อารมณ์หงุดหงิดของโม่หันพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาไม่พอใจตั้งแต่ที่นายน้อยสามอยู่ในอดีตแล้ว ทั้งเขายังแอบสืบเรื่องระหว่างซย่าชิงอีกับตัวเองอีก “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องระหว่างผมกับเธอ ตอนนี้เธออยู่กับผมและผมก็ดูแลเธออย่างดี มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว คุณไม่ต้องมาห่วงเรื่องนี้หรอกนะครับ”
“ถึงยังไงผมก็อยู่ในคุกและก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้แล้ว” นายน้อยสามยกกุญแจมือขึ้นมาให้เขาดู “คุณพูดถูก ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต มีแค่คุณที่มีสิทธิ์พูด”
แววผิดหวังค่อยๆ ปะปนมาในน้ำเสียงของเขา “เธอรักผมมาหกปีและเป็นช่วงเวลาหกปีที่ทุกข์ทรมานเช่นกัน ผิดกับตอนที่อยู่ข้างคุณที่ทำให้เธอมีรอยยิ้มได้ในทุกๆ วัน”
เขายังคงเอ่ยกับตัวเองต่อ “อันที่จริงแล้วผมอยากจะคบกับเธอตั้งแต่ที่เธอบอกว่ารักผมมากว่าหกปี แต่เพราะว่าไม่สามารถให้เธอใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการได้เลยได้แต่ปล่อยเธอไป”
นายน้อยสามเงยหน้ามองโม่หันด้วยท่าทางจริงจัง “ต่อไปช่วยดูแลเธอให้ดีด้วยนะครับ”
คนฟังมองเขากลับและนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
เวลาในการเข้าเยี่ยมหมดลงหลังจากนั้น นายน้อยสามตามเจ้าหน้าที่กลับไปที่เรือนจำ ด้านโม่หันลุกขึ้นและเดินออกจากสถานีตำรวจไป
ช่วงราวๆ หนึ่งทุ่มซึ่งเลยจากเวลาที่รับปากว่าจะมารับซย่าชิงอีไว้มาก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นสายที่ไม่ได้รับสี่สายจากเธอก่อนจะกดโทรกลับ
“ตอนนี้เธออยู่ไหน” เขาเอ่ยถาม
[ฉันอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ] อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังนั่งอยู่บนโซฟา
“พี่ขอโทษ… มีธุระกะทันหันแทรกเข้ามาเลยเลิกงานช้า พี่ขับรถอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”
เธอไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก [ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ก่อนฉันก็กลับบ้านเองตลอดอยู่แล้ว ครั้งหน้าถ้าพี่ยุ่งก็ไม่ต้องมารับฉันก็ได้นะคะ วุ่นวายเปล่าๆ]
“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
คนปลายสายยกยิ้ม [ฉันไม่ได้งอนพี่นะคะ พี่ไม่ต้องมารับฉันก็ได้แค่กลับมาบ้านเร็วๆ ก็พอแล้วล่ะค่ะ]
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็กำโทรศัพท์ในมือแน่น เขาไม่อาจปล่อยให้เธอจากเขาไปได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ปล่อยให้เธอจากเขาไป
ในตอนนั้นนั่นคือความคิดเดียวในใจของเขา
“งั้นเดี๋ยวพี่รีบกลับไปนะ” เขาว่าขึ้น
[อ่า… อย่าลืมซื้อเกี๊ยวจิ๋วที่โจวจี้มาด้วยนะคะ ฉันหิวแล้ว] เธอออดอ้อนเขาเหมือนอย่างเคย
“ได้ เดี๋ยวจะซื้อบิสกิตถั่วแดงเข้าไปให้ด้วยแล้วกัน”
[ไม่ต้องซื้อมาเยอะมากนะคะ ถ้าพี่กินตอนดึกๆ เดี๋ยวก็อ้วนเอาหรอก] เธอบ่นเขา
ความไม่สบายใจจากการพบกับนายน้อยสามค่อยๆ จางหายไปหลังจากพูดคุยกับเธอเพียงไม่กี่ประโยค ซย่าชิงอีไม่รู้ตัวว่าตัวเองมักทำให้เขาสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว
เขาบอกตัวเองไม่ให้เก็บเรื่องในอดีตมาเป็นปัญหาระหว่างพวกเขา กว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันต้องผ่านความลำบากมามาก เขาไม่อาจทำลายทุกอย่างที่ในที่สุดก็ได้พบเจอหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เพียงเพราะนายน้อยสามที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
เป็นเหตุให้เขาต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ เมื่อกลับไปถึงบ้าน เขาคิดในใจ
เขากลับมาถึงบ้านพร้อมเกี๊ยวจิ๋วและบิสกิตถั่วแดงของโปรดของเธอ
เธอไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น เขาถือเกี๊ยวจิ๋วติดมือไปด้วยและเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในห้องทำงาน กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาจดจ่ออยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมนิ้วมือที่รัวพิมพ์ไปบนคีย์บอร์ด
“พี่กลับมาแล้วเหรอ” เธอเงยหน้ามองเขาในขณะที่นิ้วยังขยับไม่หยุด
เขายกถุงเกี๊ยวจิ๋วขึ้นมา “นี่ของที่เธอต้องการ ออกมากินได้แล้ว”
อีกฝ่ายยังคงพิมพ์อยู่ สายตาจดจ้องบนหน้าจอ “อีกเดี๋ยวนะคะ ฉันใกล้จะเสร็จแล้ว วางไว้ด้านนอกได้เลยค่ะ พี่กินไปก่อนก็ได้นะคะ”
เขาปิดประตูและเดินไปที่ห้องครัว เทเกี๊ยวลงในชาม ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้และรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมออกมาเสียทีก็ผลักประตูเข้าไปอีกครั้ง และเห็นว่าเธอยังคงพิมพ์งานอยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำต่อทีหลังก็ได้ ออกมากินก่อน เดี๋ยวอาหารก็เย็นหมดหรอก”
เธอตอบกลับ “ก็ได้ค่ะ ก็ได้… ขออีกไม่กี่คำนะคะ”
ไม่นานหลังจากพูดจบเธอก็ทำงานเสร็จและยิ้มออกมา “เสร็จแล้วค่ะ! เอาล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ!” เธอลุกขึ้นและตามโม่หันไปด้านนอก
ระหว่างมื้ออาหารเสียงขยับตะเกียบไปมาของซย่าชิงอีดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ชามเกี๊ยวของเขาแทบจะไม่พร่องลงไป เขาเอาแต่จ้องเธอกินอาหารจนคนถูกมองรู้สึกเอะใจเล็กน้อยก่อนถามอีกฝ่าย “วันนี้พี่…งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”
เขาตอบกลับ “ก็ไม่นี่”
“ถ้างั้น… เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรกับพี่หรือเปล่า”
“ก็ไม่อีกเหมือนกันนั่นแหละ”
“แล้วทำไมพี่ดูซึมๆ ไปล่ะคะ”
เขายกมือแตะใบหน้าตัวเองและเอ่ยถามขึ้น “พี่น่ะนะ พี่ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” เธอกัดตะเกียบในมือ “ปกติพี่กินเยอะกว่านี้เวลาที่อยู่กับฉัน แต่วันนี้พี่กินไปนิดเดียวเองนะคะ”
เขาส่งยิ้มให้ “พี่กินมาจากข้างนอกบ้างแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นพี่ก็ดูซึมๆ ไปอยู่ดี ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” คำถามถูกส่งมาจากเธอ
เขาเคยคิดมาตลอดว่าเธอคงมองความรู้สึกข้างในใจของเขาไม่ออกแต่เห็นทีน่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว สำหรับเขาที่มักจะรักษาท่าทีต่อหน้าคนอื่นๆ มาเสมอ ทว่าดูเหมือนเมื่อเห็นเธอเขาจะหลงลืมการหลบซ่อนความรู้สึกในใจทุกครั้งไป
มุมปากของเขาถูกฝืนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องคดีความที่ค่อนข้างยากที่ต้องจัดการช่วงนี้น่ะ”
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” เธอยังคงถามต่ออย่างไม่ลดละ
เขาเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาแตะหลังมือของเธอเบาๆ อย่างรู้สึกอ่อนใจ “ไม่เป็นไรหรอก แค่ดูแลตัวเองดีๆ ก็พอแล้ว พี่จะจัดการเรื่องนี้เองนะ”
เธอสบตามองจ้องตรงมาที่เขา “ต่อไปถ้าพี่ไม่สบายใจอย่าเก็บเงียบไว้กับตัวเองนะคะ แม้ว่าฉันจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็เป็นที่ระบายให้พี่ได้ ฉันจะอยู่ข้างๆ คอยรับฟังพี่เองค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เธอเห็นดังนั้นก็ก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าต่อ เขามองเธอที่เคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะยิ้มออกมาและถามขึ้น “กินเสร็จหรือยัง”
เกี๊ยวคำสุดท้ายถูกกลืนลงไปพร้อมใบหน้าของเธอที่เงยขึ้นมองเขาอย่างสงสัยในคำถามของอีกฝ่าย
