เธอลงเอยด้วยการยันตัวกับเตียงเพื่อลุกขึ้น เสียวเหยี่ยวิ่งเข้ามาช่วยพยุงเธอไว้ ชายคนนั้นลุกโซเซขึ้นมาจากพื้น “โอ๊ะ… พวกของเธอมาช่วยแล้วสินะ… น่าเสียดาย… แต่ว่าเรื่องมันยังไม่จบหรอกนะ เดี๋ยวคนของฉันก็จะมาถึงแล้ว”
เสียวเหยี่ยว่าขึ้น “ฉันไม่ต้องใช้เวลาในการกำจัดพวกแกนานขนาดนั้นหรอก”
เธอประคองตัวยืนขึ้นและพิงตัวเกาะเสียวเหยี่ยไว้ รู้สึกเวียนหัวในขณะที่ใบหน้าซีดเซียวลง เธอต้องจับแขนของอีกฝ่ายไว้เพื่อพยุงตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยหวังว่าจะมีเรี่ยวแรงที่จะคงสติของตัวเองเอาไว้
เสียวเหยี่ยคงจะรู้สึกถึงแรงจับของเธอจึงหันมามอง “พี่ลิน่า ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อใจผมได้เลย พี่พักก่อนเถอะ”
ฝ่ายตรงข้ามคว้ามีดมาจากที่ไหนสักแห่งและพุ่งเข้าไปหาพวกเขา เสียวเหยี่ยยังคงพูดกับเธออย่างไม่ได้ระวังตัวด้วยความด้อยประสบการณ์ เธอผลักเขาออกไปในขณะที่กำลังคิดว่าจะรับมือกับชายตรงหน้าเหมือนอย่างที่เคยทำ
เสียวเหยี่ยหันไปมองอย่างเกรี้ยวกราดหลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น รีบกระโดดถีบชายคนนั้นจากด้านข้าง แต่เขากลับหลบได้และจับเสียวเหยี่ยกดลงบนพื้น ทั้งคู่กลิ้งไปมาบนพื้นในขณะที่ต่อสู้กัน
ทว่าเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป ใช้เรี่ยวแรงที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยผลักเสียวเหยี่ยออกไป ดวงตาของเธอฉายแวววูบไหวและได้ยินเพียงเสียงหอบหนักๆ และเสียงล้มลงบนพื้นของตัวเอง
เธอนอนนิ่งลงไปกับพื้นเหมือนคนตายอีกครั้ง ท่ามกลางภาพเลือนรางดูเหมือนเธอจะเห็นนายน้อยสามมาถึง
เธอยิ้ม ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้แม้แต่ในภาพหลอนของเธอกันนะ
ซ่งเนี่ยนมู่สลบลงไปอย่างไร้ซึ่งสติหลงเหลืออยู่
เมื่อเธอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล รู้สึกว่ามันคงเป็นภาพหลอนของตัวเองเช่นกัน คนอย่างเธอจะมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร
เธอถูกทิ้งให้กองอยู่บนพื้นเพียงลำพังในบ้านหลังเล็กๆ ที่มืดมิด แม้แต่ตอนที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสตอนอายุสิบสอง อวัยวะภายในของเธอบอบช้ำและแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เปลือกตาของเธอกะพริบขึ้นลงไม่กี่ครั้งก่อนที่เธอจะกัดลิ้นตัวเอง ตอนนั้นเองที่เธอรู้ว่าไม่ใช่ภาพหลอน กลิ่นยาจางๆ ที่โชยไปทั่วในอากาศเป็นเรื่องจริง
“ฟื้นแล้วเหรอ”
เธอมองไปทางด้านข้างและเห็นนายน้อยสามที่นั่งอยู่ข้างเตียงของเธอตัวเป็นๆ
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับจางลี่ที่นั่นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว” น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งและเฉยชา
จากนั้นซ่งเนี่ยนมู่จึงนึกขึ้นได้ว่าจางลี่คือชายร่างท้วมที่อยู่ที่โรงแรม เธอลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล อาการเวียนศีรษะยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง “ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วคะ”
“เธอสลบไปสองวัน”
ท่าทีของเธอเรียบเฉยและพิงตัวกับกำแพง สายตาก้มมองผ้าห่มสีขาวบนตัว ก่อนเอ่ยขึ้นหลังจากนั้นครู่ใหญ่ “ฉันขอโทษค่ะ… ที่ทำเสียแผน”
เธอกล่าวเสริม “ฉันไม่น่าดื่มน้ำแก้วนั้น”
อีกฝ่ายฮึมฮัมขึ้น “ฉันไม่ได้บอกก่อนหน้านี้ว่าไม่ให้ดื่มน้ำที่คนอื่นยื่นให้เธอเหรอ”
เธอไม่ได้พูดแก้ตัวใดๆ “ฉันขอโทษค่ะ… ฉันจะไม่ทำอีก”
“เธอหิวน้ำเหรอ”
เธอก้มหน้าและนิ่งเงียบ
“ครั้งต่อไปถ้าเธอหิวน้ำจำไว้ว่าให้ดื่มน้ำที่เธอเติมเอง และอย่าทำแผนพังเวลาทำภารกิจอยู่อีก!” เขากัดฟันพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอพยักหน้ารับคำของเขา
