ประธานตู้ทำตามอย่างที่ตัวเองว่าไว้ก่อนหน้านี้ เขาพาเธอมาที่ห้องส่วนตัวที่ร้านอาหารใหญ่โตแห่งหนึ่ง ซย่าชิงอีมองโต๊ะอาหารหรูหราขนาดใหญ่ตรงหน้า มีเพียงประธานตู้ท่าทางน่าเกรงขามในชุดสูทและซย่าชิงอีที่มีท่าทีเรียบเฉยอยู่ในห้องนี้ในขณะที่คนอื่นๆ ออกไปด้านนอกตามคำสั่งของอีกฝ่าย
อันที่จริงแล้วเธอรู้สึกหิวไม่น้อย สายตากวาดไปบนโต๊ะอย่างต้องการจัดการกับอาหารแม้จะรู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะกับการหาอะไรกินนัก เธอไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่จึงทำได้แต่เบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองไปจากอาหารและฝืนความอยากอาหารของตัวเองเอาไว้
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ ประธานตู้” เธออยากจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
“ดูท่าว่าคุณซย่าจะใจร้อนกว่าฉันจนอยากจะเริ่มคุยทั้งที่ยังไม่ทันจะแตะอาหารเลย” อีกฝ่ายว่าขึ้น “แต่ฉันชอบความตรงไปตรงมาของเธอนะ คุณซย่า”
เขาหันหน้ามามองเธอ “คืออย่างนี้นะ พอดีฉันต้องร่วมงานกับพี่ชายของเธอในคดีเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ว่าเขาดูจะไม่สนใจข้อเสนอของฉันและเอาแต่ปฏิเสธตอนที่ฉันแวะไปหาเขาเมื่อหลายวันก่อน ฉันรู้ว่าเธอสนิทสนมกับเขามากเลยคิดว่าคงจะดีถ้าเธอจะเป็นคนไปบอกเขาให้ฉันหน่อย ถ้าเธอยินดีที่จะช่วยฉันจะตอบแทนเธออย่างงามจนเธอพอใจอย่างแน่นอน”
เมื่อเขาพูดจบเธอก็หัวเราะเบาๆ ในใจ เธอน่ะหรือสนิทสนมกับโม่หัน ประธานตู้คงไม่รู้ว่าพวกเขาเพิ่งจะทะเลาะกันและต้องการขอความช่วยเหลือจากเธอหลังจากรู้ว่าเขามีน้องสาว หากแต่ว่าถ้าเธอเข้าไปก้าวก่ายงานของเขาตอนนี้มีหวังคงได้ตายอย่างน่าสมเพชมากกว่า
เธอตอบกลับ “พี่ชายของฉันคงตัดสินใจเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็คงไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงไปมากนักหรอกค่ะ ฉันเกรงว่าคงจะช่วยคุณเรื่องนี้ไม่ได้แม้ว่าฉันจะอยากช่วยก็ตาม”
“เราตามหาคนที่จะมาทำหน้าที่นี้แต่ก็ดูจะไม่มีใครอื่น ถ้าเป็นเธอฉันคิดว่าทนายโม่คงต้องยอมฟังดีๆ แน่”
เธอส่ายหน้าพลางเอ่ย “พี่ชายของฉันไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งเรื่องงานของเขา ต่อให้เป็นฉันก็เถอะค่ะ ฉันคิดว่าคุณขอความช่วยเหลือผิดคนแล้วล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” เธอก้มศีรษะลาเล็กน้อยขณะที่ยืนขึ้นและตั้งท่าจะเดินออกไป
“ดูเหมือนคุณซย่าจะไม่ยอมรับความกรุณาของฉันนะ” เขาเอนตัวพิงกับเก้าอี้และมองไปตามทางที่เธอเดินออกไป ชำเลืองไปทางชายท่าทางเคร่งขรึมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนที่ชายคนนั้นจะโผตัวเขาไปจับมือของเธอจากด้านหลังทันที เขาตรึงมือของเธอไว้กับแผ่นหลังจนเธองอตัวด้วยความเจ็บ หมดแรงจนเกือบลงไปกองกับพื้น
“เธอเป็นคนบังคับให้ฉันต้องใช้กำลังกับเธอเองนะ เดี๋ยวคนอื่นอาจจะมากล่าวหาว่าฉันทำรุนแรงกับเด็กสาวตัวเล็กๆ ได้” ประธานตู้ก้าวเข้ามาหาและตบเข้าที่หน้าของเธอเบาๆ
