ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 191 ฉันกำลังจะตาย

ตอนที่ 191 ฉันกำลังจะตาย

เธอชำเลืองมองเขาเหมือนกับกำลังจะสั่งสอนน้องชายของตัวเอง ตอนนั้นเองที่เสียวเหยี่ยเอ่ยขึ้นมา “ก็ได้ครับๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะโทรหาและรอให้พี่มาช่วยผมแล้วกัน”

ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดในวันนั้น เธอยังคงจำได้ดี

ในวันที่นัดพบกันเธอคอยอยู่ในซอยเล็กๆ อยู่ๆ จังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกในวันนั้น ได้แต่คิดว่าคงเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ จนมาเข้าใจว่านั่นเป็นลางบอกเหตุหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเสียแล้ว

เธอเฝ้ารออยู่เป็นเวลานานและเอาแต่เดินวนไปมาในซอย มือแตะอยู่ที่โทรศัพท์ในกระเป๋าไม่ห่างอย่างรอให้ใครสักคนโทรหาและบอกเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ขอแค่มีใครสักคนบอกเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม

จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง เธอก็เห็นลูกน้องที่ติดตามนายน้อยสามไปเมื่อช่วงบ่าย

เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอและดูท่าทางไม่ค่อยดีนัก เธอรู้ได้ทันทีคงว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น” เธอเอ่ยถาม

“นายน้อยสามสั่งให้ฉันมาพาเธอกลับ”

“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น!”

เขาไม่ปริปากออกมาสักคำ ทำเพียงเข้ามาดึงแขนและลากเธอออกไป

เธอสะบัดแขนออกจากแรงจับของอีกฝ่ายและลั่นถาม “ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น!”

เขายังคงนิ่งเงียบและจับตัวเธอเอาไว้

“ฉันอยากเจอพวกเขา! นายน้อยสามอยู่ที่ไหน แล้วเสียวเหยี่ยล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดอะไรสักอย่างสิ! พวกเขาอยู่ที่ไหน” เธอเกือบจะร้องครวญครางออกมา

มีเพียงประโยคเดียวจากปากของเขาที่ก้องอยู่ในหูของเธอ “ฉันขอโทษ”

ในตอนนั้นเองที่ทั้งโลกของเธอดับวูบลง

ไม่มีสิ่งใดปรากฏอยู่รอบตัวเมื่อเธอฟื้นขึ้นมาเหมือนเช่นเมื่อหลายปีก่อน เธอเวียนศีรษะเล็กน้อยและทำให้เธอรู้สึกราวกับย้อนเวลาไปในอดีต ก่อนที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะหมดสติไปขึ้นได้ทันทีและรีบลุกขึ้นนั่ง ต้องการจะออกไป ทว่ากลุ่มคนจากด้านนอกรีบเข้ามารั้งให้เธอลงไปนอนตามเดิม

“ฉันอยากเจอนายน้อยสาม” เธอว่าขึ้น

“นายน้อยสามไม่สะดวกให้คุณพบตอนนี้” อีกฝ่ายตอบกลับ

“อย่างน้อยพวกนายก็ควรบอกให้ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง! ทำไมต้องเอาแต่ซ่อนตัวฉันไว้และไม่ให้ฉันออกไปด้วย”

ทั้งหมดเป็นคำสั่งของนายน้อยสาม

เธอถูกกักขังไว้เป็นวันก่อนที่จะหลบหนีออกมาจากที่นั่นอย่างทุลักทุเล เธอกลับไปที่ไนต์คลับที่เธอไปเป็นประจำเพื่อตามหาเสียวเหยี่ย หากเขากลับมาแล้วเขาต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ ทุกคนต่างไม่ยอมบอกเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เสียวเหยี่ยจึงเป็นคนเดียวที่จะตอบคำถามเธอได้ เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปเสียแล้ว

เจ้าของไนต์คลับที่เธอไปบอกเธอเช่นนั้น เขาบอกว่าเห็นศพของเสียวเหยี่ยถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวด้วยตาของตัวเอง ทั้งร่างมีแต่บาดแผลและเต็มไปด้วยเลือด อันที่จริงแล้วเขาถูกช่วยไว้ไม่ทันเวลาเมื่อไปถึงโรงพยาบาล และใบมรณภาพได้ถูกออกในชั่วโมงต่อมาหลังจากนั้น