นายน้อยสามลุกขึ้นและก้าวไปทางประตู ก่อนที่เขาจะเดินออกไปเขาหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูและว่าขึ้นทั้งยังหันหลังให้เธอ “เธออยู่ที่นี่มาเจ็ดปีแล้ว ฉันไม่อยากกลับไปสั่งสอนเธอเรื่องพื้นฐานหรอกนะ”
หลังจากเขาจากไป เธอก้มมองมือของตัวเองและจ้องมองไปที่จุดหนึ่งเนิ่นนาน ก่อนจะค่อยๆ ได้สติกลับมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่หล่นร่วงลงมา
เธออยู่ที่นี่มาเจ็ดปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอก็ไม่เคยเสียน้ำตาแม้สักหยด ทว่าในวันนี้เธอร้องไห้ออกมาเพียงเพราะถูกเขาต่อว่าไม่กี่คำเช่นนี้
เมื่อครุ่นคิดแล้วอาจเพราะว่าเธอรักเขามากเกินไปก็เป็นได้
มีคนอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่ทำให้ตัวเองทุกข์ทรมานเพราะพวกเขารักใครบางคนมากเกินไปเหมือนเช่นเธอในตอนนี้
พวกเขาบางคนอาจค่อยๆ เปลี่ยนไปเพราะได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกกับคนอื่น ความรู้สึกที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสุขสันต์เปรมปรีดิ์ ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าเธอไม่มีทางเหมือนพวกเขาเหล่านั้นและคงต้องถูกกักขังในห้วงความทุกข์ทรมานนี้ไปตลอดชีวิต
นายน้อยสามช่ำชองในการให้ความหวังกับผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาเขา ในตอนที่เธอรู้ว่าตัวเองตกหลุมรักเขาก็รู้ว่าเรื่องระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีทางเป็นไปได้
เสียวเหยี่ยเข้ามาหลังจากที่นายน้อยสามออกไปไม่นาน เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่งยิ้มมาให้ในขณะที่เดินเข้ามาหา มือที่พันแผลไว้ยังถูกห้อยไว้กับแถบผ้าที่คล้องคออยู่
ในตอนนั้นเธอกำลังยืนพิงหน้าต่าง สายตามองไปยังทิวทัศน์ด้านนอก
“ขอบใจที่ช่วยฉันไว้วันนั้น” เธอขอบคุณที่เขามาช่วยเธอไว้ได้ทันเวลา
อีกฝ่ายเกาศีรษะและเอาแต่ยิ้มมาให้ขณะที่จ้องมองมาที่เธอ ท่าทางดูละอายเล็กน้อย “วันนั้นผมไม่ได้ทำอะไรมากเลยครับ เป็นนายน้อยสามที่เข้ามาจัดการกับเขาหลังจากนั้น”
เธอมุ่นหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักก่อนมองไปที่เขา
เขาอธิบาย “วันนั้นตอนที่พี่สลบไปแล้วนายน้อยสามก็เข้ามาพอดี เขาทุ่มตัวผู้ชายคนนั้นเข้าใส่กำแพงและซ้อมเขาจนเกือบตายตอนที่เห็นพี่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ระหว่างทางจะไปถึงที่นั่นเขายังจัดการลูกน้องที่ชายคนนั้นเรียกมาทั้งหมดและส่งพี่มารักษาที่โรงพยาบาล”
คำพูดของเสียวเหยี่ยทำให้เธออึ้งไป “เธอกำลังจะบอกว่า… นายน้อยสามซ้อมเขาด้วยตัวเองเหรอ”
“ใช่ครับ” อีกฝ่ายตอบ “ตอนแรกผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ผมอยู่ที่นี่มานานแต่ก็ไม่เคยเห็นเขาลงมือด้วยตัวเองเลยสักครั้ง ทีแรกผมยังคิดว่าเขาต่อสู้ไม่เป็นด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินที่เขาพูดเธอก็นิ่งเงียบไป คิดมาตลอดว่าที่เห็นนายน้อยสามก่อนที่เธอจะหมดสติไปเป็นเพียงสิ่งที่คิดไปเอง ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาจะเข้ามาช่วยเธอจริงๆ
ในที่สุดเสียวเหยี่ยที่เห็นเธอก้มหน้าครุ่นคิดและดูท่าทางอัดอั้นตันใจก็เอ่ยถาม “พี่ลิน่า… พี่ชอบนายน้อยสามใช่ไหมครับ”
คนถูกถามจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
“ทุกครั้งที่เขาจองโรงแรมเพื่อไปกับผู้หญิงพวกนั้น ผมเห็นพี่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ แม้ว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น… แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า… พี่ดูเศร้า”
คนอื่นๆ ทำตัวอย่างไรเมื่อความลับของพวกเขาถูกเปิดเผยกัน เธอควรจะยืนกรานปฏิเสธหรือเถียงกลับเสียงแข็งไม่ใช่หรือ ทว่าเธอกลับมีท่าทีเฉยชา
เมื่อเห็นว่าเธอยังคงนิ่งเงียบ เขาก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยและยกมือขึ้นเกาจมูก “ผมขอโทษ… ผมพูดมากเกินไปแล้วใช่ไหม”