ถ้าเธอมีมีดอยู่ในมือตอนนี้คงจะคว้าออกมาฟันเขาโดยไม่คิดแน่ โชคร้ายที่ไม่เป็นเช่นนั้น เธอจึงทำได้แต่จ้องเขาเขม็ง “คุณตั้งใจจะทำอะไร”
เขายังคงกล่าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่ชอบทำร้ายคนอื่น แต่เพราะเธอปฏิเสธคำแนะนำของฉัน เลยต้องขอความร่วมมือจากเธอหลังจากนี้ครู่หนึ่งให้อยู่ดูการแสดงกับฉันสักหน่อย”
“คุณต้องการใช้ฉันเป็นเครื่องมือให้พี่ชายของฉันทำตามที่คุณต้องการสินะ” เธอถามขึ้น
“ไม่เลวนี่ เธอค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว”
“อย่างนั้นฉันว่าคุณยอมแพ้เสียเถอะ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตอบตกลง”
“สาวน้อย อย่าเพิ่งด่วนสรุปก่อนที่เขาจะมาที่นี่สิ เดี๋ยวเธอก็จะรู้เองล่ะว่าการแสดงจะเริ่มต้นเมื่อไหร่”
ประธานตู้คีบบุหรี่ไว้ในมือขณะที่เดินกลับไปนั่งที่เดิมก่อนหน้านี้ เธอถูกบังคับให้นั่งลงข้างเขา ใจอยากจะขยับออกห่างอีกนิดหลังจากนั่งลงแต่ก็สัมผัสได้ถึงโลหะเย็นๆ คมกริบที่จ่อประชิดอยู่ด้านหลัง
เธอหันกลับไปมองชายที่จ้องมาที่เธอพร้อมมีดในมือ
“คุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก แค่จะขยับตัวนิดเดียวเท่านั้น” เธอส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
เขายังคงมองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตรขณะที่เอาแต่นิ่งเงียบ
เธอชำเลืองมองไปทางซ้ายมือและเห็นว่าประธานตู้ต่อสายหาใครสักคน เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นนานก่อนที่คนปลายสายจะรับ
[สวัสดีครับ] น้ำเสียงเย็นชาของโม่หันดังมาจากอีกด้านของสายโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ทนายโม่ ผมประธานตู้นะครับ มาทานอาหารร่วมกับผมสักมื้อหน่อยสิครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
[ถ้าเกี่ยวข้องกับคดีของบริษัทเหรินต้าเมื่อวันก่อน ผมคิดว่าคงไม่จำเป็นนักหรอกครับ] โม่หันกำลังจัดการกับคดีการโอนย้ายหุ้นบริษัทอื่นอยู่ เขาไม่มีแรงจะมาต่อกรกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดและตั้งใจจะจบบทสนทนาจะได้วางสายเสียที
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธผมสิครับทนายโม่ คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ผมมาทานอาหารกับใครอยู่” คนพูดมองไปทางซย่าชิงอีที่กำลังก้มหน้ากินอาหารไม่หยุด เธอหิวเกินกว่าจะถือศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้เพื่อแลกกับอาหารตรงหน้า
คนฟังไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขามากนัก มันเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่เขาจะเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการกฎหมายมาเพื่อโน้มน้าวให้ตัวเองทำตามความต้องการของเขา
โม่หันเอ่ย [ผมไม่อยากรู้ครับ และขอให้ประธานตู้เข้าใจด้วยว่าผมได้ยื่นเอกสารทั้งหมดไปแล้วเรียบร้อย แค่นี้นะครับ]
“คุณจะไม่มาแม้ว่าน้องสาวของคุณจะอยู่ที่นี่น่ะเหรอ”
เขานิ่งค้างไปชั่วครู่ น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่างถนัดหูขณะที่ถามขึ้น [น้องสาวของผม? ซย่าชิงอี?]