เธอนิ่งงันไปเมื่อได้ยินดังนั้น คำพูดเดียวที่ดังก้องอยู่ในหูคือเสียวเหยี่ยตายแล้วและดูเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งใดที่อีกฝ่ายเอ่ยอีกต่อไป มันดังวนไปมาในโสตประสาทไม่หยุด

เธอไปหานายน้อยสามซึ่งอยู่ที่ห้องไอซียู เปลือกตาของเขาปิดสนิทพร้อมสายท่อมากมายที่สอดกับร่างของเขา

ภาพที่ทำให้เธอไม่กล้ามองต่อหลังจากที่ได้เห็นเพียงครู่เดียว เธอหันหลังให้เขาขณะที่ยกมือปิดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงใดออกมา ฟุบหน้าลงกับท่อนแขนและอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน

เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองผ่านคืนวันหลังจากนั้นมาได้อย่างไร เธอไม่ได้ไปหาเสียวเหยี่ยเป็นครั้งสุดท้ายและยังไม่ได้ไปงานศพของเขาด้วย คิดว่าเธอต้องทำใจยอมรับว่าเสียวเหยี่ยตายไปแล้วจริงๆ หากทำเช่นนั้น มันเป็นความจริงที่ไม่อยากจะรับรู้ เธอเอาแต่นั่งอยู่บนหลังคาและปล่อยให้สายลมพัดผ่านเธอไป ลมเย็นที่โชยมาแม้จะชวนให้รู้สึกสบายใจขึ้นหากแต่ก็พาให้เธอหวนนึกถึงความทรงจำของสิ่งที่ผ่านมาแล้วเนิ่นนาน

อันที่จริงเรื่องราวเหล่านั้นทำให้เธอเข้าใจบางอย่างขึ้น

ปัญหาเรื่องการขนส่งสินค้ายังไม่ได้รับการแก้ไขและยังอยู่ในเงื้อมมือของหวังเซิง นายน้อยสามช่วยนายใหญ่และหัวหน้ารองไว้ได้ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่บ้านเพื่อหลบซ่อนตัว และไม่มีใครรู้ว่าหวังเซิงจะปรากฏตัวขึ้นอีกเมื่อไร

นายน้อยสามยังอยู่ในห้องไอซียูเป็นเวลาเก้าวัน เธอไปเยี่ยมเขาในวันที่เขาถูกย้ายตัวไปห้องคนไข้ปกติ ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นตัวดีนัก หนวดเคราซึ่งขึ้นรกที่คางทำให้เขายิ่งดูโทรมลงไปอีก

เธอเอ่ย “ฉันไปแล้วนะคะ นายน้อยสาม”

เขานิ่งฟังเธอ

“ฉันจะไปหาหวังเซิง จะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

เธอยังคงว่าต่อ “นายใหญ่และหัวหน้ารองไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะทำหน้าที่นี้ได้ พวกเขาไม่รู้ว่าหวังเซิงจะมาก่อเรื่องวุ่นวายให้เขาอีกเมื่อไหร่ ต้องมีใครสักคนที่ไปจัดการก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“ถ้าครั้งนี้ฉันตายด้วยน้ำมือของหวังเซิง ช่วยรับมันไว้ในฐานะค่าตอบแทนที่ช่วยฉันไว้คราวนั้นด้วยนะคะ ถ้าฉันโชคดีรอดชีวิตมาได้ก็ช่วยปล่อยให้ฉันได้ไปใช้ชีวิตแบบคนปกติด้วยเถอะค่ะ”

อีกฝ่ายปฏิเสธเธอก่อนกล่าวขึ้น “ฉันจะจัดการเรื่องหวังเซิงหลังจากที่อาการดีขึ้นเอง”

“ฉันรู้ว่าดูเหมือนว่าตัวเองจะเข้าใจหลายๆ อย่างได้ในเวลาสั้นๆ ” น้ำเสียงของเธอเรีบเฉยในขณะที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“เธอหมายความว่ายังไง” เขาจ้องมองมาที่เธอ

