โม่หันขมวดคิ้วมุ่น “คุณเห็นเธอเมื่อวานเหรอ”
“ใช่ครับ ที่ตรงข้ามบริษัทนี้เอง ผมเจอเธอตอนที่ลงไปซื้อกาแฟด้านล่างน่ะครับ”
เขาเงียบไปขณะที่หลิวจื้อหย่วนที่อยู่ข้างๆ จับคางและพึมพำออกมาเบาๆ ตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่านะ พอมาคิดดูแล้วก็ไม่ได้เจอเธอมานานแล้วเหมือนกัน ช่วงก่อนหน้านี้เธอไม่ค่อยได้เข้ามาที่บริษัทเลยใช่ไหม อืม เธอไม่ได้มาเลยต่างหาก”
“คุณเป็นห่วงเธอเหรอ” โม่หันว่าขึ้น
เมื่อเห็นโม่หันมีท่าทีเปลี่ยนไป อีกฝ่ายก็รีบบอกปัดทันที “ไม่… ไม่ครับ อย่าห่วงเลยครับเจ้านาย
ซย่าซย่ากับผมเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น!”
“คุณเรียกเธอว่าซย่าซย่าเหรอ” เขากดเสียงหนักขึ้น
“ไม่… ไม่ครับ ซย่าซย่าบอกให้ผมเรียกเธอแบบนั้น ไม่ใช่… ที่ผมหมายถึงคือ…” เมื่อเจ้านายของเขาค่อยๆ ไล่ต้อนเขาจนจนมุม หลิวจื้อหย่วนก็ละล่ำละลักพูดออกมาไม่เป็นประโยค
เขาถอนหายใจออกมา “ตอนแรกผมคิดว่าชื่อของเธอเรียกยาก เลยบอกเธอไปว่าอย่างนั้นผมควรเรียกเธอว่าซย่าซย่าดีไหม เธอบอกว่าเธอไม่ติดอะไร ให้เรียกตามที่ผมถนัดได้เลย ผมก็เลยเรียกเธอแบบนี้มาตลอด”
“พวกคุณสองคนติดต่อกันเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ งั้นเหรอ” เขาถามย้ำ
อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เราแค่คุยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อเห็นอาการของโม่หัน และตัดสินใจเลิกพูดถึงน้องสาวของเขากับเจ้าตัวอีกต่อไป สุดท้ายเขาเองที่ต้องเป็นคนที่จะพูดอะไรไม่ออกและเริ่มหาเรื่องปลีกตัวออกไป “คือว่า…ผมนึกได้ว่าต้องไปทำงานที่ค้างไว้ ขอตัวก่อนนะครับเจ้านาย”
ห่างไปออกไปจากสำนักงานกฎหมายโม่และเพื่อน ประธานตู้นั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ในรถ เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงคำที่โม่หันพูดกับเขาก่อนหน้านี้ที่บริษัท เขาได้ยินมานานแล้วว่าทนายโม่เป็นคนเถรตรงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้นแต่ได้มาสัมผัสเข้ากับตัวเองก็วันนี้
คดีที่เขาถูกฟ้องร้องคงไม่สามารถพลิกกลับมาชนะได้แล้วตราบใดที่พวกเขามีหลักฐานที่เพียงพอ และแน่นอนว่าต่อให้ไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพออีกฝ่ายก็คงจะโน้มน้าวและยืนยันต่อชั้นศาลให้เชื่อได้ไม่ยาก
ตลอดห้าปีที่อีกฝ่ายเป็นนักกฎหมายมา ไม่เคยมีสักคดีเดียวที่เขาปล่อยให้แพ้คดีไปได้
“โม่หันคนนี้ช่างไม่รู้จักอยู่ให้ถูกที่ถูกทางเสียเลย” ประธานตู้มองตรงไปข้างหน้าขณะที่เอ่ยปาก มือหนึ่งเคาะบนกระจกรถ
“เป็นอย่างที่คนพูดกันจริงๆ ด้วยครับ” ตัวแทนทนายความข้างตัวเขากล่าว
“คุณไม่รู้ว่าเขามีจุดอ่อนตรงไหนบ้างเหรอ” คนอายุมากกว่าถามขึ้น
