ตอนที่ 133 รอยช้ำ
หลังจากวางสาย โม่หันก็เปิดประตูเข้ามาและพูดกับซย่าชิงอี “พี่ต้องไปจัดการบางอย่างที่บริษัท ต้องไปเอาเอกสารจากที่นั่น เดี๋ยวพี่กลับมา”
เธอพยักหน้ารับ “ไปเถอะค่ะพี่ ต่อให้พี่ไม่กลับมาฉันก็ไม่เป็นไรหรอก”
เขาว่าขึ้น “อย่าวิ่งซนไปทั่วโรงพยาบาลล่ะ ว่าง่ายๆ และนอนพักอยู่บนเตียง ถ้าน้ำเกลือหมดก็เรียกพยาบาล ถ้ารู้สึกอาการไม่ค่อยดีก็เรียกหาหมอนะ”
“ฉันรู้แล้วค่ะๆ พี่นี่ขี้บ่นจังเลย”
เขาจ้องมองเธอ “ต่อให้พี่บ่นเธอก็ต้องฟัง”
อีกฝ่ายมุ่ยหน้า เมื่อเธอหันไปมองอีกครั้งเขาก็ปิดประตูเดินออกไปแล้ว
เธอคุยกับคนไข้เตียงข้างๆ อีกไม่นานนักหลังจากเขาออกไป เพราะหมอมาพาตัวอีกฝ่ายไปตรวจร่างกายหลังจากพวกเขาเริ่มคุยกันได้ไม่นาน เหลือเพียงซย่าชิงอีที่นั่งเหม่ออยู่บนเตียง
เธอรู้สึกเบื่อหลังจากนั่งมาพักหนึ่ง จึงรอจนกระทั่งน้ำเกลือใกล้หมด จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นไปเดินเล่น
ความเจ็บที่เอวแล่นขึ้นมาทันทีที่ขยับตัว เธอดึงชายเลื้อขึ้นมาและเห็นรอยบริเวณกว้างที่เอวด้านหลังที่เริ่มกลายเป็นรอยฟกช้ำดำเขียว และมีแผลถลอกที่บริเวณหน้าท้อง เธอนึกย้อนและคิดได้ว่าน่าจะมาจากตอนที่ผู้ชายคนนั้นเตะเธอเข้า
ทว่าซย่าชิงอีก็ลุกขึ้น ขยับตัวไปบริเวณข้างเตียงอย่างทุลักทุเลและเห็นว่าเธอไม่ได้สวมรองเท้าอยู่ เธอชะงัก ด้วยเธอขยับได้แค่มือขวาจึงไม่สามารถสวมรองเท้าได้ จนในที่สุดเธอก็เจอรองเท้าใส่ภายในอาคารอยู่ข้างเตียงและสอดเท้าเข้าไป
มีคนเดินพลุกพล่านอยู่ตามทางเดิน เด็กสาวสัมผัสได้ถึงความประหม่าของตัวเองเมื่อต้องเจอกับผู้คนมากมายภายนอกเป็นครั้งแรกหลังจากตื่นขึ้นมา เธอเอาแต่มองดูคนเดินผ่านไปมาขณะที่หยุดยืนนิ่งอยู่ริมกำแพง
ซย่าชิงอีอยากจะเดินไปที่ระเบียงด้านหน้าเพื่อรับลม ชมแสงอาทิตย์สวยๆ และสูดอากาศที่สดชื่นกว่าตรงนี้
เธอค่อยๆ ขยับฝีเท้าจนกระทั่งไปถึงที่นั่น เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ แสงอาทิตย์ที่สะท้อนมาทำให้เธอรู้สึกดีและอบอุ่น รู้สึกสบายใจถึงที่สุด รอยยิ้มค่อยๆ ถูกประดับบนใบหน้าและเริ่มดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ตรงหน้า
อย่างไรก็ตามเมื่อปลายหางตาเหลือบเห็นกระจกบานใหญ่ที่หัวมุมก่อนจะชะงักเท้า
เธอเดินก้าวไปใกล้ๆ กระจกบานนั้นเพื่อมองตัวเอง และรอยยิ้มบนใบหน้าก็ได้หายไป
เงาสะท้อนตรงหน้าของเธอตอนนี้เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนทั้งหมดของเธอ ค่อยๆ เอี้ยวคอมองรอยเขียวช้ำรวมถึงรอยกัดอีกหลายรอบที่กระจัดกระจายไปทั่วตั้งแต่ลำคอจนถึงบริเวณกระดูกไหปลาร้า
เธอแตะรอยบนลำคอและลูบลงไปจนถึงบริเวณกระดูกไหปลาร้า ดูท่าแล้วน่าจะมีรอยมากกว่านี้บริเวณหน้าอก
เธอไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป
โม่หันคงเห็นมันตั้งแต่ในห้องคนไข้ก่อนหน้านี้แล้ว เธอนึกไปถึงตอนที่นั่งพูดคุยกับคนไข้เตียงข้างๆ ที่มองเธอแปลกๆ และเริ่มเข้าใจว่าเขาก็คงเห็นรอยพวกนี้เช่นกัน
พวกเขารู้เรื่องนี้มาตลอด รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ มีแต่เธอที่ทำตัวเหมือนคนโง่ แกล้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธออยากจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น อยากลืมทุกสัมผัสบนตัวเธอจากผู้ชายคนนั้น ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่นิด ด้วยความหวังว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา
แต่ในท้ายที่สุดเธอก็รู้ว่ามีแต่เธอที่หลอกตัวเองอยู่อย่างนี้
ตอนที่ 134 ฉันมันสกปรก
“พี่ไม่ได้บอกเธอให้นอนพักอยู่ในห้องเหรอ ทำไมมาออกมาข้างนอกล่ะ” ซย่าชิงอีไม่รู้ว่าโม่หันกลับมาและยืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไร
“หืม?” เธอหันกลับไปมองเขา
“มาทำอะไรที่นี่ ใครให้เธอลุกออกจากเตียงกัน” ท่าทางของเขาดูไม่พอใจนัก
เธอหันศีรษะกลับไปมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก นิ่งเงียบและไม่ได้ตอบคำถามของเขา
อีกฝ่ายจ้องเธอและเห็นว่าเธอกำลังมองตัวเองในกระจก เขาเริ่มเข้าใจบางอย่างและพูดเสียงอ่อนลง “เลิกมองได้แล้ว ข้างนอกลมแรง กลับกันเถอะ”
เขาดึงมือเธอและจูงกลับไปที่ห้องคนไข้ เธอตามหลังเขาไปอย่างว่าง่าย ก้มศีรษะจ้องมองปลายเท้าที่ขยับก้าวเดิน
“ซื้อผ้าพันคอให้ฉันหน่อยสิคะ” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ได้สิ”
“รอยบนคอพวกนั้น… ฉันขยะแขยง” เธอว่าทั้งศีรษะที่ยังก้มอยู่
เขาหยุดเท้าที่ก้าวเดิน “คนพวกนั้นต่างหากที่น่าขยะแขยง ไม่ใช่เธอ”
“ฉันอยากอาบน้ำ ตัวฉันสกปรกไปหมด” เธอเกือบจะกัดฟันพูดในจังหวะที่เอ่ยคำว่า ‘สกปรก’
“แผลบนตัวยังไม่หายดีเลย”
“ฉันอยากอาบน้ำค่ะ”
“ไม่ได้”
“ฉันอยากอาบนี่คะ!”
“พี่บอกว่าไม่ก็คือไม่!”
เธอหอบเหนื่อยก่อนสะบัดมือของอีกฝ่ายออก “พี่ออกไปเลยนะ! ฉันจะกลับเอง!”