เธอกล่าวออกมาในท้ายที่สุด “เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“น่าจะสักช่วงปีก่อนมั้งครับ” เขาถามกลับ “พี่ได้บอกเขาหรือเปล่าครับ”
“เธออยากให้ฉันตายเหรอ” เธอยิ้ม
เขาตกใจเล็กน้อย “มันคงไม่ใช่เรื่องจริงจังขนาดนั้นมั้งครับ”
“เขาไม่เคยปล่อยให้คนรอบตัวมีความคิดเป็นอื่นกับเขา ฉันเคยเห็นพวกผู้หญิงที่เขาเคยยุ่งเกี่ยวด้วย ไม่มีใครที่ลงเอยด้วยดีสักคน” เธอยิ้มขึ้นอย่างสิ้นหวัง “ฉันไม่อยากเป็นหนึ่งในพวกหล่อนหรอกนะ”
“แล้วถ้าหากว่า… นายน้อยสามก็คิดว่าพี่เป็นคนพิเศษเหมือนกันล่ะครับ”
เธอส่ายศีรษะ “ไม่มีทางหรอก… ให้เชื่อว่าเขาจะปล่อยฉันไปสักวันยังจะเป็นไปได้มากกว่าให้เชื่อแบบนั้นอีก”
จู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายที่ไม่เคยได้สัมผัสก่อนที่ความลับของเธอจะถูกเปิดเผย เธอเก็บงำความลับนี้ไว้เพียงลำพังมานานหลายปีและไม่มีใครพูดถึงมันมาก่อน ยังเคยคิดว่าหากพูดมันออกไปคงต้องเกิดเรื่องใหญ่กับเธอแน่ แต่ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองสามารถพูดถึงเรื่องนี้ด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้ได้
“ถ้าอย่างนั้นพี่จะอยู่… แบบนี้ต่อไปเหรอครับ”
“ไม่หรอก” เธอไม่ได้พูดอีกครึ่งประโยคที่เหลือออกไป ประโยคที่ว่าขอเวลาฉันอีกหน่อย
เพียงขอเวลาอีกสักหน่อย เดี๋ยวฉันก็คงสามารถกลบฝังความคิดนี้ได้เอง
นายน้อยสามจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้ เธอต้องรีบกำจัดมันก่อนที่เขาจะรู้เรื่องนี้
เสียวเหยี่ยรับปากกับเธอว่าจะไม่ทำให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล เธอก็กลับมาทำงานให้กับนายน้อยสาม ดูเหมือนชีวิตของเธอจะกลับมาเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นมา
ทว่าในที่สุดบางสิ่งก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากที่เธอเล่าทุกอย่างให้เสียวเหยี่ยฟัง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดูจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น อีกฝ่ายชอบเข้ามาคุยกับเธอมากขึ้น หลังจากที่ทำภารกิจที่ถูกมอบหมายเสร็จเรียบร้อย เขาก็มักจะมาอยู่กับเธอเสมอและพูดคุยไม่หยุด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขซึ่งเธอไม่รู้ว่ามีที่มาจากไหน
หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล ดูเหมือนรอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของเธอบ่อยขึ้น เธอชอบที่จะพูดคุยกับเสียวเหยี่ย แม้ว่าจะไม่ได้เป็นฝ่ายพูดนักแต่ก็เพลิดเพลินกับการฟังเขาพูดในขณะที่ทำงานของตัวเอง
ตอนแรกเธอวางเสียวเหยี่ยไว้ในฐานะน้องชายคนหนึ่ง แม้ว่าเธอจะไม่เคยมีสักคนก็ตามแต่ก็รู้สึกว่าหากมีน้องชายสักคนเขาคงต้องเป็นเหมือนเสียวเหยี่ยแน่ เธอมั่นใจ
ผู้คนรอบข้างต่างสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ เธอรู้ดีว่าพวกเขาคงกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ตัวเธอเองไม่ได้สนใจนักและไม่คิดจะเอ่ยแก้ตัวใดๆ คนคงคิดไปไกลมากกว่าเดิมหากเธอทำเช่นนั้น
และเธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าวันหนึ่งนายน้อยสามจะมาถามเธอว่ากำลังคบหากับเสียวเหยี่ยอยู่เหรอ เขาบอกให้เธอจบความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดหากพวกเขาคบกันจริงๆ เธออดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเธอคบหากับใครสักคนจริงๆ เขาจะพูดเช่นนี้และทำลายความสัมพันธ์ที่เธอมีกับคนรอบตัวหรือไม่
หรือเขาหวังให้เธอเป็นเพียงนักฆ่าผู้เลือดเย็นที่ใช้ความสวยในการล่อลวงหัวใจของผู้ที่พบเห็น เหมือนกับเธอเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
เธอไม่สามารถอดกลั้นความต้องการของตัวเองและเอ่ยถามเขาออกไปเป็นครั้งแรก