“ผมเองไม่มั่นใจ แต่จากที่ได้ยินมาช่วงหลายปีมานี้บางคนที่ต้องการให้เขาช่วยเหลือต่างก็ถูกปฏิเสธ เราน่าจะเปลี่ยนวิธีระหว่างที่ผมจะลองนัดกินอาหารกับพวกเขาในช่วงนี้ดูและค่อยมาดูว่าจะมีอะไรดีขึ้นบ้างหรือไม่ครับ”
ประธานตู้ห้ามเขาไว้ “อย่าบุ่มบ่าม เรายังต้องทำงานกับเขาต่อไป หากผลการพิจารณาคดีออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดจะยิ่งไม่เป็นการดีกับเรานัก”
ตัวแทนทนายเอ่ย “แต่ว่า… วันนี้เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะครับ”
คนฟังยกยิ้ม “แน่นอนว่ามันยากที่จะเจรจาเรื่องนี้กับเขา แต่เราก็ยังเจรจากับคนใกล้ตัวเขาได้นี่”
“คนใกล้ตัวเขางั้นเหรอครับ”
“ฉันได้ยินมาว่าเขามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง”
“โอ๊ะ… ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันนะครับ เธอถูกพ่อแม่ของโม่หันในอเมริการับเลี้ยงไว้ เพิ่งกลับมาไม่นานนี้เองครับ”
ประธานตู้มีท่าทียินดีเมื่อพบเจอสิ่งที่น่าสนใจ “ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ เหรอ”
“ใช่ครับ จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นพี่น้องที่ค่อนข้างสนิทสนมกันเลยทีเดียว น้องสาวของเขามักจะแวะไปเที่ยวเล่นที่บริษัทของเขาบ่อยๆ ”
“เธอชื่ออะไร”
“ซย่าชิงอีครับ”
“ดูเหมือนเรามีอะไรต้องคุยกับคุณซย่าหน่อยแล้วล่ะ”
ตัวแทนทนายมีท่าทางกังวลเล็กน้อย “จะได้ผลเหรอครับ เขาดูไม่เหมือนคนที่น่าจะหลงกลแบบนี้ได้เลย ผมยังจำตอนที่เมื่อก่อนเพื่อนร่วมงานของผมไปตามหาโม่หันด้วยเหตุผลบางอย่างและถูกเมินกลับมา เขาเลยไปหาแฟนสาวของเขาในอเมริกาอย่างหวังให้เธอช่วยขอร้องเขาให้แต่มันก็ไม่ได้ผลครับ”
อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่มีวิธีที่จะเหมาะไปมากกว่านี้แล้วและกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก การเจรจากับเด็กสาวง่ายกว่าทำกับเขามาก ถ้าน้องสาวของเขาไม่ยอมฟังเราก็แค่ใช้วิธีที่รุนแรงขึ้น เดี๋ยวก็คงได้ผลอย่างแน่นอน”
“ถ้างั้นก็ได้ครับ ผมจะลองติดต่อเธอดู” คนฟังตอบรับคำสั่ง
ที่เมือง F ที่ห่างออกไป ซย่าชิงอีไม่รู้ตัวว่าได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายเสียแล้ว เธอยังคงโกรธโม่หันที่ทำตัวเมินเฉยตอนที่เธอบอกเขาในตอนเช้าว่าจะออกไปและไม่ได้กลับมา
เพราะว่าเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา เขาจึงทำกับเธอแบบนี้หรือ หรือเขาจะอดใจรอที่จะตัดขาดกับเธอไม่ไหวและแสร้งทำเป็นรู้จักเธอ หรือเขาจะจงใจทำตัวห่างเหินกับเธอกัน หากแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนรักกัน เขาก็จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลยน่ะหรือ
เธอรู้สึกว่าเขาช่างทำตัวน่าขันเสียเหลือเกิน ทำเหมือนกันกับเป็นความผิดของเธอที่ปฏิเสธเขาอย่างนั้นแหละ และนั่นก็ทำให้เขาต้องการจะทิ้งระยะห่างกับเธอซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะต้องทนรับให้ได้
ทว่าเขาไม่ฉุกคิดเสียหน่อยเลยเหรอว่าเขาเป็นคนเดียวที่เธอพูดคุยได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ พอเขามาทำท่าทีห่างเหินกับเธอแบบนี้ก็ไม่เหลือใครที่เธอจะพูดด้วยได้อีกแล้ว
แม้จะมีคนมากมายหลายล้านคนบนโลกใบนี้แต่เธอก็ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถพูดคุยด้วยได้
ท่ามกลางความโกรธที่คุกรุ่น เธอก็ออกเดินทางมาที่เมือง F และไปที่หลุมศพของซ่งเย่ว์เนี่ยนกับแม่ของเธอ
เมื่อได้พูดคุยกับแม่ของตัวเองก็เห็นว่าท่านดูไม่ได้โกรธที่เธอหนีกลับไปที่เมือง S หลังจากที่รู้ความจริง เมื่อทั้งสองเจอหน้ากันอีกครั้ง ท่านยังคงส่งยิ้มให้เธอและยังเข้ามาดึงเธอไปยืนข้างๆ
พวกเขายืนอยู่หน้าหลุมศพของซ่งเย่ว์เนี่ยนด้วยกัน เธอรู้สึกราวกับปมในใจของตัวเองได้ถูกคลายลงและผ่อนคลายได้มากกว่าที่เคย
“แม่คิดว่าลูกจะไม่มาให้แม่เห็นหน้าอีกแล้วหลังจากรู้ความจริง” ท่านเอ่ยขึ้น
“ยังไงแม่ก็ยังเป็นแม่ของหนูนะคะ” เธอยืนอยู่ต่อหน้าหลุมศพเคียงคู่กับแม่ของตัวเองขณะที่จ้องมองรูปของเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับเธอบนหิน
ท่านเหลือบมองมาที่เธอก่อนจะส่งยิ้มและพูดขึ้น “ลูกอยากฟังเรื่องสมัยก่อนไหม”
“ค่ะแม่ เล่าให้หนูฟังหน่อยสิคะ”
หญิงมีอายุเริ่มเล่าออกมา “นิสัยของลูกยังเหมือนเดิมเลยนะ น้องสาวของลูกเป็นคนร่าเริง เธอชอบออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน แต่พออยู่ที่บ้านกลับเอาแต่เงียบและพูดน้อย ส่วนลูกน่ะต่างออกไปเลย ลูกมักจะทำหน้าบูดบึ้งใส่คนอื่นเวลาออกไปข้างนอกและชอบเอาหนังสือติดตัวไปอ่านด้วยตลอด แต่จริงๆ แล้วลูกเป็นคนใจดีมากเลยล่ะ ตอนที่เห็นใครบางคนทำรุนแรงกับเจ้ากระต่าย ลูกก็เป็นห่วงว่ามันจะเจ็บ ตอนอยู่ที่บ้านลูกยังชอบแกล้งเย้าแหย่พวกเราและทำให้พวกเราหัวเราะออกมาบ่อยๆ ”
เธอฉีกยิ้มออกมา “จริงเหรอคะ หนูเป็นแบบนั้นตอนเด็กๆ เหรอ จำไม่ค่อยได้เลย จำได้แต่ตอนที่กำลังร้องไห้อยู่บนตักของแม่”
อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมาให้ “อ้อ ลูกหมายถึงตอนนั้นสินะ มีแค่ครั้งเดียวที่ลูกร้องไห้ รู้ไหมว่าเพราะอะไร”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะว่าลูกเห็นหมาถูกรถชนจนเลือดไหลนองออกมาน่ะสิ ตอนนั้นลูกไปโรงเรียนคนเดียว อุ้มหมาและขอให้คนที่เดินผ่านไปมาช่วยพาลูกไปหาหมอ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจและบอกว่ามันตายไปแล้ว ลูกก็เลยไม่ไปโรงเรียน แล้วก็หาทางพามันไปหาหมอจนได้ แต่หมอก็บอกว่าช่วยมันไม่ทันแล้ว”
เธอเล่าต่อ “ตอนที่แม่ไปถึงโรงพยาบาลสัตว์ ก็เห็นลูกกำลังร้องไห้อยู่ที่ทางเดิน”
