองคนนี้เขาไม่กล้ามีเรื่องด้วยเด็ดขาด
ทายาให้กับองค์ชายสี่กับฟู่ซื่อจื่อแล้ว ค่อยจากไป
หมอหลวงหลิวรีบไปตรวจชีพจรให้กับหยุนถิง พบว่าชีพจรของนางปกติขึ้นมาแล้ว จึงค่อยโล่งอก กลับไปจัดยาตามสูตรยาเดิม พร้อมนำไปต้มด้วยตนเอง
ภายในห้อง
หยุนถิงกำลังกลั่นยาอยู่ในมิติ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีคนมาใกล้ตน
“หยุนถิงรีบตื่นเร็ว เกิดเรื่องกับโม่เหลิ่งเหยียนแล้ว”
คำพูดประโยคเดียว หยุนถิงรีบออกมาจากในมิติ เมื่อลืมตาขึ้นก็มองเห็นใบหน้าหมิงจิ่วซาง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“หลายวันก่อน ผู้อาวุโสของตระกูลหานเขียนจดหมายมา ตระกูลหานเป็นครอบครัวของแม่ของโม่เหลิ่งเหยียน บอกว่าขอให้โม่เหลิ่งเหยียนกลับไป ตอนนั้นนับจากที่แม่ของโม่เหลิ่งเหยียนเสียชีวิต โม่เหลิ่งเหยียนก็ไม่เคยกลับไปยังตระกูลหาน
ตอนนี้ได้ยินว่าผู้อาวุโสป่วยหนัก โม่เหลิ่งเหยียนจึงตอบตกลง ออกเดินทางไปเมื่อสองวันก่อน ข้าตกลงกับเขาว่าทุกคืนเวลายามจื่อ จะส่งสัญญาณบ่งบอกว่าปลอดภัย แต่เมื่อคืนไม่ได้รับจดหมายจากโม่เหลิ่งเหยียน
วันนี้จึงส่งคนไปสืบดูที่ตระกูลหาน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาสักคน แสดงว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ด้วยความร้อนใจข้าจึงมาหาให้เจ้าช่วย” หมิงจิ่วซางเล่าเรื่องให้ฟังอย่างคร่าวๆ
หยุนถิงฟังอยู่อย่างเลิกคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ตระกูลหาน สามารถกักตัวโม่เหลิ่งเหยียนไว้ได้?”
“ตระกูลหานเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ ชำนาญค่ายกลและวิทยากลที่สุด ได้ยินมาว่าหากใครหลงเข้าไปในค่ายกลของตระกูลหาน จะติดอยู่ในนั้นเป็นเวลานานหลายปี นอกจากตาย ไม่อย่างนั้นอย่าคิดที่จะมีชีวิตรอดออกมา คนของข้าน่าจะติดอยู่ในค่ายกลแล้ว” หมิงจิ่วซางพูดอธิบายขึ้นมา
“แบบนี้ งั้นข้าไปดูกับเจ้า” หยุนถิงพูดตอบ