“ใช่ครับ ทำไมผมถึงเพิ่งรู้ว่าคุณมีน้องสาวสวยขนาดนี้ล่ะ น่าเสียดายจริงๆ” อีกฝ่ายเอ่ยเย้าเขา
[คุณล้อผมเล่นอยู่เหรอ] เขากล่าวเสียงเย็นยะเยือก
“ผมจะล้อคุณเล่นทำไมล่ะครับ มา… ผมจะให้คุณฟังเสียง…” ประธานตู้ชี้ที่ไมโครโฟนและเลื่อนไปทางที่ซย่าชิงอีนั่งอยู่ ชายที่อยู่ในชุดสูทสีดำด้านขวามือของเธอใช้ปลายมีดแตะสะกิดเธอเบาๆ จนเธอสะดุ้งตกใจขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการกิน เธอโวยวายขึ้นมาทันที “เฮ้! … คุณทำอะไรน่ะ! … มันเจ็บนะ”
อีกฝั่งของสายโทรศัพท์ ปากกาที่โม่หันถือไว้ในมือหล่นลงพร้อมเสียงของเธอที่ดังขึ้น
ประธานตู้ส่งโทรศัพท์ให้เธอ “พูดอะไรกับพี่ชายของเธอหน่อยสิ”
เธอรับโทรศัพท์และแนบลงกับหู ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนว่าขึ้น “มา… ทานอาหารกับพวกเขาหน่อยค่ะ”
เขาสงบอารมณ์ตัวเองลง [เธอไม่เป็นไรใช่ไหม]
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ค่อนข้างสบายดีเลยเชียวล่ะ” เธอตอบ อยากจะพูดมากกว่านี้แต่อีกฝ่ายคว้าโทรศัพท์คืนไปแล้วก่อนกรอกเสียงลงไป “ทีนี้ทนายโม่จะเชื่อผมได้หรือยังล่ะครับ พักมือจากงานสักหน่อยแล้วออกมาทานอาหารกับผมได้หรือยังครับ”
[คุณอยู่ที่ไหน] โม่หันเอ่ยถาม
“ที่โอลด์เซี่ยงไฮ้ ไม่ไกลจากบริษัทของคุณนัก”
[เธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ อย่าทำร้ายเธอ]
“ดูคุณพูดเข้าสิทำเหมือนผมเป็นคนใจไม้ไส้ระกำอย่างนั้นแหละ ผมแต่อยากคุยเรื่องการทำงานร่วมกันของเราไม่ได้อยากจะทำร้ายใครเสียหน่อย”
[เดี๋ยวผมจะไปหาคุณ หวังว่าจะจำคำที่ตัวเองพูดไว้ได้นะครับ]
โม่หันไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งงานของเขาจะทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขารีบออกจากบริษัท ครั้งที่แล้วเขาทำให้เธอต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยสภาพเช่นนั้น ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอต้องเจ็บตัวเพราะเขาอีกเด็ดขาด
ไม่มีทาง
อย่างไรก็ตามเขาจะบุ่มบ่ามไปที่นั่นไม่ได้ เขาขับรถขณะที่บอกตัวเองให้ใจเย็นลงและคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบ เขาก็โทรหาเพื่อนทนายที่เขารู้จักในเมือง A
เขามาถึงโอลด์เซี่ยงไฮ้ในอีกยี่สิบนาทีถัดมา เมื่อมาถึงประตูทางเข้าก็เห็นคนสองคนก้าวมาหาเขาจากอีกด้านขณะที่บอกให้เขาเดินตามไป
เขาตามพวกมันไปที่ชั้นสองและเดินไปยังห้องส่วนตัวตรงกลาง ในจังหวะที่เขาเดินเข้าไปก็เห็นประธานตู้ ซย่าชิงอี และคนแปลกหน้านั่งอยู่ที่โต๊ะต่อหน้าเขา