เขาลุกขึ้นยืนในจังหวะเดียวกับที่โน้มตัวลงไปประกบจูบเธอ อีกฝ่ายนั่งนิ่งค้างไป สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาที่เอียงรับองศา ริมฝีปากของเขาประทับอยู่ที่อวัยวะเดียวกันของเธอ ก่อนสอดแทรกลิ้นไปในโพรงปาก จุมพิตที่แสนอ่อนโยนและเย้ายวนชวนรู้สึกวาบหวามในใจ ลิ้นของเขาปัดป่ายไปทั่วเพดานปากให้สั่นไหว เธอขยับถอยออกด้วยสัญชาตญาณทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งเอนร่างเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาเชยคางเธอให้อยู่นิ่งๆ
เธอค่อยๆ จูบตอบเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะจูบกลับมาอย่างร้อนแรง ใบหน้าถูกจับเชยขึ้นจนอาการเมื่อยคอเริ่มมาเยือน จึงขยับออกทิ้งระยะห่างกับอีกฝ่ายเมื่อฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขายังคงค้างอยู่ท่าเดิมและโน้มศีรษะมามองเธอพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้และลมหายใจหอบกระชั้นเล็กน้อย เธอแหงนหน้ามองและส่งยิ้มกลับให้เขา “เกี๊ยวยังอยู่ในปากฉันเลย พี่ไม่กลัวมีกลิ่นบ้างเหรอ”
“ไม่เลย รู้สึกดีออก” เขาตอบกลับ
ซย่าชิงอีดันชามเกี๊ยวที่ยังกินไม่หมดให้เขา “ยังมีเหลืออยู่ พี่กินก็ได้นะคะ”
โม่หันนั่งลงจับมือเธอไม่ยอมปล่อยก่อนสบตามอง “ไม่อร่อยเท่าชิ้นที่อยู่ในปากของเธอหรอก”
เธอค้อนมองเขาอย่างรังเกียจและดึงมือตัวเองอออก “อี๋… สกปรกจะตาย”
เขาเอ่ยเย้าเธอ “มีสกปรกกว่านี้อีกนะ เธออยากจะลองไหมล่ะ”
เธอว่าขึ้น “ไม่อยากค่ะ ฉันอิ่มแล้ว ถ้าพี่อยากกินก็กินเลยค่ะ”
ก่อนลุกขึ้นยืนและตั้งท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกอีกคนดึงมือเอาไว้พร้อมเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง “คืนนี้นอนห้องพี่นะ”
เธองุนงง “ทำไมเหรอคะ ช่วงนี้ฉันก็นอนหลับสบายดีนี่ ไม่มีอาการนอนไม่หลับมาสักพักแล้ว ทำไมฉันต้องไปนอนห้องพี่อีกล่ะ”
มือของเขาที่จับมือเธอไว้อยู่สั่นขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เอาแต่จ้องมองเธออย่างเงียบๆ ตอนนั้นเองที่เธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูดก่อนใบหน้าจะขึ้นสีแดง “ฉันไม่ไปหรอกค่ะ… นอนหลับคนเดียวให้สบายแล้วกันนะคะ”
เขายังไม่ยอมปล่อยมือเธอ “เธอจะไม่มาจริงๆ เหรอ”
เธอสะบัดมือออก “ใช่สิคะ ฉันมีรายงานที่ต้องทำให้เสร็จและส่งพรุ่งนี้ ตอนนี้ต้องกลับไปทำต่อที่ห้องทำงานแล้วล่ะค่ะ”
อีกฝ่ายยืนขึ้น โอบกอดเธอจากด้านหลังก่อนขบเม้มที่ใบหูของเธอเบาๆ “ถ้างั้นเธอจะทำเสร็จเมื่อไหร่ล่ะ”
เธอย่นคอหนีริมฝีปากของเขาที่โฉบลงมาจู่โจมใบหูให้ใจสั่นไหว “คงอีกสักพัก… ช่วงนี้ฉันมีการบ้านเยอะและก็เรียนหนักด้วยค่ะ”
เขาโน้มตัวมาด้านหน้าก่อนขบเม้มฝากรอยจูบไว้บนลำคอของเธอจนต้องเอียงคอขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ให้สัมผัสราวกับแมวที่ข่วนทิ้งรอยเล็บเอาไว้ เธอดันร่างของเขาออก “เลิกแกล้งได้แล้วค่ะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว”
จูบหนักๆ ถูกมอบให้เธออีกครั้งก่อนที่เขาจะปล่อยตัวเธอไป ทิ้งรอยจูบช้ำสีเข้มไว้บริเวณท้ายทอยซึ่งทำให้เธอเจ็บจนต้องนิ่วหน้าและลูบลำคอของตัวเอง ก่อนหันไปสบตาอีกฝ่าย
ไม่ต่างกับคนกระทำที่ลูบไล้ไปบนรอยนั้นเช่นกันพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ “กลับไปทำรายงานของเธอต่อเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว”
ซย่าชิงอีชำเลืองค้อนมองเขาก่อนกลับไปทำรายงานในห้องทำงานให้เสร็จ
เพราะว่ามีคาบเรียนในตอนเช้า วันถัดมาเธอจึงต้องตื่นนอนแต่หัววัน เมื่อคืนนี้เธอส่งรายงานที่เพิ่งทำเสร็จให้อาจารย์ตรวจดูว่ามีส่วนไหนที่ต้องแก้บ้าง
เสร็จจากการแก้รายงานตามคำแนะนำของอาจารย์ เธอต้องเตรียมตัวกับการสอบครั้งถัดไปทันที แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักในการเรียนคาบเช้า แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือต่อไปแม้แต่น้อย
เทศกาลการสอบใกล้มาถึงแล้วในขณะที่เธอยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือสักตัวเดียว เธอจึงปรึกษากับโม่หันว่าจะย้ายไปอยู่ที่หอพักนักศึกษาสักระยะหนึ่ง