“ว่ากันตามจริง ฉันก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมตอนนั้นคุณถึงให้เสียวเหยี่ยไปขับรถให้ จนเมื่อหลายวันก่อนฉันถึงเพิ่งจะรู้”

เขามองมาทางเธอแต่กลับมองเลยไปด้านหลังผ่านสายตาของเธอไป

“ก่อนหน้านี้เสียวเหยี่ยเคยบอกฉันว่ามีชายแก่คนหนึ่งแอบเฝ้ามองเขามาสักพักแล้ว เขาบอกว่าฝ่ายนั้นดักรอเขาอยู่ที่ที่เขาเคยอยู่และอยู่ใกล้ตัวเขามาก่อน พอฉันรู้ว่าเขาตายไปเมื่อหลายวันก่อน อยู่ๆ ฉันก็คิดได้ว่าชายแก่คนนั้นน่าจะเป็นหวังเซิง”

เธอเอ่ยลั่นออกมา “คุณรู้ว่าหวังเซิงชอบเสียวเหยี่ยใช่ไหม คุณเลยพาเขาไปด้วยเพราะคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรรุนแรงเหมือนอย่างที่เคย”

คนฟังว่าเธอเสียงหนัก “เธอพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน!”

เธอมองท่าทีของเขาและยกยิ้ม เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขาอย่างปิดไม่มิด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอคิดว่าเขาคงไม่คิดว่าเธอจะรู้เรื่องนี้ด้วย เขาจึงไม่สามารถหลบซ่อนความรู้สึกของตัวเองในช่วงกะทันหันแบบนี้ได้

“นายน้อยสามค่ะ สิ่งที่คุณทำช่วยรักษาฉายายาพิษหมายเลขสามไว้ได้นะคะ”

ท่าทางของเธอดูนิ่งเฉยและยังคงส่งยิ้มให้เขา แต่เธอกลับเอาแต่ยิ้มและเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า อยู่ๆ ก็นึกถึงเสียวเหยี่ยขึ้น เขาคิดอะไรอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตกัน เขาจะหวังให้เธอไปช่วยเขาหรือเปล่า

เขาไม่รู้ว่านายน้อยสามใช้เขาเป็นเครื่องมือจนกระทั่งเขาตายใช่ไหม ดีแล้วที่เขาไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น เธอแทบนึกไม่ออกว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรหากรู้เรื่องนี้เข้า

เธอเอ่ย “ฉันจะพยายามจัดการเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายให้คุณอย่างดีที่สุดค่ะ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม เราทั้งสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไปแล้ว

“นายน้อยสาม ถ้าฉันเป็นคุณฉันจะไม่ห้ามฉัน และคุณก็ห้ามฉันไม่ได้ด้วย คุณรู้ดีว่าฉันก็เหมือนกับคุณ เราจะไม่เปลี่ยนใจหากตัดสินใจลงไปแล้ว

“ต่อไปไม่ว่าฉันจะมีชีวิตรอดหรือตายไปก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีกแล้ว”

ในที่สุดเขาก็กล่าวท้วงออกมา “เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าจะทำแบบนี้”

เธอพยักหน้ารับ

อีกฝ่ายว่าขึ้นหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ “ฉันหวังว่าเธอจะมีชีวิตรอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถ้าเธอรอดไปได้ก็ออกไปใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการซะ ฉันจะไม่ไปยุ่มย่ามในชีวิตของเธออีกต่อไป”

เธอไปที่ห้องของเสียวเหยี่ยหลังจากแยกจากนายน้อยสามมา เก็บห้องและข้าวของที่เขารักไว้ในกล่องใบใหญ่และเอาไปเก็บไว้ในห้องของตัวเอง แม้แต่ปลาทองที่เขาเลี้ยงไว้เธอก็เอามันไปปล่อยในบึง

จากนั้นจึงมาเก็บห้องของตัวเองก่อนที่เธอจะจากไป ซ่อนกล่องของเสียวเหยี่ยไว้ที่มุมลึกที่สุดในห้องเก็บของซึ่งจะไม่มีใครได้สัมผัส เก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด

เธอไปพบหวังเซิงพร้อมปากกาบันทึกเสียงที่พกไปด้วยและไม่มีอาวุธติดตัว ยืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายซึ่งมีลูกน้องเรียงรายอยู่ด้านหลัง เขามองเธออย่างไม่ใส่ใจนักตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ คงคิดว่าเธอไร้พิษสงและพาตัวเองมาตายเสียมากกว่า

เธอส่งยิ้มแต่ไม่ได้พูดออกไปว่าเขาคิดผิดเสียแล้ว เธอไม่ได้เพียงพาตัวเองมาตายที่นี่แต่เพื่อส่งเขาไปตายด้วยเช่นกัน

เธอไม่เคยจู่โจมใครโดยที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อน เธอล่อลวงเขาให้ไปคุยกันเพียงลำพังและแอบกดปากกาที่ซ่อนไว้ที่หน้าอกเพื่อบันทึกเสียง หลอกให้เขาพูดข้อมูลมากมายก่อนจะกดปากกาเบาๆ อีกครั้งเพื่อส่งคลิปเสียงไปให้ตำรวจ

หลังจากนั้นจึงหยิบปากกาอีกด้ามที่หน้าตาเหมือนกันซึ่งไม่มีคลิปเสียงขึ้นมาโบกไปมาต่อหน้าเขา บอกว่าเขาคงจะต้องถูกจับกุมไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจพรุ่งนี้

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มและลั่นออกมาว่าการกระทำของเธอมันเปล่าประโยชน์ เขามีเส้นสายในวงการตำรวจมากมายไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

เธอยกยิ้มตอบเช่นกันก่อนค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเขา ใช้สองมือถือปากกาเอาไว้เหมือนกับจะส่งให้เขา ในชั่วพริบตาหลังจากนั้น เธอปิดปากเขาไว้และกดที่ก้นปากกาอย่างรวดเร็วพร้อมกับมีดที่โผล่พ้นออกมาจากด้านล่าง ก่อนที่จะปักมันลงที่ตำแหน่งหัวใจของฝ่ายตรงข้าม

หวังเซิงเบิกตากว้างจ้องมองมาที่เธอ มือของเขาจับที่แขนของเธอ ทิ้งรอยเลือดให้ประทับอยู่บนนั้นแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด ในจังหวะที่เขาล้มลงเธอพูดประโยคหนึ่งเบาๆ กับตัวเอง “ฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าแกเท่านั้น”

เขานอนอยู่บนพื้นในขณะที่เธอใช้เท้าเหยียบมีดให้จมลึกเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่าย

เสียงโกลาหลดังขึ้นจากทางเข้าพร้อมกับลูกน้องของหวังเซิงที่บุกเข้ามา

ในตอนที่เธอเห็นพวกมันวิ่งเข้ามาหา เธอยิ้มราวกับเห็นชะตากรรมของตัวเอง

เธอคงต้องตายด้วยน้ำมือของคนเหล่านี้เป็นแน่ คนที่มือเปื้อนเลือดมาตลอดเหมือนกับเธอ

คงต้องมองพวกมันฆ่าเธอและเลือดที่ไหลนองออกมาจนกระทั่งไม่หลงเหลืออยู่ในร่างต่อหน้าตาต่อตาตัวเอง และไม่มีทางที่จะรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้

ซ่งเนี่ยนมู่คงต้องจบชีวิตลงที่นั่นในวันนั้น เธอเชื่ออย่างนั้นอยู่ลึกๆ ในใจ

ชายคนหนึ่งตรงเข้ามาหาเธอพร้อมมีดสั้นในมือ มีดสั้นที่คมกริบนั้นฟันลงที่หน้าอกของเธอ เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจากบาดแผล คนรอบตัวยิ่งพุ่งเข้ามาทำร้ายเธออย่าไร้ความปรานีหลังจากเห็นว่าเธอได้รับบาดเจ็บ หมัดหนักๆ ที่กระแทกเข้าที่ร่างครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงขีดจำกัดของร่างกาย ก่อนที่เธอจะค่อยๆ ล้มลงไปนอนจมกองเลือดบนพื้น

นั่นเป็นภาพความทรงจำสุดท้ายของเธอ ความทรงจำสุดท้ายของซ่งเนี่ยนมู่และลิน่า

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด

เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง

เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ”

เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท