จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 934 ไม่เห็นท่านข้าคิดถึง
“หากพูดถึงงานแต่งงานที่แตกต่างออกไป เช่นนั้นก็คือการแต่งงานแบบท่องเที่ยวหรือไม่ก็พิธีแต่งงานแบบตะวันตก การแต่งงานแบบท่องเที่ยวก็คือหลังจากที่พวกเจ้าแต่งงานแล้ว ทั้งสองคนไปเที่ยวชมภูเขาและแม่น้ำสักพักหนึ่ง เพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่รักกันอย่างดูดดื่ม
และการแต่งงานแบบตะวันตกก็คือผู้หญิงสวมชุดแต่งงาน ผู้ชายสวมชุดสูท พิธีแต่งงานก็ค่อนข้างแตกต่างออกไป แต่เจ้าเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนจิ่ว และกู้จิ่วเยวียนก็เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง การแต่งงานของพวกเจ้าต้องสร้างความตื่นตะลึงไปทั้งสี่แคว้นอย่างแน่นอน เกรงว่าขุนนางกับชาวบ้านแห่งแคว้นเทียนจิ่วของพวกเจ้าจะไม่ยอมรับ
ในเมื่อเป็นงานแต่งงานของฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง ย่อมต้องคำนึงถึงพิธีของบรรพบุรุษ พวกเจ้าสามารถจัดพิธีแต่งงานตามปกติ จัดงานเลี้ยงฉลองทั่วทั้งแคว้นเทียนจิ่วเป็นเวลาสามวัน ใต้หล้าเฉลิมฉลองไปพร้อมกัน
หลังแต่งงานหากอยากอยู่กันสองต่อสอง สามารถไปท่องเที่ยวสิบหรือสิบห้าวันค่อยกลับมา เช่นนี้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองอย่าง ถึงเวลานั้นข้าจะมอบอุปกรณ์ให้เจ้าสองสามอย่าง รับรองว่าเจ้าจะได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนแน่นอน” หยุนถิงตอบ
เดิมทีนางต้องการจะบอกว่าเป็นอาหารตะวันตก แต่ทุกคนไม่เคยกินมาก่อน ต้องไม่เคยชินแน่นอน บางครั้งสิ่งที่เจ้ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่และดี คนอื่นอาจจะไม่ชอบเลยก็ได้ เช่นนั้นไม่สู้เก็บงำหน่อยดีกว่า
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก หากงานแต่งงานของพวกเราล้ำเส้นเกินไป เกรงว่าขุนนางบุ๋นบู้ต้องบ่นข้างหูข้าอีกแน่ ทำตามที่เจ้าพูดมานั่นแหละ อุปกรณ์อะไรนั่นที่เจ้าพูดถึง ให้ข้าตอนนี้เลยได้ไหม?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ได้ ต้องการเวลา ถือว่าเป็นของขวัญการแต่งงานที่ข้ามอบให้เจ้าแล้วกัน”
“ถึงเวลานั้นเจ้าต้องมอบให้ข้าหลายๆอันนะ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย
“ตกลง” หยุนถิงพยักหน้ารับปาก
“ถิงเอ๋อร์ได้เวลาไปกินข้าวแล้ว” จวินหย่วนโยวเดินเข้ามา
หยุนถิงพยักหน้า หันหลังก็เดินไปด้านนอก
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เข้ามาใกล้ทันที “จวินซื่อจื่อ คืนนี้พวกท่านกินอะไร?”
“เมื่อวานถิงเอ๋อร์รับปากเด็กๆว่าจะกินเนื้อย่าง แต่ไม่ได้กิน ดังนั้นคืนนี้ก็เลยกินเนื้อย่างกัน” จวินหย่วนโยวตอบ
“ว้าว เนื้อย่างหรือ นั่นคือสิ่งที่ข้าโปรดปรานที่สุดเลย ในตอนที่อยู่แคว้นเทียนจิ่วข้าแอบหนีออกจากวังไปกินเนื้อย่างเป็นประจำ แอบบอกเจ้านะ ข้าใช้ชื่อส่วนตัวเข้าร่วมกับร้านเนื้อย่างหลายร้านเลย” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดจนน้ำลายจะไหลออกมาอยู่แล้ว
“ในเมื่อเจ้าชอบกิน เช่นนั้นก็ตามเราไปพร้อมกันเถอะ” หยุนถิงเสนอแนะ
“ข้าก็อยากอยู่ แต่ข้าไม่สามารถทิ้งเสด็จอาเก้าเอาไว้แล้วไปกินคนเดียวได้ ตอนนี้เขาต้องการให้คนอยู่เป็นเพื่อน ข้าไม่สามารถจากไปได้” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ปฏิเสธทันที
“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ที่นี่ก็แค่นอนเฉยๆ เจ้าไปกินเถอะ” กู้จิ่วเยวียนกล่าว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์หวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี “ไม่ได้ ไม่เห็นเสด็จอาเก้าข้าจะคิดถึงท่าน”
หยุนถิงถูกสองคนนี้สาดความหวานใส่เต็มท้องแล้ว “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้คนนำเตาเข้ามาอันหนึ่ง เจ้ากินในเรือนไผ่คนเดียว จำไว้ว่าห้ามใช้มันในเรือน ห้ามให้กู้จิ่วเยวียนสัมผัสกับถ่านไฟกับเครื่องปรุงต่างๆเด็ดขาด”
“หยุนถิงเจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ดีใจอย่างยิ่ง
หยุนถิงติดตามจวินหย่วนโยวจากไป ชั่วครู่เดียวคนรับใช้ก็ยกเตาถ่านที่จุดเสร็จแล้วมาหนึ่งเตา เนื้อสัตว์และผักมากมาย เครื่องปรุงรสและซอสต่างๆ เรียกได้ว่าครบครันสุดๆ
“นี่มันยอดเยี่ยมมากจริงๆ ข้ามีเตาขนาดเล็กของตัวเอง ไม่เลวจริงๆ ขอบใจมาก” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ย่างขึ้นมาทันที
ย่างเนื้อชิ้นแรกเสร็จ นางไม่ได้รีบกินทันที แต่คีบไปไว้ในจานและยกเข้าไปในเรือน “เสด็จอาเก้าท่านรีบชิมเร็วเข้า นี่เป็นเนื้อที่ย่างเสร็จชิ้นแรกเชียวนะ ตัวข้าเองยังเสียดายที่จะกินด้วยซ้ำ”
กู้จิ่วเยวียนรู้สึกปลื้มใจอย่างยิ่ง แต่กลับส่ายหน้า “ข้ากินของพวกนี้ไม่ได้ หยุนถิงบอกไว้แล้ว เจ้ากินเองเถอะ”
“ก็ได้ เช่นนั้นท่านก็ดูข้ากินแล้วกัน รอให้ท่านหายแล้วข้าจะย่างเนื้อให้ท่านโต๊ะหนึ่งเลย เราไม่เมาไม่เลิกรา!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดจบ ก็คีบเนื้อยัดใส่ปากเต็มๆคำ
“ว้าว เนื้อนี่ช่างนุ่มจริงๆ รสชาติยอดเยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก”
เพราะกินด้วยความตื่นเต้น มุมปากยังมีคราบน้ำมันไหลออกมาเล็กน้อย
กู้จิ่วเยวียนมองดูเริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่กินเนื้อชิ้นหนึ่งด้วยความพึงพอใจราวกับเด็ก รอยยิ้มระหว่างคิ้วและตายิ่งลึกล้ำมากขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยนางเช็ดคราบน้ำมันตรงมุมปากของนาง
“เช่นนั้นข้าออกไปกินแล้ว ท่านก็ดมกลิ่นไปแล้วกัน” เริ่นเซวียนเอ๋อร์หัวเราะแฮะๆและเดินออกไป
กู้จิ่วเยวียนยิ้มออกมาอย่างจนใจ เขาในตอนนี้ดื่มได้แต่โจ๊กเปล่าเท่านั้น แต่ว่าน้ำใจของนังหนูคนนี้ทำให้เขาประทับใจจริงๆ
และในลานของจวนซื่อจื่อ
ครอบครัวใหญ่ของหยุนถิงกำลังกินเนื้อย่าง ครั้งนี้โม่เหลิ่งเหยียนก็มาเช่นกัน หยุนซู หยุนหลีแล้วก็หยุนเฉิงเซี่ยงและคนอื่นๆก็มาเช่นกัน จวินหย่วนโยวเป็นคนส่งคนไปแจ้ง
“พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแต่ไม่บอกข้าสักคำ ใจร้ายเกินไปแล้ว!” เสียงอ่อนเยาว์ที่ไม่พอใจของเด็กหนุ่มดังขึ้นมา หยุนเสี่ยวลิ่วและคนอื่นๆเดินเข้ามาจากด้านนอกลาน
“น้องสาว ขอโทษด้วยยุ่งจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะมีเวลามาเยี่ยมเจ้า” หยุนไห่เทียนเอ่ยปาก
“คำนับซื่อจื่อเฟย” เสี่ยวอันจื่อคำนับด้วยความเคารพนบนอบ
“พวกเจ้ามาแล้วช่างดีจริงๆ เดิมทีข้าก็อยากไปเยี่ยมพวกเจ้าที่ค่ายทหาร แต่ระเบียบวินัยของค่ายทหารเข้มงวดมาโดยตลอด กลัวจะไปรบกวนการฝึกซ้อมของพวกเจ้าก็เลยไม่ได้ไป
หยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อสูงขึ้นมาไม่น้อยแล้ว คนก็ดูกำยำล่ำสันขึ้น ไม่เลว พี่ชายใหญ่มีพวกเจ้าสองคนต้องเหมือนกับเสือติดปีกแน่นอน
ครั้งนี้ข้าไปที่แคว้นเป่ยลี่นำของขวัญมาให้พวกเจ้าด้วย รีบมากินข้าวก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยให้คนนำมาให้พวกเจ้า” หยุนถิงกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“ค่อยยังช่วยหน่อย พี่หญิงใหญ่ข้ายิงกระต่ายป่าได้สองตัว สามารถให้เสี่ยวเทียนกับเสี่ยวเหยียนเล่นได้พอดี” หยุนเสี่ยวลิ่วยกกรงเข้ามาด้วยความยินดี
ทันทีที่จวินเสี่ยวเหยียนกับจวินเสี่ยวเทียนเห็นกระต่าย ก็ดีใจอย่างมาก วางตะเกียบลงและวิ่งเข้ามาโดยตรง “กระต่ายน้อย กระต่ายที่แสนน่ารัก”
“ขอบคุณน้าเล็ก” จวินเสี่ยวเทียนเอ่ยปาก
“พวกเจ้าสองคนชอบก็ดีแล้ว วันหน้าน้าเล็กพาพวกเจ้าไปล่าสัตว์” หยุนเสี่ยวลิ่วเสนอแนะ
“ตกลง”
พ่อบ้านให้คนเอาแครอทกับผักใบเข้ามาทันที จวินเสี่ยวเทียนกับจวินเสี่ยวเหยียนหยิบมาป้อนกระต่ายเล่นทันที
หยุนถิงคีบเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วใส่จานของหยุนเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวอันจื่อ “พวกเจ้าสองคนกำลังเติบโต กินมากๆหน่อย หาได้ยากที่จะกลับมาสักครั้ง อยากกินอะไรก็บอกพ่อบ้านได้เลย”
“ขอบคุณพี่หญิงใหญ่มาก” หยุนเสี่ยวลิ่วหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกินอย่างไม่เกรงใจ “อาหารของบ้านพี่หญิงใหญ่อร่อยกว่ามากเมื่อเทียบกับค่ายทหาร”
“แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะกินน้อยลงเลย” หยุนไห่เทียนกล่าวเย้าแหย่
“ฝึกซ้อมทุกวันเหนื่อยขนาดนั้น ข้าไปกินน้อยอีกแล้วจะโตได้อย่างไร” หยุนเสี่ยวลิ่วโต้กลับ
ทุกคนรู้สึกขบขันไปกับเขา เสี่ยวอันจื่อก็กินคำใหญ่ขึ้นมา เนื้อย่างที่ซื่อจื่อเฟยคีบด้วยตัวเองอร่อยที่สุด
“ใช่แล้วถิงเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันก็ถึงการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าพาลูกๆไปเล่นเถอะ หาได้ยากที่จะมีความครึกครื้น” หยุนไห่เทียนเสนอแนะ
“ท่านพี่ ให้ซือถิงไปเปิดหูเปิดตาด้วยเถอะ” ซูชิงโยวเอ่ยปากทันที
“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นให้ซือถิงไปเป็นเพื่อนเสี่ยวเทียนเสี่ยวเหยียน พวกเด็กๆก็จะได้ไม่เบื่อ” หยุนไห่เทียนกล่าว
“ตกลง” ซูชิงโยวพยักหน้า
“ในเมื่อพี่ชายใหญ่พูดเช่นนี้แล้ว งั้นข้าก็จะพาพวกเขาไปเล่นที่นั่น” หยุนถิงรับปาก
“พวกเจ้าต้องดูแลเด็กๆให้ดีนะ ลานล่าสัตว์อันตรายมาก แถมยังมีสัตว์ป่าอีก ไม่ได้ ข้าไม่วางใจ ข้าก็จะไปด้วย” หยุนเฉิงเซี่ยงเอ่ยปากทันที
“ฮ่าๆ คนอื่นเขาไปล่าสัตว์ สำหรับบ้านเรานั่นคือการท่องเที่ยวตามชานเมือง” หยุนไห่เทียนหัวเราะออกมา
“ทุกคนวางใจ ข้ารับผิดชอบความปลอดภัยของการล่าสัตว์ในครั้งนี้ ทุกคนสามารถไปเที่ยวเล่นได้อย่างมั่นใจ” โม่เหลิ่งเหยียนที่ไม่พูดอะไรมาโดยตลอดเอ่ยปากขึ้นมา
“มีซวนอ๋องอยู่ ไม่ต้องกังวลจริงๆ”
บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ในมือถือสิ่งของเอาไว้ “ซื่อจื่อเฟย นี่คือตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่หลีอ๋องให้คนส่งมาเมื่อครู่นึ้”
ใบหน้าเล็กของหยุนเสี่ยวลิ่วตึงเครียดในทันที “พี่หญิงใหญ่ หลีอ๋องให้เงินท่านทำไม หรือว่าเขายังไม่ยอมแพ้เรื่องท่านอีก?”