ระหว่างที่ฟังแม่ของเธอพูด เธอก็คิดตามอย่างเหม่อลอยและความทรงจำหลายอย่างก็เริ่มปรากฏขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำ แต่การที่สามารถค่อยๆ จำเรื่องราวในได้อดีตก็ทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้น
“หันเลี่ยงคงบอกลูกก่อนหน้านี้ว่าเราแยกจากกันมานานแล้ว” พูดจบรอยยิ้มก็พลันหายไปจากใบหน้าของแม่ของเธอและถูกแทนที่ด้วยความเศร้าสร้อย
เธอนิ่งฟังสิ่งที่ท่านเอ่ย “แม่คิดว่าตลอดว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้เกิดขึ้นเป็นวัฏจักร ตอนนั้นลูกจากไป เหลือเพียงเนี่ยนเนี่ยนที่อยู่กับเรา และในตอนนี้ลูกก็กลับมาแต่เนี่ยนเนี่ยนกลับจากไปเสียแล้ว นี่คงเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้มีเพียงลูกคนใดคนหนึ่งที่จะได้อยู่”
ท่าทีของท่านดูสิ้นหวังขณะที่ค่อยๆ จมดิ่งไปกับความทรงจำในอดีตของตัวเอง “ตอนนั้นบริษัทของพ่อของลูกมีปัญหา การเงินฝืดเคือง แม้แต่การจ่ายเงินเดือนพนักงานยังลำบาก เขายืมเงินจากเจ้าหนี้หน้าเลือดและตั้งใจจะจ่ายคืนทันทีที่ได้กำไร แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะใช้เงินทั้งหมดที่ยืมมาหมดภายในเดือนเดียว หลังจากนั้นเจ้าหนี้ก็มาที่บ้านเราและเข้ามาทำลายข้าวของข้างนอก จับเราเข้าไปในบ้าน พ่อของลูกและแม่นั่งคุกเข่าขอร้องให้พวกมันปล่อยเราไป แต่พวกมันกลับจับพ่อของลูกลากขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าบนชั้นสามที่มีไม้กางเขนติดไว้อยู่ และตั้งใจจะโยนเขาลงไปเพื่อฆ่าเขาเอาเงินประกัน
“ตอนนั้นลูกอายุแค่สิบเอ็ดขวบ น้องสาวของลูกกลัวมากและเอาแต่ร้องไห้อยู่บนตักของแม่ แต่ลูกกลับมองไปที่มันและถามว่าต้องการอะไรเพื่อแลกกับการปล่อยเราไป”
เธอมองแม่ของตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อว่าเธอจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา ตอนนั้นเธอทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ
อีกฝ่ายสบตาเธอกลับมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา “มันเป็นเรื่องจริง”
ก่อนจะพูดต่อ “พวกเราตกใจมาก ตอนนั้นลูกดูเหมือนนักรบตัวน้อยๆ เลย ลูกยืนอยู่ข้างหน้าพวกเราและถามเจ้าหนี้หน้าเลือดที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า มันมองหน้าลูกและยิ้มออกมาก่อนบอกว่าถ้าลูกทำให้พวกมันพอใจได้มันจะปล่อยพวกเราไป
“แม่รีบไปจับลูกเอาไว้ กลัวว่าพวกมันจะคิดสกปรก แต่ลูกกลับไม่กลัวสักนิดและยังถามพวกมันอีกว่าต้องทำยังไงถึงจะพอใจ ตอนที่ได้ยินแบบนั้นแม่ก็รีบเข้าไปปิดปากลูกไว้และซ่อนลูกไว้ด้านหลัง แต่ลูกก็ไม่ขยับถอยหลังไป เอาแต่ยืนเผชิญหน้าอยู่อย่างนั้น
“หลังจากนั้นพวกมันก็เข้ามาจับตัวลูกไว้ แม่ไม่ยอมให้เอาตัวลูกไปเลยถูกพวกมันเข้ามาจับจนแขนหัก พ่อของลูกถูกแขวนบนไม้กางเขน เขานิ่งไม่ไหวติงเลย แม่ได้แต่กรีดร้องจากด้านหลังและมองพวกมันพรากตัวลูกไปจากแม่ต่อหน้าต่อตา”