มองไปทางซย่าชิงอีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เธอยังคงนั่งกินอาหารอย่างใจเย็นและทำเพียงมองมาที่เขาหลังจากเห็นว่าเขามาถึงแล้ว ก่อนที่จะกลับไปกินอาหารตรงหน้าต่อ
เขาโล่งใจเล็กน้อย ประธานตู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขายืนขึ้นและก้าวมาหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โอ้ ในที่สุดทนายโม่ก็มาถึงแล้ว”
เขาตอบกลับ “ผมคงไม่มาถ้าหากคุณไม่ใช้วิธีพิเศษเชิญผมมาแบบนี้”
อีกฝ่ายหัวเราะและหันกลับไปหยุดอยู่ด้านหลังซย่าชิงอี วางมือของเขาบนไหล่ของเธอขณะที่โน้มศีรษะลงมาใกล้เธอ “ผมอดจะพูดไม่ได้เลยว่าน้องสาวของทนายโม่ช่างสวยจริงๆ แม้แต่ผมที่เคยเห็นผู้หญิงสวยๆ มาทั่วโลกแล้วยังอดสนใจเธอไม่ได้”
ดวงตาของโม่หันฉายแววเกรี้ยวกราด “เอามือของคุณออกไป”
ซย่าชิงอีอดแอบถอนหายใจในใจเงียบๆ ไม่ได้ มือทั้งสองข้างที่กำลังวางอยู่บนไหล่ของเธอก็เหมือนกับหินหนักๆ ยังมีมีดที่จ่ออยู่ด้านหลังเธออีก ดูเหมือนว่าเธอจะกินอาหารต่อไม่ได้อีกแล้ว
อีกฝ่ายยักคิ้วขึ้นพลางยกมือขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยทนายโม่ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
เขาว่าขึ้น “เธอไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของเรา ปล่อยเธอไปและผมจะตกลงเจรจากับคุณ”
“ดูทนายโม่พูดเข้า ผมเกรงว่าคงจะไม่ได้พบคุณอีกจนกระทั่งตอนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้องสาวของคุณ”
ชายสูงอายุยังคงยืนอยู่ด้านหลังเธอพร้อมหยิบมีดจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ ค่อยๆ จ่อแนบไปที่ลำคอของเธอพลางจ้องมองเธออย่างไร้ความปรานี “ผมอยากจะคุยกับพวกคุณอย่างเปิดเผยและให้ทุกอย่างที่พวกคุณต้องการ แต่พวกคุณสองพี่น้องกลับทำเหมือนกันไม่มีผิด! พวกคุณนี่มันช่างดื้อด้านจริงๆ!”
เขากลั้นหายใจขณะที่จ้องมองมีดที่จ่ออยู่ที่ลำคอของเธอ หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ขยับเข้าไปอย่างระมัดระวัง “เรายังเจรจาเรื่องสิ่งที่คุณต้องต้องการกันดีๆ ได้ ผมจะเก็บเอาไปคิด วางมีดลงก่อนและเราจะได้นั่งคุยรายละเอียดเรื่องนี้กัน”
อย่างไรก็ตามซย่าชิงอีกลับไม่ได้ตื่นตระหนกกับการที่ประธานตู้จ่อมีดเข้าที่ลำคอของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอเหลือบมองมีดที่กดอยู่ที่ลำคอขณะที่เอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยชา “อย่าหวังเลย เป็นไปไม่ได้หรอก เขาไม่มีทางตกลงเรื่องนี้กับคุณแน่”