เขาดึงมือเธอกลับและไม่ยอมปล่อย
“พี่อยากให้ฉันมือเจ็บมากกว่านี้เหรอ คิดว่าแผลจากที่โดนมัดกับเสานั่นยังไม่รุนแรงมากพอหรือไงคะ”
เขาคลายแรงจับลงเล็กน้อย เธอถือโอกาสนี้ในการดึงมือออก บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มตึงเครียดจึ้น เมื่อเห็นซย่าชิงอีโกรธมากขึ้น เขาก็นิ่งเงียบ
“ทำไมพี่ไม่ยอมให้ฉันอาบน้ำล่ะ ไม่คิดว่าฉันสกปรกบ้างเหรอ! พี่ไม่รู้สึกรังเกียจพอเห็นรอยพวกนี้บนคอฉันบ้างเหรอ!” เธอตะโกนเสียงดังลั่น สบตากับอีกฝ่ายพลางใช้มือขวาชี้ที่คอของตัวเอง
“พี่เห็นมันใช่ไหม! พี่เห็นทุกรอยที่อยู่บนตัวฉันใช่ไหม! พี่รู้ว่าฉันสกปรกแค่ไหน แล้วทำไมพี่ถึงไม่ยอมให้ฉันอาบน้ำล่ะคะ!”
เธอปล่อยโฮเสียงดังก้องไปทั่วโถงทางเดินขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ คนที่เดินผ่านไปมาหยุดมองเธอที่ยืนหน้าซีดอยู่กลางทางเดิน ที่แขนยังมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่
โม่หันโผกอดเธอต่อหน้าทุกคน ลูบหลังเธอเบาๆ แนบศีรษะของเธอบนลำคอของเขา และปล่อยให้เธอร้องไห้ออกมา
“ก็ได้ ถ้าเธออยากอาบน้ำก็อาบ อาบได้เท่าที่เธอต้องการเลยนะ” เขาเอ่ยขึ้นข้างหูอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่เธอห้ามให้น้ำโดนแผลที่หัว พี่จะให้คนมาช่วยเธอสระผม ตกลงไหม”
“พี่คะ… ฉันรู้สึกตัวเองสกปรกและน่ารังเกียจเหลือเกิน ฉัน… แค่คิดถึงตอนที่นอนอยู่บนพื้นวันนั้น… ผู้ชายคนนั้น…. เขา…” เธอสะอื้นไห้ขึ้นมา “ฉันอยากจะอ้วก… พอเห็นรอยพวกนั้นก็คิดถึงเรื่องคืนนั้น… ลืมไม่ลงว่าฉันพยายามสุดแรงแค่ไหนที่จะ…”
โม่หันรู้สึกราวกับหัวใจถูกบิด อดไม่ได้ที่จะจูบลงบนเรือนผมของเธอ “พี่ผิดเอง เป็นความผิดของพี่เองที่ไม่ไปถึงให้เร็วกว่านี้ พี่ขอโทษ”
เธอส่ายหน้า “พี่… ฉันไม่น่าออกไปวันนั้น… เป็นฉันเองที่ไม่ยอมฟังพี่ พี่ไม่ชอบให้ฉันออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแต่ฉันก็ยังจงใจหนีออกไปเพราะอยากยั่วโมโหพี่ ฉันผิดเอง ฉันไม่น่าออกไป…”
“ไม่… พี่ผิดเอง พี่สัญญาว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก พี่จะปกป้องเธอ จะไม่ปล่อยให้เธอเจ็บตัวอีกแล้ว” เขากระชับกอดเธอแน่น
ทุกประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยย้ำให้เขารู้สึกถึงการกระทำโง่ๆ ของตัวเองในคืนนั้น ถ้าหากเขาไม่จงใจตีตัวออกห่างจากเธอและปฏิเสธสายของเธอ บางทีเหตุการณ์อาจไม่ลงเอยเช่นนี้
น่าเสียดายที่ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าถ้าหากเกิดขึ้น
ความผิดในอดีตไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ เขาทำได้เพียงทำอนาคตข้างหน้าให้ดีที่สุดเท่านั้น จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป โม่หันบอกกับตัวเอง
พี่จะคอยปกป้องเธอในทุกๆ วันต่อจากนี้ไป